ตอนที่ 522 ข่าวลือในทางไม่ดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 522 ข่าวลือในทางไม่ดี

หลินม่ายนอนหลับไป จนกระทั่งโจวฉายอวิ๋นเข้ามาปลุกตอนเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น

เธอสะพายกระเป๋าเป้ยีนที่เถาจืออวิ๋นทำให้ และกำลังจะไปโรงเรียนด้วยจักรยาน แต่พบว่าจักรยานพัง จึงจำเป็นต้องเดินไปโรงเรียนแทน

ก่อนไปที่โรงเรียน เธอได้แวะไปหาคุณลุงเจ้าของแผงหนังสือเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ตามที่เคยสั่งไว้

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสผิดปกติของคุณลุง หลินม่ายก็ถามด้วยรอยยิ้มว่าทำไมวันนี้คุณลุงถึงได้ดูอารมณ์ดีนัก

คุณลุงบอกว่า เขากำลังจะสร้างซุ้มสำหรับขายหนังสือพิมพ์ในบริเวณที่เขาเคยมาตั้งแผงเมื่อสองวันก่อน พอสร้างซุ้มเสร็จ หน่วยงานรัฐก็จะมาติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะใกล้ ๆ ถึงตอนนั้นเขาจะไม่ขายหนังสือพิมพ์และนิตยสารแค่อย่างเดียว แต่ยังรับให้บริการโทรศัพท์สาธารณะให้กับผู้สัญจรไปมาอีกด้วย นอกจากรายได้จะเพิ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่ต้องเผชิญกับลมฝนเหมือนเมื่อก่อนด้วย

รัฐบาลเริ่มทำให้โทรศัพท์สาธารณะเริ่มกลายเป็นที่นิยม หมายความว่าอีกไม่นานโทรศัพท์บ้านก็จะกลายเป็นที่นิยมเช่นกัน

หลินม่ายคิดในใจว่าหลายเดือนก่อนหน้านี้ เธอยังต้องเข้าหาผอ.เขตโอวหยางเพื่อขอติดตั้งสายโทรศัพท์อยู่เลย

หลังจากนั้นไม่นานการติดตั้งโทรศัพท์ก็จะง่ายขึ้น ทำให้ระบบโทรคมนาคมในจีนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เธอยิ้มกว้างพร้อมแสดงความยินดีกับคุณลุง แนะนำให้เขาซื้ออมยิ้ม ไอศกรีม และน้ำอัดลมมาขายควบคู่

หลินม่ายกางหนังสือพิมพ์อ่านไปด้วยเดินไปด้วย

แทบไม่ต้องกวาดสายตาหาให้ยากเย็น เพราะข่าวใหญ่บนพาดหัวหน้าหนึ่งคือข่าวไฟไหม้โรงงานตัดเสื้อ Unique เมื่อคืนที่ผ่านมา

จากการรายงานข่าว เหตุไฟไหม้ที่โรงงานUniqueทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่าประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจดังกล่าว ได้แก่ ผ้าจำนวนมากที่ถูกไฟเผาวอด ห้องทำงานที่แทบไม่เหลือเค้าเดิม รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ภายในสำนักงาน…

มือวางเพลิงชื่อทังชุ่นอิงถูกจับกุมตัวไว้ได้ตอนตีสองภายในคืนเดียวกัน พวกเขาพบหล่อนเข้าขณะที่หล่อนกำลังจะส่งมอบความบรรลัยไปยังเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่คนงานเพิ่งทำเสร็จ

ตำรวจสอบปากคำผู้ต้องสงสัยเข้มงวดข้ามคืน ในที่สุดทังชุ่นอิงก็อธิบายถึงแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมของตัวเองและกระบวนการทั้งหมด

หลังจากที่หลินม่ายอ่านข่าวจบ เธอก็พับหนังสือพิมพ์ใส่ลงในกระเป๋าเป้

เวลานี้คือชั่วโมงเร่งด่วนที่ผู้คนต่างเดินทางไปทำงานหรือไปโรงเรียน ท้องถนนเต็มไปด้วยจักรยาน การเดินไปอ่านหนังสือพิมพ์ไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

เธอไม่คาดคิดเลยว่าทังชุ่นอิงจะใจกล้ากว่าที่เธอคิดไว้มาก

หลังจากจุดไฟเผาอาคารสำนักงานเป็นครั้งที่สอง หล่อนยังกล้าเข้ามาวางเพลิงเป็นครั้งที่สาม

อาจเป็นเพราะหล่อนคิดว่าตัวเองคงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทุบหม้อข้าวตัวเองเสียเลย ตัดสินใจสร้างความเสียหายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

จิตใจชั่วช้าของหล่อนมันทำด้วยอะไรกัน!

เมื่อกี้นี้ตอนอ่านหนังสือพิมพ์ หลินม่ายจำได้ว่าคำสารภาพของทังชุ่นอิงไม่ได้พูดถึงความผิดของตัวเองที่ต้องการจะเผาเธอให้ตายคากองไฟเลยสักนิด

หล่อนคงกลัวตาย ถึงไม่ยอมปริปากพูดเรื่องนั้น

ถึงอย่างนั้นคดีอาชญากรรมอย่างลอบวางเพลิงและพยายามฆ่า ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิตอยู่ดี

คิดเหรอว่าตัวเองไม่ยอมสารภาพแล้วจะรอดตายไปได้?

หลินม่ายตะคอกในใจอย่างเย็นชา เธอตั้งใจว่าหลังสอบเสร็จในช่วงเช้าจะแวะไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความหล่อนในเรื่องนี้สักหน่อย

เนื่องจากวันนี้เธอตื่นสายเกินไป หลินม่ายจึงไม่ทันกินอาหารมื้อเช้า

ขณะที่เดินอยู่นั้น เธอคิดว่าตัวเองควรซื้ออะไรกินเป็นอาหารมื้อเช้าดี ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นแผงลอยขายก๋วยเตี๋ยวน้ำตั้งอยู่ไม่ไกล

นานแล้วที่เธอไม่ได้ซดก๋วยเตี๋ยวน้ำสักชาม เธอคิดถึงรสชาติเข้มข้นของก๋วยเตี๋ยวน้ำจะแย่

ขณะที่ยกเท้าขึ้นและกำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่ง ก็บังเอิญเห็นว่าเสี่ยวหม่านและหลี่หมิงเฉิงกำลังพูดคุยกัน

เมื่อพิจารณาจากภาษากายของคนทั้งสองแล้ว เสี่ยวหม่านน่าจะคะยั้นคะยอให้หลี่หมิงเฉิงไปกินก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วยกัน แต่หลี่หมิงเฉิงปฏิเสธ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นเสี่ยวหม่านพยายามป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ หลี่หมิงเฉิง

เสี่ยวหม่านแอบชอบหลี่หมิงเฉิงมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าหลี่หมิงเฉิงจะไม่ได้มีท่าทางแบบนั้นตอบเลย

วลีที่ว่าเทพธิดามีใจแต่เซียงอ๋องไร้ฝัน ก็คือเขาทั้งสองคนนั่นเอง

หลินม่ายไม่อยากทำให้เสี่ยวหม่านอับอาย ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจไม่ไปที่นั่น แต่เดินอ้อมไปอีกทาง

เธอซื้อเชียนเฉิงปิ่ง*จากแผงขายริมถนนมาสองชิ้น แล้วกินมันในขณะเดินไปด้วย

(*千层饼 อาหารริมทางชนิดหนึ่งของจีน เป็นแป้งพายพับทบกันเป็นชั้นๆ แล้วนำไปทอดน้ำมัน)

เชียนเฉิงปิ่งเป็นอาหารว่างของเหอหนาน มีความหอมมัน กรอบแต่ไม่มันเยิ้ม กัดแล้วไม่แตกร่วน รสชาติอร่อยมาก

รสชาติจะอร่อยยิ่งขึ้นถ้ากินคู่กับเต้าฮวยหรือข้าวหมากสักถ้วย

น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ยังไม่มีถ้วยหรือชามสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงซื้อข้าวหมากมาสักถ้วยแล้วกินระหว่างเดิน

เธอเพิ่งกินเชียนเฉิงปิ่งหมดไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอจากข้างหลัง

พอหันมองย้อนกลับไปก็เห็นว่าเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนหลายคนกับเหยียนเหวินเล่อที่วิ่งมาหาเธอจากด้านหลัง

เมื่อไม่ได้เจอกันนาน เพื่อนร่วมชั้นบางคนจึงค่อนข้างตื่นเต้น

โดยเฉพาะเด็กหญิงสองคนที่รีบทักทายหลินม่าย “ม่ายจื่อ โฆษณาเสื้อผ้าUniqueของเธอสวยมากเลย!”

หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานข่าวเกี่ยวกับแบรนด์Uniqueอยู่บ่อยครั้ง เกือบทุกคนในหมู่นักเรียนต่างรู้ว่าหลินม่ายเป็นผู้อำนวยการโรงงานตัดเสื้อUnique จึงพากันชื่นชมเธอยกใหญ่

หลินม่ายเดินไปโรงเรียนเคียงข้างกับพวกเขา พูดอย่างถ่อมตัว “ไม่ขนาดนั้นหรอก”

ทุกคนคุยกันเรื่องUniqueไปสักพัก ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ถามว่า “ม่ายจื่อ โรงเรียนเราเปิดสอนมาเกือบเดือนแล้ว ทำไมถึงไม่เห็นเธอมาโรงเรียนเลยล่ะ?”

พอเธอถามจบ นักเรียนคนอื่น ๆ ก็พากันหุบปากฉับ แล้วจ้องมองไปทางหลินม่ายด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

หลินม่ายสับสนเล็กน้อยกับท่าทีของพวกเขา ก่อนจะอธิบายให้ทุกคนฟังว่า “กิจการของฉันยุ่งมาก ไหนจะต้องคอยอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนอีก ฉันก็เลยมาเรียนตามปกติไม่ได้ ก็เหมือนตอนที่ฉันเรียนชั้นมัธยมต้นนั่นแหละ เรียนด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน จะมาโรงเรียนก็ต่อเมื่อมีสอบที่สำคัญ ๆ”

เหมยจวินทำหน้าเศร้าโศก “ฉันนึกว่าหลินม่ายมาโรงเรียนไม่ได้เพราะมีคดีด่างพร้อยซึ่งขึ้นตรงกับทางหน่วยงานตำรวจ และถูกไล่ออกจากโรงเรียนไปแล้วซะอีก ก่อนหน้านี้ฉันหลงเชื่อ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง”

เหยียนเหวินเล่อแย้ง “ฉันไม่เคยเชื่อข่าวลือพรรค์นั้นด้วยซ้ำ!”

นักเรียนคนอื่น ๆ อีกหลายคนแสดงสีหน้าอับอายและรู้สึกผิด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหลินม่าย

พวกเขาทั้งหมดต่างเชื่อข่าวลือในเวลานั้น

หลินม่ายฟังแล้วสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนถึงได้รับข่าวลือว่าฉันมีคดีด่างพร้อยกับทางหน่วยงานตำรวจล่ะ?”

นักเรียนหลายคนช่วยกันอธิบาย “เธอไม่มาเรียนเลยสักวัน หลายคนก็เลยเกิดความสงสัย พวกเขาต่างคาดเดาถึงสาเหตุที่เธอไม่มาโรงเรียนไปต่าง ๆ นานา ว่านฮุ่ยบอกว่าเธอทำเรื่องผิดกฎหมาย เลยถูกตำรวจภาคทัณฑ์และตัดสินลงโทษ หลังจากนั้นก็โดนไล่ออกจากโรงเรียน เป็นสาเหตุที่เธอไม่มาเรียนกับพวกเรา”

หลินม่ายแค่นเสียง “หล่อนพูดโกหกทุกเรื่อง นอกจากฉันจะไม่เคยทำผิดกฎหมายแล้ว ฉันยังไม่เคยโดนใครไล่ออกจากโรงเรียนด้วย แถมฉันยังเอาเวลาว่างทั้งหมดไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเลื่อนชั้นอีก”

นักเรียนหลายคนได้ยินแบบนั้นก็ตกใจมากจนถึงกับร้องอุทาน!

หลินม่ายไม่ได้ไปเอาเรื่องว่านฮุ่ยถึงชั้นเรียนเพื่อลบล้างข่าวลือนั้น

ทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียนเพื่อสอบไล่รายเดือน ข่าวลือจากปากว่านฮุ่ยก็ย้อนกลับไปทำร้ายตัวหล่อนเอง ทำให้หล่อนไม่สามารถสู้หน้าใครได้อีก ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปลบล้างคำครหา

เมื่อหลินม่ายเดินเข้ามาในห้องเรียน พบว่าอาจารย์หวังมารออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขาเห็นเธอก็พยักหน้าให้

ช่วงเช้ามีสอบสองวิชา วิชาภาษาจีน และวิชาคณิตศาสตร์

ภาษาจีนถูกจัดสอบก่อน หลังจากหมดเวลาสอบภาษาจีน จะมีช่วงพักสิบห้านาที หลังจากนั้นจึงจัดสอบวิชาคณิตศาสตร์

ภาษาจีนไม่ใช่จุดแข็งของหลินม่าย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำข้อสอบได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเหมือนวิชาวิทยาศาสตร์หรือภาษาอังกฤษ จึงค่อย ๆ ทำไปทีละข้อจนหมดเวลาสอบ

ทันทีที่ผลักกระดาษข้อสอบออกไป ก็เห็นว่าอาจารย์หวังซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูห้องเรียน แล้วเรียกชื่อเธอ “หลินม่าย ออกมาหาครูที่ห้องทำงานหน่อย”

หลินม่ายรู้สึกงงงวยเล็กน้อย

ถ้าอาจารย์หวังจะเรียกเธอไปวิจารณ์ว่าการเรียนด้วยตัวเองที่บ้านมีผลเสียยังไงบ้าง เขาก็ควรรอผลคะแนนสอบออกก่อนไม่ใช่หรือ

เธอเพิ่งจะสอบไปได้แค่ครั้งเดียว เขากลับเดินมาเรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานเป็นการส่วนตัวเสียแล้ว เพราะอะไรกัน?

พอเธอเดินตามอาจารย์หวังเข้าไปในห้องทำงาน ก็เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์หวัง

อาจารย์หวังชี้ไปยังเก้าอี้ข้างโต๊ะเพื่อเชิญให้หลินม่ายนั่ง ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง “สหายตำรวจคนนี้มาที่นี่เพราะต้องการสอบถามเกี่ยวกับเหตุไฟไหม้ในโรงงานตัดเสื้อUniqueเมื่อคืน ไม่ต้องกลัวนะ”

ทุกครั้งที่อาจารย์หวังพบหน้าหลินม่าย เขามักแสดงทีท่าเหมือนไม่พอใจอยู่เสมอ จนหลินม่ายอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงไม่ชอบหน้าเธอ

ไม่คาดคิดเลยว่าคนอย่างเขาก็แสดงความอ่อนโยนกับเธอเป็นเหมือนกัน

หลินม่ายพยักหน้าแทนคำขอบคุณ

ตอนแรกเธอวางแผนว่าจะไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องที่ทังชุ่นอิงพยายามฆ่าตัวเองในตอนเที่ยง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับมาหาเธอถึงที่ เธอจึงใช้โอกาสนี้แฉวีรกรรมของทังชุ่นอิงเสียเลย

เธอถาม “ไม่ทราบว่าสหายตำรวจต้องการทราบเรื่องอะไรเป็นพิเศษคะ?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียสมาธิไปเล็กน้อย

เมื่อคืนนี้เขาเจอหลินม่ายแล้วครั้งหนึ่งก็จริง แต่ช่วงเวลากลางคืนที่มีแสงสว่างน้อยนิดแถมยังอยู่ไกล เขาจึงเห็นหน้าเธอไม่ชัดเจนนัก

พอได้เห็นหน้าเธอชัด ๆ แล้วก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ลำพังแค่ความสวยของหลินม่ายอาจไม่ทำให้เขาถึงกับเสียสมาธิ อย่างมากก็แค่ประหลาดใจ

ที่ทำให้เขาตกใจคือการที่นักเรียนชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งสามารถเปิดโรงงานตัดเสื้อเป็นของตัวเองได้ ซึ่งน่าทึ่งไม่น้อยเลย

พอได้ยินคำถามจากหลินม่าย เขาก็รีบดึงสติกลับคืนมา “ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่าคุณวิ่งฝ่ากองเพลิงออกมาได้ยังไง?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิคะ”

จากนั้นเธอก็เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงที่ตัวเองกำลังตรวจค้นห้องทำงานกับเจ้าหน้าที่รปภ.อีกคนเมื่อคืนนี้ โดยไม่ลืมเน้นย้ำเหตุการณ์ตอนที่ถูกโจมตี

เธอสงสัยว่าคนที่ทำร้ายตัวเองจากด้านหลังเป็นคนเดียวกันกับมือวางเพลิง อีกฝ่ายมีเจตนาฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจดบันทึกคำให้การแล้ว พวกเขาก็ถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย แล้วขอตัวจากไป

ตอนนี้ถึงเวลาสอบวิชาคณิตศาสตร์พอดี หลินม่ายจึงรีบกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเข้ารับการสอบ

ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์เป็นอะไรที่เข้าทางมาก เธอทำสอบเสร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง

ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าส่งกระดาษคำตอบในทันที ยังคงนั่งทบทวนอยู่ในห้องสอบ

เมื่อครู่นี้เธอรู้ตัวว่าทำข้อสอบวิชาภาษาจีนได้ไม่ดีนัก จึงกลัวว่าผลคะแนนรวมอาจออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นต้องใส่ใจกับวิชาคณิตศาสตร์ให้มากหน่อย

ไม่อย่างนั้นถ้าอาจารย์หวังไม่พอใจขึ้นมา แล้วไม่ยอมให้เธอทบทวนบทเรียนอยู่ที่บ้านเหมือนเดิมล่ะ?

ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาติปัจจุบันก็ตาม เธอรู้สึกว่าภาษาจีนเป็นวิชาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ

มนุษย์หนึ่งพันคนมีความคิดอ่านหลายพันอย่าง ความรู้ความเข้าใจในการอ่านของทุกคนต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ต้องตอบออกมาในมาตรฐานเดียวกัน

หลินม่ายตรวจสอบกระดาษคำตอบวิชาคณิตศาสตร์อย่างระมัดระวัง นอกเหนือจากคำถามเพิ่มเติมข้อสุดท้ายที่เธอไม่มั่นใจ ข้ออื่น ๆ ก็ดูไม่น่ามีปัญหา

อาจารย์คุมสอบมองนาฬิกาตัวเอง ก่อนจะประกาศว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว

นักเรียนบางคนวางปากกาลงอย่างไม่เต็มใจ แต่หลินม่ายกวาดทุกอย่างใส่ลงในกระเป๋าเป้ พอคว้ามันขึ้นมาได้ก็วิ่งฉิวจากไปทันที

เธอพุ่งกลับบ้านเหมือนลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากสาย อยากกลับไปทายาให้ฟางจั๋วหรานเต็มที

เมื่อเห็นว่าหญิงสาววิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่าย อาจารย์คุมสอบก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

หลินม่ายเดินออกจากประตูโรงเรียน ก็เห็นเฉินเฟิงกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ตรงมาหาเธอ

หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “นายมาที่นี่ทำไม?”

น้ำเสียงเฉินเฟิงราบเรียบเป็นธรรมชาติ “แวะมาดูอาการบาดเจ็บของเธอน่ะสิ”

เมื่อเช้านี้เขาอ่านหนังสือพิมพ์ ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนมีคนแอบลอบวางเพลิงเผาโรงงานตัดเสื้อUnique และหลินม่ายเป็นคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ถึงในรายงานข่าวจะบอกว่าอาการบาดเจ็บของเธอไม่ร้ายแรง แต่เขาต้องเห็นกับตาเท่านั้นถึงจะเชื่อ จึงมาเยี่ยมหลินม่ายถึงที่โรงเรียน

หลินม่ายอายุยังน้อย หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน รอยแผลเล็ก ๆ บนหลังมือก็สมานจนเกือบหายดีแล้ว

ถ้าเฉินเฟิงไม่พูดถึงมันขึ้นมา เธอคงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ

เธอยื่นมือข้างที่บาดเจ็บให้เฉินเฟิงดู “แผลเกือบจะหายดีแล้วล่ะ”

เฉินเฟิงพยักหน้าอย่างโล่งใจ ก่อนจะสะบัดหัวไปทางหนึ่ง “ขึ้นรถ ฉันจะพาเธอไปส่งบ้าน”

หลินม่ายกำลังคิดว่าจะปฏิเสธเขาอย่างไรดี ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงกังวานนั้นฟังดูคุ้นเคยมาก

พอหันหน้ากลับไปก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานกำลังปั่นจักรยานตรงมาหาเธอ

หลินม่ายส่งยิ้มให้เฉินเฟิงเป็นเชิงขอโทษ “แฟนฉันมารับพอดีเลย”

พูดจบเธอก็หันหลังกลับและวิ่งไปหาฟางจั๋วหราน ก่อนจะขึ้นนั่งบนเบาะหลังของจักรยานทันที

ขณะมองตามแผ่นหลังของทั้งสองที่ค่อย ๆ ห่างออกไป เฉินเฟิงก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา

ถึงเขาจะขับมอเตอร์ไซค์ แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้จักรยานของฟางจั๋วหราน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทังชุ่นอิงเธอไม่น่ารอดนะ รอดยากทีเดียว คิดเมนูอาหารมื้อสุดท้ายที่อยากกินไว้ได้เลย

ยัยว่านฮุ่ยยังไม่สำนึกอีกเหรอ เพื่อนไม่คบขนาดนั้นแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

คุณไม่ใช่ผู้ถูกเลือกอะ เสียใจด้วยนะเฉินเฟิง

ไหหม่า(海馬)