ตอนที่ 521 ผมบอกว่าเป็นก็เป็นสิ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 521 ผมบอกว่าเป็นก็เป็นสิ

ช่วยไม่ได้ที่ความทนทานของรองเท้าแตะซึ่งหลินม่ายสวมอยู่ต่ำเกินไป ด้วยความที่เธอต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วเท่ากับฟางจั๋วหราน ทำให้รองเท้าข้างหนึ่งหลุดไปข้างหลัง

ไฟชั้นล่างน่ากลัวกว่าไฟที่ลามมายังทางเดินบนชั้นสามมาก ความร้อนเทียบได้กับเปลวเพลิงในห้องทำงานของเธอเลย

แม้แต่พื้นคอนกรีตก็ถูกไฟเผาจนกลายเป็นกระทะย่างดี ๆ นี่เอง ร้อนจนฝ่าเท้าแทบกลายเป็นเทปันยากิ จนเธอไม่สามารถวางเท้าเปล่าลงกับพื้นได้

ความเร็วของเธอเริ่มช้าลง ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงของฟางจั๋วหราน กลัวว่าพวกเขาอาจติดแหง็กอยู่ในกองเพลิงกันทั้งคู่

เธอออกแรงผลักฟางจั๋วหรานออกไป “คุณวิ่งไปก่อนเลย ทิ้งฉันไว้คนเดียว!”

ดวงตาของฟางจั๋วหรานลุกโชนไม่ต่างจากไฟ “ผมยอมเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพื่อช่วยคุณ คิดว่าผมจะยอมทิ้งคุณไว้ตามลำพังเหรอ!”

จากนั้นเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ช้อนร่างหลินม่ายขึ้นอุ้มแนบอกแล้ววิ่งลงไปชั้นล่าง

ถึงหลินม่ายจะวิงเวียนจนเกือบอาเจียนออกมาเนื่องจากร่างกายกระเด็นกระดอนขึ้นลง แต่หัวใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความสุขสมและปิติยินดี

เกิดมาชีวิตหนึ่ง ใครบ้างไม่อยากได้คู่ชีวิตที่ไม่ยอมปล่อยมือเราแม้ในยามคับขันซึ่งเกี่ยวพันกับความเป็นตาย

ไฟบนชั้นสองรุนแรงยิ่งกว่า กระทั่งหลินม่ายได้กลิ่นโปรตีนจากเส้นผมที่ถูกเผาไหม้

เส้นผมบางส่วนของฟางจั๋วหรานถูกไฟเผาจริง ๆ ในขณะที่ศีรษะของเธออยู่ใต้ผ้านวมชุ่มน้ำ ทำให้เปลวไฟไม่สามารถทำลายเส้นผมของเธอได้

พอฟางจั๋วหรานอุ้มหลินม่ายวิ่งลงไปจนถึงชั้นหนึ่ง ในที่สุดหลินม่ายก็ได้ยินเสียงไซเรนจากรถดับเพลิงเสียที

ไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไมรถดับเพลิงถึงมาถึงที่เกิดเหตุล่าช้าทุกครั้ง

ยุคสมัยนี้ในเจียงเฉิงยังมีสถานีดับเพลิงไม่กี่แห่ง จึงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่ารถดับเพลิงจะเดินทางมาจากระยะไกล

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานสามารถพาหลินม่ายฝ่าเปลวเพลิงลงมาได้สำเร็จ ทุกคนก็โห่ร้องกันอีกครั้ง

คนงานหลายคนกรูเข้ารวมตัวกัน ถามหลินม่ายด้วยความเป็นห่วงว่าเธอถูกไฟคลอกตรงไหนบ้าง

หลินม่ายที่เพิ่งถูกฟางจั๋วหรานวางร่างลงกับพื้นสูดลมหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉันปลอดภัยดี เกรงว่าคนที่มีแผลไฟไหม้ตามร่างกายจะเป็นคุณหมอฟางซะมากกว่า ฉันต้องรีบพาเขาไปโรงพยาบาล”

หลังจากนั้น เธอก็จับมือฟางจั๋วหรานแล้วลากเขาให้เดินตามไปที่โรงจอดรถ

ฟางจั๋วหรานลังเล “คุณไม่อยู่เคลียร์สถานการณ์ในโรงงานก่อนเหรอ?”

“วันพรุ่งนี้ค่อยมาจัดการเรื่องพวกนั้นทีหลัง”

ไม่ต้องพูดถึงการจับกุมมือวางเพลิง ต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มทลายลงมา หลินม่ายก็ไม่อยากให้ความสนใจกับอะไรทั้งนั้น สำหรับเธอในเวลานี้แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าฟางจั๋วหราน

ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์หลายฉบับบึ่งมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับรถดับเพลิง

พวกเขากระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณที่เกิดเหตุไฟไหม้ บ้างก็ถ่ายรูปหรือสัมภาษณ์คนงานและรปภ.ประจำโรงงาน

หนิวลี่ลี่ก็เป็นหนึ่งในนักข่าวพวกนี้ เมื่อกวาดตามองปราดเดียวก็เห็นหลินม่าย จึงรีบวิ่งไปขวางทางเธอกับฟางจั๋วหรานเอาไว้

เธอพยายามสัมภาษณ์อีกฝ่ายด้วยความกังวล แต่แล้วก็ชี้ไปที่มือขวาของหลินม่าย “มือคุณมีเลือดออก”

ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายก้มลงมองไปที่มือขวาของเธอพร้อมกัน

หลังมือขวามีรอยบาดแผล หนำซ้ำยังมีเลือดไหลซึมออกมา ที่เธอไม่รู้ตัวอาจเป็นเพราะสมองจดจ่ออยู่กับการวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด

ฟางจั๋วหรานแสดงอาการตื่นตระหนกทันที รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าลายตารางหมากรุกที่สะอาดสะอ้านออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วใช้มันต่างผ้าพันแผล

หนิวลี่ลี่เขียนคำว่า ‘ผู้บาดเจ็บ’ ลงในสมุดบันทึกการสัมภาษณ์อย่างจริงจัง

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพราะหวังว่าจะสัมภาษณ์อีกฝ่ายต่อ แต่ฟางจั๋วหรานกลับปฏิเสธอย่างเย็นชา

สีหน้าของเขาเคร่งเครียดจนหนิวลี่ลี่ไม่กล้าฝืนรั้งไว้ ได้แต่เฝ้าดูทั้งสองคนเดินไปยังโรงจอดรถเพื่อเข็นจักรยานออกมา ก่อนจะปั่นโดยซ้อนกันออกไป

เมื่อพวกเขามาถึงโรงพยาบาล ฟางจั๋วหรานก็ช้อนร่างเธอขึ้นอุ้มอีกครั้งแล้วตรงไปที่แผนกฉุกเฉิน เนื่องจากรองเท้าแตะของหลินม่ายหลุดหายไปในระหว่างที่วิ่งหนีตาย

หลินม่ายพยายามต่อต้าน “คุณไม่เห็นต้องอุ้มฉันเลยนี่คะ ใช่ว่าฉันได้รับบาดเจ็บที่เท้าหรือขาซะหน่อย”

“แต่คุณไม่มีรองเท้า ถ้าโดนเศษของมีคมบาดเอาระหว่างเดินจะทำยังไง?”

เหตุผลของเขามีน้ำหนักพอสมควร หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาอุ้มต่อไป

พอมองไปรอบ ๆ หลินม่ายถึงเห็นว่าฟางจั๋วหรานพาเธอมาหยุดอยู่หน้าห้องผ่าตัดของแผนกฉุกเฉิน จึงถามด้วยความประหลาดใจ “เรามารักษาแผลไฟไหม้ไม่ใช่เหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานอธิบายว่า “อาการบาดเจ็บของคุณอาจถึงขั้นผ่าตัด”

เธอพูดทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนเขา “เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อตรวจดูแผลไฟไหม้ของคุณต่างหาก แผลของฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างหมดความอดทน “ผมบอกว่าเป็นก็เป็นสิ!”

หลินม่ายไม่อยากโต้เถียงกับเขาอีก จึงจำใจยอมเชื่อฟังเขา

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมกับอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ชายหนุ่มสองคนที่รออยู่ด้านนอกคิดว่าหลินม่ายต้องอาการแย่มากแน่ ๆ จึงบอกให้พวกเขาลัดคิวก่อนได้เลย แต่ฟางจั๋วหรานปฏิเสธ

อาการบาดเจ็บเล็กน้อยของหลินม่ายไม่ถึงขั้นต้องลัดคิวผู้ป่วยฉุกเฉินรายอื่น

เขาแค่อยากตรวจสอบอาการของเธอให้โล่งใจ

เมื่อแพทย์ฉุกเฉินปลดผ้าเช็ดหน้าที่ใช้แทนผ้าพันแผลออก มุมปากของเขาก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้หลายครั้ง

บาดแผลของหญิงสาวไม่ได้รุนแรงมาก อีกไม่นานก็ตกสะเก็ดและหายเป็นปกติในไม่ช้า

แต่เพราะคุณหมอฟางเอาแต่จ้องเขม็งมองมาด้วยสายตาแผดเผา ทำให้เขาไม่กล้าพูดตามตรงว่าบาดแผลของหลินม่ายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย

ในขณะที่ถูไอโอดีนลงบนแผลของหลินม่าย เขาก็สอบถามความคิดเห็นของฟางจั๋วหรานไปด้วย “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะฉีดยาป้องกันบาดทะยักด้วยเลยไหม?”

พอหลินม่ายได้ยินแบบนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที รีบหันมองไปทางฟางจั๋วหรานเพื่อขอความช่วยเหลือ

ฟางจั๋วหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ฉีดด้วยก็ดี”

ถึงแผลของหลินม่ายไม่ใหญ่มาก แต่เขาก็กังวลว่าเธออาจถูกเหล็กหรือโลหะที่เป็นสนิมขีดข่วนเข้า

ดังนั้นต้องฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าติดเชื้อบาดทะยักขึ้นมาแล้วจะเป็นอันตรายมาก

จากนั้นฟางจั๋วหรานก็ลากหลินม่ายที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มไปฉีดวัคซีนบาดทะยัก

หัวหน้าพยาบาลเป็นคนเตรียมเข็มฉีดยาด้วยตัวเอง

ฟางจั๋วหรานรู้ว่าหลินม่ายกลัวเข็มเป็นที่สุด ดังนั้นก่อนที่หัวหน้าพยาบาลจะทิ่มเข็มฉีดยาในมือลงไป เขาก็เลื่อนฝ่ามือใหญ่ไปปิดตาเธอไว้ก่อน

แพขนตายาวของหลินม่ายปัดผ่านฝ่ามือของเขา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นวิธีนี้ก็ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายลงกว่าเดิม

วัคซีนป้องกันบาดทะยักไม่จำเป็นต้องฉีดตรงสะโพกแค่จุดเดียว ยังสามารถฉีดผ่านกล้ามเนื้อไตรเซพตรงต้นแขนได้ด้วย

ขณะที่หัวหน้าพยาบาลถลกแขนเสื้อหลินม่ายขึ้น หลินม่ายก็กลับมารู้สึกประหม่าอีกครั้งจนนิ้วเท้าจิกเกร็งแทบขูดไปกับพื้น

หัวหน้าพยาบาลยิ้มพลางพูดว่า “กลัวเข็มสินะ ไม่เจ็บหรอกค่ะ”

หลินม่ายฝืนยิ้มตอบ

ฟางจั๋วหรานผลักศีรษะเล็ก ๆ ของเธอให้เอนไปซบหน้าอกของเขา

หลินม่ายจึงได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงเป็นจังหวะ

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หลังมือ ในขณะที่พยายามควบคุมสติให้ผ่อนคลายลงมากที่สุด ปลายเข็มก็เจาะผ่านผิวหนังเรียบร้อย

“เสร็จแล้ว ไม่เจ็บใช่ไหมล่ะ?” หัวหน้าพยาบาลแซวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปฉีดยาให้คนไข้รายอื่นต่อ

ท้ายที่สุดก็เดินกลับมาตรวจดูแผลไฟไหม้ตามร่างกายของฟางจั๋วหราน

นอกเหนือจากแผลพุพองหลายจุดที่บริเวณหลังมือ เสื้อเชิ้ตของเขายังมีรูเล็ก ๆ หลายรูซึ่งเกิดจากประกายไฟ

ภายใต้รูเล็ก ๆ พวกนั้นล้วนเป็นรอยไหม้ที่น่าตกใจอยู่บนผิวหนัง รอยไหม้พวกนั้นมีลักษณะไม่ต่างจากโดนก้นบุหรี่จี้ แค่ได้เห็นก็รู้สึกแสบร้อนมากแล้ว

โชคดีที่ไม่ใช่บาดแผลร้ายแรง ต้องทายารักษาแผลไหม้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองสัปดาห์จึงจะหายเป็นปกติ

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังรู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย

หลังจากเสร็จสิ้นการรักษา ฟางจั๋วหรานก็เดินออกมาพร้อมกับอุ้มหลินม่ายไว้ในอ้อมแขนเหมือนเดิม จัดให้เธอนั่งบนเบาะหลัง แล้วเข็นจักรยานออกจากประตูโรงพยาบาลไป

เมื่อสัมผัสถึงหยดน้ำตาที่ไหลรินเป็นสายของหลินม่าย เขาก็ประคองจักรยานด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างเกาจมูกน้อย ๆ ของเธอ

“ไม่เห็นมีอะไรน่าร้องไห้เลย หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าแผลไฟไหม้พวกนี้ไม่รุนแรง อีกไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้ว”

หลินม่ายปาดน้ำตาด้วยความเขินอาย “ถึงแผลไม่รุนแรงก็จริง แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี”

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้รอยจูบจากคุณ ผมก็ไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว”

หลินม่ายหันมองไปรอบ ๆ ก่อนรุ่งสางแบบนี้ ตามท้องถนนไม่มีใครสัญจรผ่านเลยสักคน

เธอลงจากจักรยาน ยืนบนถนนด้วยเท้าเปล่า เขย่งเท้า แล้วยื่นหน้าไปจูบฟางจั๋วหรานที่ริมฝีปาก

จูบครั้งนี้ไม่ได้ผิวเผินเหมือนครั้งก่อน ๆ แต่ค้างอยู่นานกว่าสิบวินาที

หลังจากมอบจูบให้เขาอย่างอ่อนหวาน หลินม่ายก็ถามอย่างอาย ๆ “ตอนนี้อาการดีขึ้นหรือยังคะ?”

“ไม่พอ ยังไม่ทันหายเจ็บเลย”

หลินม่ายกัดริมฝีปากอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยื่นหน้าไปจูบเขาอีกครั้ง

เท่านี้ฟางจั๋วหรานก็พอใจแล้ว เขาอุ้มหลินม่ายขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังจักรยานตามเดิม แล้วปั่นไปข้างหน้า

เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่าทำไมคืนนี้เธอถึงได้ประมาท ทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย

หลินม่ายรู้ดีว่าเป็นเพราะความคิดที่ไม่รอบคอบของตัวเอง ทำให้ตัวเองเกือบโดนฆ่าตาย แถมยังทำให้ฟางจั๋วหรานต้องมาเสี่ยงไปด้วยอีก

เธอพูดด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่งยวด “ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองค่ะ ฉันประมาท คิดว่าความเป็นไปได้ที่คนวางเพลิงจะซ่อนตัวอยู่บนชั้นสามมีน้อยมาก ก็เลยไม่ได้เรียกใครมาช่วย ใครจะคิดว่านอกจากมือวางเพลิงจะซ่อนตัวอยู่บนชั้นสามแล้ว ยังพยายามโจมตีฉันด้วย ให้ตายเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าเธอสำนึกผิดจากใจจริง ท่าทางของฟางจั๋วหรานก็อ่อนลง บอกเธอว่าคราวหน้าอย่าได้ประมาทอีก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม

หลินม่ายเอนศีรษะพิงแผ่นหลังของเขา แล้วตอบกลับอย่างกระเง้ากระงอด “เข้าใจแล้วค่ะ!”

ฟางจั๋วหรานมาส่งเธอถึงบ้าน ก่อนที่เขาจะกลับไปที่วิลล่า

โจวฉายอวิ๋นยังไม่ได้นอนจนถึงตอนนี้ เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายมาส่งถึงที่ ก็ตกใจมากเพราะคิดว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส

เมื่อรู้ว่าฟางจั๋วหรานแค่มาส่งเธอถึงบ้านเพราะเธอทำรองเท้าแตะหลุดหาย ก็โพล่งขึ้นด้วยความโล่งอกทันที “เธอดูสิว่าศาสตราจารย์ฟางเขาดีกับเธอแค่ไหน!”

หลินม่ายรินชาใส่ถ้วยพลางหรี่ตามองอีกฝ่าย “พี่โทรหาศาสตราจารย์ฟางแล้วบอกเขาว่าโรงงานตัดเสื้อถูกไฟไหม้ใช่ไหม?”

โจวฉายอวิ๋นหัวเราะแหะ ๆ “ฉันกลัวว่าอาจเกิดอันตรายขึ้นกับเธอน่ะสิ…”

หลินม่ายพูดไม่ออก “ฉันบอกพี่ตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าโทรไปรบกวนเขาเพราะฉัน ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันจริง ๆ ความร้อนใจจะส่งผลร้ายต่อเขาซะมากกว่า โชคดีที่เมื่อกี้นี้เราสองคนรีบฝ่าออกมาจากทะเลเพลิงได้ทันเวลา ไม่งั้นเราคงโดนไฟคลอกตายกันทั้งคู่ไปแล้ว ฉันไม่มีค่าพอให้จั๋วหรานต้องเอาชีวิตตัวเองมาแลกหรอกนะ”

ถึงโจวฉายอวิ๋นไม่ได้โต้เถียงอะไร แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลินม่ายเท่าไหร่นัก

ที่ว่าไม่มีค่าพอให้ศาสตราจารย์ฟางต้องเอาชีวิตตัวเองมาแลกมันหมายความว่าอย่างไร เป็นหน้าที่ของผู้ชายที่ต้องช่วยคนรักของเขาไม่ใช่เหรอ?

หล่อนเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงสถานการณ์ของโรงงานตัดเสื้อ

หลินม่ายตอบ “โชคดีมีคนเห็นต้นเพลิงได้ทันเวลา ก็เลยไม่มีผู้เสียชีวิต”

“แล้วทรัพย์สินเสียหายเยอะไหม?”

หลินม่ายคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คงไม่ใช่น้อย ๆ แน่ ฉันก็ยังไม่รู้แน่ชัด”

ความจริงแล้วเธอรู้มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นดี ถึงแม้โกดังเกือบถูกเผาวอด แต่มูลค่าความเสียหายก็ไม่ได้มากมายอะไร

วัสดุอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในโกดังเป็นแค่เศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บ มีแค่ชั้นบนสุดเท่านั้นที่เก็บผ้าคุณภาพต่ำราคาถูกซ้อนทับกันไว้ ซึ่งรวมกันแล้วไม่ถึงห้าพันหยวนด้วยซ้ำ

สำหรับผ้าเนื้อดีจำนวนมาก หลังจากรู้ว่ากวนหย่งหัวส่งคนมาแอบสืบถามว่าโรงงานตัดเสื้อUniqueซื้อผ้าราคาถูกมาจากที่ไหน หลินม่ายก็ขอให้เฉินเฟิงช่วยทำการขนย้ายพวกมันไปเก็บอีกที่อย่างลับ ๆ

เธอเป็นคนระมัดระวังโดยสัญชาตญาณ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอสัมผัสได้ถึงอันตราย เธอจะวางแผนรับมือและเตรียมการล่วงหน้าเสมอ

เมื่อโจวฉายอวิ๋นได้ยินว่ามูลค่าความเสียหายไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หล่อนก็ทำหน้าเศร้าอยู่นาน ก่อนจะถามว่า “มือวางเพลิงถูกจับได้แล้วเหรอ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันรีบพาจั๋วหรานไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ตอนนี้เวลาล่วงมาถึงตีสามกว่า ๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันที

ช่วงเวลาซึ่งท้องฟ้ามืดมนที่สุดก่อนถึงรุ่งสาง เงาตะคุ่มสีดำเดินย่องมาหยุดอยู่หน้าเกสต์เฮ้าส์ที่กวนหย่งหัวพักอยู่…

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมอเขาทุ่มเทขนาดนี้ยังจะบอกว่าตัวเองไม่สำคัญพอให้เขามาเสี่ยงอีกเหรอ เขาได้ยินแล้วจะเสียใจเอาได้นา

เดาว่ามือวางเพลิงคือยัยทังชุ่นอิง วางสิบบาท เพราะต้องเป็นคนที่รู้แผนผังในโรงงานเป็นอย่างดี

ไหหม่า(海馬)