ตอนที่ 955 เมืองพันอสูร (1) ตอนที่ 956 เมืองพันอสูร (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 955 เมืองพันอสูร (1) / ตอนที่ 956 เมืองพันอสูร (2)
ตอนที่ 955 เมืองพันอสูร (1)

เมืองพันอสูรมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก มีกำแพงสูงล้อมรอบทั้งเมือง ที่ที่เมืองพันอสูรตั้งอยู่ถูกล้อมด้วยภูเขาสีเขียวและผืนน้ำใสกระจ่างราวกับอัญมณีสีใส เมื่อมองครั้งแรกเมืองนี้ดูเหมือนสรวงสวรรค์ที่ถูกซ่อนเอาไว้ และที่อยู่ในป่าทึบเขียวขจี ก็คือสัตว์วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ใกล้เมืองพันอสูรมาเนิ่นนาน และสามารถสัมผัสได้ถึงขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณที่อยู่ในเมืองพันอสูร สัตว์วิญญาณที่นี่จึงแทบจะไม่โจมตีมนุษย์เลย

นอกจากตัวเมืองพันอสูรแล้ว ยังมีหมู่บ้านรอบๆ อยู่อีกหลายหมู่บ้าน หมู่บ้านพวกนั้นมักจะเป็นสถานที่พักของแขกที่มาเยือนเมืองพันอสูร เนื่องจากคนนอกที่อยากเข้าเมืองพันอสูร จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าเมืองหรือหัวหน้าตึกก่อนเท่านั้น

เมืองพันอสูรแบ่งออกเป็นห้าเขต เขตกลางดูแลโดยเจ้าเมืองเอง ขณะที่อีกสี่เขตที่เหลือถูกแบ่งเป็นสี่ทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก จะเข้าแต่ละเขตได้โดยผ่านประตูใหญ่เท่านั้นซึ่งอยู่ในอำนาจบริหารของหัวหน้าตึก

สยงป้ามาจากตึกเพลิงพิโรธซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของเมืองพันอสูร ดังนั้นสยงป้าและคนอื่นๆ จึงกลับเข้าเมืองผ่านทางประตูฝั่งทิศตะวันออก

จวินอู๋เสียมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าและเห็นทิวทัศน์ภายในเมืองพันอสูร ที่ด้านบนของประตูเมืองพันอสูรมีรูปแกะสลักของสัตว์วิญญาณที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่ด้วย

และสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปภายในเมืองพันอสูรก็คือสัตว์วิญญาณ

สัตว์วิญญาณที่อื่นๆ ในโลกนี้ดุร้ายและไม่อาจทำให้เชื่องได้ แต่ในเมืองพันอสูรนั้นเป็นข้อยกเว้น

ขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณที่ตกทอดกันมาหลายรุ่นของเจ้าเมืองพันอสูรได้เปิดเส้นทางระหว่างมนุษย์และสัตว์วิญญาณ และขลุ่ยนี้มีเพียงเลาเดียวในโลก ด้วยอิทธิพลจากขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณนี้เอง ประชาชนในเมืองนี้ทุกคนจึงคุ้นเคยกับสัตว์วิญญาณมาตั้งแต่เล็ก ก่อนที่วงแหวนภูติวิญญาณจะตื่นขึ้น พวกเขาได้ลองเลี้ยงลูกสัตว์วิญญาณกันแล้วด้วยการเอาพวกมันไว้ใกล้ตัวตั้งแต่เด็ก ทำให้สัตว์วิญญาณพวกนั้นค่อยๆ คุ้นเคยและกลายเป็นส่วนหนึ่งในสภาพแวดล้อมของมนุษย์

ตามถนนหนทางของเมืองพันอสูรจะเห็นสัตว์วิญญาณเชื่องๆ เดินตามผู้คนไปทั่วทุกหนแห่ง

ขนาดของสัตว์วิญญาณพวกนั้นไม่จัดว่าใหญ่โตอะไร และดูแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงสัตว์วิญญาณระดับต่ำ

“พวกท่านทำให้สัตว์วิญญาณเชื่องได้ด้วยหรือ” จวินอู๋เสียถามพลางมองผู้คนที่พาสัตว์วิญญาณขนาดต่างๆ เดินไปตามถนน คนอื่นๆ ในรถม้าดูจะชินกับภาพแบบนี้ พวกเขาไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกเลยสักนิด

สยงป้ายิ้มและพยักหน้า เขาพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า “เมืองพันอสูรของเรามีชื่อเสียงด้านสัตว์วิญญาณ ถึงแม้จะมีขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณอยู่แค่เลาเดียว พวกเราก็ยังพยายามทำให้สัตว์วิญญาณเชื่อง แต่เนื่องจากเมื่อไม่มีขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณ ก็เลยทำให้เชื่องได้แค่พวกสัตว์วิญญาณระดับต่ำเท่านั้น”

จวินอู๋เสียเลิกคิ้ว ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเมืองพันอสูร นางได้แยกทางกับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ฟ่านจัวและคนอื่นๆ แยกไปที่หมู่บ้านต่างๆ ด้านนอกประตูเมืองทั้งสี่ เพื่อให้ง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่สามารถช่วยในภารกิจได้

วิธีเดียวที่จะทำตามความต้องการของชวีหลิงเย่ว์ได้ก็คือช่วยเหลือคนที่ถูกลักพาตัวไป การหาตำแหน่งของคนที่ถูกกักขังพวกนั้นให้เจอ จึงเป็นสิ่งที่จวินอู๋เสียจำเป็นต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากนั้นถ้าสยงป้าพาคนแปลกหน้าเข้าไปในเมืองพันอสูรหลายคนในคราวเดียว คนก็จะสงสัยอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นจวินอู๋เสียเพียงคนเดียว มันก็จะง่ายขึ้นมากไม่ว่าจะซ่อนตัวนางหรืออธิบายถึงตัวตนของนาง

ก่อนที่พวกเขาแยกทางกัน ฟ่านจัวเข้ามาหานางเป็นการส่วนตัวเพื่อคุยกับนางเรื่องกำไลสะกดอสูรของเมืองพันอสูร

กำไลสะกดอสูรเป็นสิ่งที่ได้มาจากโลหิต หยาดเหงื่อ และน้ำตาของเจ้าเมืองพันอสูรในอดีตหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำลองมาจากขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณ เป็นสิ่งที่สร้างมาเพื่อสะกดพวกสัตว์วิญญาณโดยเฉพาะ

ตอนที่ 956 เมืองพันอสูร (2)

ขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณของเมืองพันอสูรสามารถควบคุมสัตว์วิญญาณได้เป็นพันๆ ตัว ทำให้สัตว์วิญญาณนับไม่ถ้วนยอมสยบและทำตามที่ต้องการ แต่กำไลสะกดอสูรไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น มันสามารถใช้กับสัตว์วิญญาณได้แค่หนึ่งตัวเท่านั้น และด้วยระดับของกำไลสะกดอสูร สัตว์อสูรที่สามารถควบคุมได้จึงระดับต่างกันไปด้วย

ในฐานะที่ฟ่านจัวเป็นช่างหลอมแหวน เขาจึงสนใจกำไลสะกดอสูรนี้มาก ดังนั้นก่อนที่จะแยกทางกัน เขาจึงมาหาจวินอู๋เสียเพื่อขอให้นางช่วยดูว่าจะสามารถหามาสักอันได้หรือไม่เมื่อไปถึงเมืองพันอสูรแล้ว

กำไลสะกดอสูรเป็นความลับที่เมืองพันอสูรเก็บรักษาไว้ ถึงแม้ชวีหลิงเย่ว์จะมาขอความช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องนี้ มันก็ยังไม่ดีนักที่พวกเขาจะถามชวีหลิงเย่ว์เรื่องกำไลสะกดอสูรไปตรงๆ อย่างนั้น มันไม่ต่างจากการฉกฉวยเอามรดกตกทอดของตระกูลของผู้อื่นเลย

จวินอู๋เสียยังจำคำขอของฟ่านจัวได้ แต่ตอนที่สยงป้าพูดเรื่องขลุ่ยขึ้นมา สีหน้าของนางก็ยังไม่เปลี่ยน

รถม้าเคลื่อนที่ไปในเมืองพันอสูรอย่างช้าๆ ความงดงามรุ่งเรืองภายในเมืองค่อยๆ ผ่านหน้าจวินอู๋เสียไป

หลังจากนั้นพักใหญ่ รถม้าก็ไปหยุดอยู่หน้าอาคารหลังหนึ่ง สยงป้าก้าวลงจากรถม้าทันที

ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้ามาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าสยงป้าและรถม้าของพวกเขา

สยงป้าเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าแล้วขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มคนนั้นมีหน้าตาที่ดูดีมีเสน่ห์และดูเหมือนจะมีอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปี ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของเขาก็ไม่ละไปจากรถม้าเลย เขามองข้ามสยงป้าที่ก้าวออกมาจากรถม้าเป็นคนแรกอย่างสิ้นเชิง

และเมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นชวีหลิงเย่ว์ก้าวลงมาจากรถม้า ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาเหวี่ยงตัวเองลงจากหลังม้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะที่ก้าวเข้าไปหาชวีหลิงเย่ว์

อย่างไรก็ตาม ชวีหลิงเย่ว์ไม่ได้สังเกตเห็นชายหนุ่มที่เข้ามาเลย สายตาของนางจับจ้องไปที่จวินอู๋เสียที่ก้าวออกจากรถม้าอย่างช้าๆ

“เป็นการเดินทางที่ยากลำบากอยู่นะ ท่านคงลำบากไม่น้อย” ชวีหลิงเย่ว์พูดพลางมองจวินอู๋เสียยิ้มๆ เนื่องจากนางเดิมพันข้างจวินอู๋เสียจนหมด นางจึงเอาแต่สนใจจวินอู๋เสียโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เท่าไรหรอก” จวินอู๋เสียตอบนิ่งๆ

ชายหนุ่มที่ยิ้มกว้างเต็มหน้าเพิ่งมาถึงด้านข้างรถม้า เขาเห็นชวีหลิงเย่ว์ยิ้มหวานให้จวินอู๋เสียที่เพิ่งก้าวออกจากรถม้า ใบหน้านั้นไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่ดูเหมือนชวีหลิงเย่ว์จะสนิทสนมกับเด็กนั่นเป็นพิเศษ รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นหายไปทันที สายตาแสดงออกถึงความไม่พอใจ

“หลิงเย่ว์!” ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงเรียก

เมื่อชวีหลิงเย่ว์ได้ยินเสียงก็หันหน้าไปและพบชายหนุ่มคนนั้นกำลังยิ้มฝืนๆ ให้นาง

“หลินเฟิง มาที่นี่ทำไมน่ะ” ชวีหลิงเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ นางมองหลินเฟิงที่ยืนยิ้มฝืนๆ อยู่ตรงหน้านาง

หลินเฟิงเป็นบุตรชายของหลินเชวียหัวหน้าตึกน้ำค้างเหมันต์ เขาอายุเท่ากับชวีหลิงเย่ว์

หลินเฟิงพูดพลางหัวเราะว่า “ข้าได้ยินจากท่านพ่อว่าท่านกลับมา ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าท่านได้รับบาดเจ็บหนักที่รัฐเหยียน ข้าก็เลยเป็นห่วงมาก แต่ท่านเจ้าเมืองไม่ยอมให้ข้าตามไปด้วย พอข้าได้ข่าวว่าท่านกลับมาวันนี้ ข้าก็รีบมาที่นี่เลย หลิงเย่ว์ เกิดอะไรขึ้นที่รัฐเหยียนอย่างนั้นหรือ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันในศึกประลองภูติวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” ขณะที่พูดหลิงเฟิงก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าห่วงใย ตั้งใจจะตรวจสอบอาการของชวีหลิงเย่ว์

ชวีหลิงเย่ว์ถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นางยิ้มอย่างอึดอัดแล้วพูดว่า “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณจวินเสียที่ทำให้ข้าพ้นจากอันตรายและกลับมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย” พอพูดจบนางก็หันไปทางจวินอู๋เสียที่ยืนอยู่ข้างๆ และยิ้มให้นาง