ตอนที่ 525 การป้องกันโดยชอบธรรม

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 525 การป้องกันโดยชอบธรรม

เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่หลินม่ายลืมตาตื่น ก็เห็นว่าโจวฉายอวิ๋นเข้ามายืนอยู่ข้างเตียงตัวเอง

ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว จึงตกใจกลัวจนขนลุกเกรียว

เธอผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที ตบหน้าอกขับไล่ความตื่นตกใจที่ยังคงอยู่ พลางบ่นว่า “พี่ฉายอวิ๋น คิดจะทำให้ฉันตกใจจนหัวใจวายตายหรือยังไงกัน ทำไมถึงมายืนอยู่ข้างเตียงฉันตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นโยนเสื้อผ้าของหลินม่ายที่เตรียมไว้ให้เธอถึงอ้อมแขน ก่อนจะบอกพร้อมกับถอนหายใจว่า เสื้อผ้าซีม่านเองก็มีการออกอากาศโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์เหมือนกัน

รูปแบบโฆษณาไม่ใช่แค่คล้ายคลึง แต่เหมือนกันเปี๊ยบทุกประการ

หลินม่ายไม่ค่อยมีเวลาดูทีวีจึงไม่รู้เรื่องนี้ ถามกลับไป “ออกอากาศตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อคืนนี้เอง” โจวฉายอวิ๋นพูดพลางขมวดคิ้ว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะส่งผลกระทบต่อUniqueของเรามากแค่ไหน”

หลินม่ายหันหลังให้อีกฝ่าย ถอดชุดนอนออกแล้วสวมชุดใหม่ “โฆษณาของซีม่านออกอากาศทางช่อง CCTV ด้วยหรือเปล่าล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ฉันเห็นแค่ทางสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของหูหนานนะ”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ “แค่สถานีท้องถิ่นเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายอะไรหรอก”

ช่วงเช้า หลังจากสอบวิชาภาษาอังกฤษและวิชาฟิสิกส์เสร็จ การสอบไล่ประจำเดือนก็สิ้นสุดลงแล้ว

บ่ายวันนั้น หลินม่ายไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดีลอบวางเพลิง

หลัก ๆ คือเธออยากรู้ว่ากวนหย่งหัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีวางเพลิงครั้งนี้หรือไม่

ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในสถานีตำรวจ ก็เห็นว่าสามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงกำลังขอร้องอ้อนวอนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ให้พวกเขาได้เจอหน้าทังชุ่นอิงสักครั้ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ไปโรงเรียนเพื่อบันทึกคำให้การของหลินม่ายในครั้งล่าสุด

เขาอธิบายให้สามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงฟังด้วยความอดทน

ทังชุ่นอิงตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีวางเพลิงและพยายามฆ่า หลังจากถูกควบคุมตัว หล่อนไม่ได้รับอนุญาตให้ญาติเข้าพบ ถ้าจะติดต่อต้องติดต่อผ่านตัวแทนอีกทีหนึ่ง

แต่แม่สามีของทังชุ่นอิงกลับไม่ฟังคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย แถมแสร้งตีอกชกหัวเหมือนเป็นคนบ้าและโง่เขลา ยืนกรานว่าจะขอพบทังชุ่นอิงให้ได้

สามีของทังชุ่นอิงก็เอาแต่ยืนบื้ออยู่ข้าง ๆ และไม่พยายามช่วยเกลี้ยกล่อมแม่ตัวเองเลยสักนิดของเขาเอง ปล่อยให้หล่อนสร้างปัญหาต่อไป

เหตุผลที่พวกเขายืนกรานว่าจะขอพบทังชุ่นอิง ก็เพื่อบอกหล่อนว่าในคืนที่หล่อนเข้าไปวางเพลิงในโรงงาน สามีของหล่อนได้แอบไปหากวนหย่งหัวอย่างลับ ๆ

เขาต้องการให้กวนหย่งหัวมอบรางวัลให้หล่อน และหาทางพาหล่อนออกมาจากศูนย์กักกันให้ได้ ไม่งั้นจะให้การกับตำรวจว่าคนที่ออกคำสั่งให้หล่อนวางเพลิงก็คือเขา

แต่กวนหย่งหัวไม่เพียงปฏิเสธที่จะมอบรางวัลแล้ว แต่ยังขับไล่สามีหล่อนออกไปด้วย นับประสาอะไรกับการช่วยเหลือหล่อน

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปในทิศทางที่พวกเขาคาดหวัง แม่สามีและสามีของทังชุ่นอิงก็เคร่งเครียดถึงขั้นหวั่นวิตก จึงต้องการเข้าพบทังชุ่นอิงเพื่อหารือกันถึงมาตรการตอบโต้

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้พวกเขาเข้าพบทังชุ่นอิง ทุกคนจึงทำท่าทางเดือดร้อนจะเป็นจะตาย

นายตำรวจรู้สึกรำคาญแม่สามีของทังชุ่นอิงมาก แต่เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นหลินม่าย เขาจึงหันไปทักทายเธอ “สหายเสี่ยวหลิน คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะตอบกลับ สามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงก็เหลือบไปเห็นการมาของเธอเช่นกัน

แม่สามีของทังชุ่นอิงรีบปรี่เข้าไปหาหลินม่ายเหมือนหมาบ้า “นังสารเลว แกทำให้ลูกสะใภ้ของฉันต้องติดคุก!”

แม่สามีของทังชุ่นอิงเป็นหญิงชราที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หล่อนคิดว่าการถูกควบคุมตัวอยู่ในศูนย์กักกันก็ไม่ต่างอะไรจากติดคุก

ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าถึงตัวหลินม่าย เธอก็ผลักอีกฝ่ายออกไปจนล้มกลิ้งไปกับพื้น

ปกติเธอไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แต่ชอบเจรจากันด้วยเหตุและผลเป็นหลัก โน้มน้าวผู้อื่นด้วยความชอบธรรม

แต่แม่สามีของทังชุ่นอิงแสดงออกชัดเจนว่าหล่อนไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เธอจึงไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลให้เสียเวลา แรงมาก็แรงกลับ

จากนั้นก็ขึ้นเสียงใส่หญิงชราด้วยความโกรธ “ฉันสั่งให้ลูกสะใภ้คุณเข้าไปในโรงงานของฉันแล้ววางเพลิงรึไง!”

หญิงชราที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“หล่อนก็แค่วางเพลิงไม่ใช่เหรอ? ยังไม่ทันได้ฆ่าใครซะหน่อย กล้าดียังไงถึงแจ้งตำรวจว่าหล่อนพยายามฆ่า? ฉวยโอกาสนี้ใส่ร้ายหล่อนหรือไง? แกนี่มันชั่วช้าจริง ๆ!”

หล่อนไม่รู้หนังสือไม่พอ ยังไม่รู้กฎหมาย

พวกเขาคิดว่าตราบใดที่คนของตัวเองไม่ทำให้ใครตายจากการวางเพลิงในครั้งนี้ หล่อนก็จะไม่ถูกตัดสินให้รับโทษหนัก แต่พวกเขาเชื่อว่าข้อหาพยายามฆ่านั้นร้ายแรงเป็นพิเศษ

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทึกทักกันไปเอง ว่าทังชุ่นอิงถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกันเพราะคำให้การเท็จของหลินม่าย

ถ้าเธอไม่ได้บอกตำรวจว่าทังชุ่นอิงพยายามฆ่าเธอ หล่อนจะโดนจับเข้าคุกได้อย่างไร!

เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จัดการคดีนี้ตำหนิด้วยความโกรธ “ผู้ต้องสงสัยเป็นคนสารภาพเองว่าหล่อนพยายามฆ่าจริง ๆ คุณยังมีหน้ามาบอกอีกเหรอว่าหล่อนไม่ได้พยายามจะฆ่าใคร!”

หญิงชราได้ยินแบบนั้นก็จำใจหุบปากด้วยความโกรธ

คราวนี้ถึงคราวลูกชายหล่อนแสดงละครบ้างแล้ว

เขาก้าวพรวดออกข้างหน้าด้วยความโกรธ พร้อมกับผลักหลินม่ายอย่างแรง “เธอทำร้ายแม่ฉันทำไม?”

หลินม่ายถูกผลักจนเซถอยหลังไปสองก้าว “แม่คุณตั้งท่าจะมาทำร้ายฉันก่อน ฉันก็ต้องป้องกันตัวสิ!”

สามีของทังชุ่นอิงคำราม “แม่ฉันยังไม่ทันจะทำร้ายเธอด้วยซ้ำ! แต่เธอกลับลงมือก่อนซะแล้ว กล้าพูดได้ยังไงว่าเป็นการป้องกันตัว?”

“หล่อนยังไม่ทันทำร้ายฉันก็จริง แต่ฉันสามารถเป็นฝ่ายโจมตีก่อนได้ นี่ก็ถือเป็นการป้องกันตัวเหมือนกัน!”

สามีของทังชุ่นอิงแค่นเสียงตะคอกอย่างชั่วร้าย “ไร้สาระ!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนจึงให้ความรู้ทางกฎหมายแก่เขาพร้อม ๆ กัน “หล่อนไม่ได้พูดไร้สาระ ตราบใดที่คดีความทางกฎหมายยังดำเนินอยู่ การที่เหยื่อพยายามปกป้องตัวเอง ก็ถือเป็นการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผล!”

สามีของทังชุ่นอิงเกิดความลังเล “ถ้าอย่างนั้นทำไมหล่อนถึงผลักแม่ผมลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ตอนนี้ก็ยังลุกขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ยกมือชี้หน้าหลินม่ายพลางพูดว่า “หล่อนป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ สหายตำรวจไม่คิดจะลงโทษหล่อนหน่อยเหรอ?”

“ฉันป้องกันตัวเกินกว่าเหตุเนี่ยนะ?” หลินม่ายเย้ยหยัน “ถ้าอย่างนั้นก็พาแม่ตัวเองไปประเมินอาการบาดเจ็บดูสิ จะได้รู้ว่าหล่อนบาดเจ็บร้ายแรงแค่ไหน แล้วค่อยตัดสินว่าฉันป้องกันตัวเกินกว่าเหตุจริงหรือเปล่า?”

เธอไม่ได้ถีบหญิงชราเข้าที่หน้าท้องด้วยซ้ำ แต่เล็งไปที่เข่าของอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บที่หล่อนได้รับจะรุนแรงแค่ไหนกันเชียว? ยิ่งไปกว่านั้น หญิงชราคนนี้ยังมีประวัติแสดงละครตบตาคนอยู่ด้วย

สองแม่ลูกคู่นี้สร้างปัญหามากเกินไป แม้กระทั่งผู้กำกับยังเอือมระอา

ผู้กำกับจึงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงพาแม่สามีของทังชุ่นอิงออกไปประเมินอาการบาดเจ็บ

สามีของทังชุ่นอิงกลัวมาก ดังนั้นจึงยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี

ในที่สุดสถานีตำรวจก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จดบันทึกคำให้การของหลินม่ายหันไปบริการเธอต่อ หลินม่ายจึงอธิบายจุดประสงค์ของตัวเอง

นายตำรวจบอกเธอว่า ทังชุ่นอิงรับสารภาพทั้งข้อหาวางเพลิงและข้อหาพยายามฆ่า พวกเขาเตรียมจะส่งตัวหล่อนขึ้นศาลแล้ว แต่เมื่อเช้านี้ ทังชุ่นอิงอ้างว่ากวนหย่งหัวเป็นคนบงการให้หล่อนลงมือทำแบบนั้น

ดังนั้นทางตำรวจจึงต้องทำการสอบสวนต่อไป คาดว่าทังชุ่นอิงคงยังไม่ถูกส่งตัวขึ้นศาลภายในวันชาติแน่

หลินม่ายอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ในที่สุดทังชุ่นอิงก็ยอมลากกวนหย่งหัวเข้ามามีเอี่ยวจนได้

สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งถึงวันสุดท้ายของเดือนกันยายน

จากการคาดเดาของหลินม่าย ถึงซีม่านจะมีการออกอากาศโฆษณาแบรนด์ตัวเอง แต่โครงข่ายการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นก็อยู่ในขอบเขตที่จำกัด อิทธิพลจึงด้อยกว่าUniqueมาก

ผนวกกับสโลแกนตอนท้ายที่ทาง CCTV เพิ่มเข้ามาในโฆษณาUniqueแล้ว โฆษณาดังกล่าวยังสามารถปลุกระดมความรู้สึกรักชาติของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ยิ่งไปกว่านั้นUniqueยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายควบคู่ ทำให้ซีม่านไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป ถึงยอดขายของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นภัยต่อUnique

พรุ่งนี้เป็นวันชาติ ทั้งยังเป็นฤกษ์งามยามดีที่ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายจะได้หมั้นหมายกัน

เถาจืออวิ๋นตัดชุดสำหรับหลินม่ายเพื่อสวมใส่ในงานเลี้ยงหมั้นเสร็จทั้งหมดเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

หลินม่ายลองใส่ดูแล้ว พบว่ามันทั้งสวยและพอดีตัว

ถึงเธอจะซื้อชุดสูทซึ่งมีราคาแพงที่สุดจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงให้กับฟางจั๋วหรานตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ชุดสูทของผู้ชายในยุคนี้กลับหลวมโครก ไม่ส่งเสริมสรีระให้ดูดีเลย

หลินม่ายจึงขอให้เถาจืออวิ๋นช่วยตัดเสื้อสูทและเสื้อเชิ้ตทรงสลิมยอดฮิตในชาติที่แล้วให้เขา

วันสุดท้ายของเดือนกันยายน หลินม่ายไปที่โรงงานเพื่อตรวจสอบการจ่ายค่าจ้างและเสบียงวันหยุดสำหรับคนงาน เถาจืออวิ๋นได้ส่งมอบเสื้อเชิ้ตและชุดสูทตัวใหม่ของฟางจั๋วหรานให้เธอ

เถาจืออวิ๋นพูดละล่ำละลักว่า “ฉันลองคิดเกี่ยวกับมันดูแล้ว ถ้าตัดเสื้อผู้ชายเป็นทรงเข้ารูปมากเกินไป จะดูเหมือนผู้หญิงเกินไปหรือเปล่า คนที่สวมใส่จะไม่รู้สึกแปลก ๆ เลยเหรอ? ฉันก็เลยไม่ได้ทำเข้ารูปเยอะตามที่เธอขอ แค่ทำให้ทรงเสื้อดูเล็กลงมาหน่อย เธอคง…ไม่โกรธฉันใช่ไหม”

ถึงหลินม่ายจะแอบผิดหวังนิดหน่อย แต่เธอก็พอจะเข้าใจหลักการคิดของเถาจืออวิ๋น

อาจเป็นเพราะไอเดียของเธอล้ำยุคเกินไป จนแม้แต่เถาจืออวิ๋นที่เป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นยังรับไม่ได้

หลินม่ายส่งยิ้มตอบพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เรียกประชุมเฉพาะกิจ พอจัดการเรื่องงานเสร็จแล้ว ก็หอบเสื้อผ้าไปยังแผนกบัญชีและการเงิน

ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นคนงานมาเข้าแถวรอรับค่าจ้างยาวประมาณสิบเมตร

คนที่ได้รับเงินเดือนแล้ว เดินออกจากแผนกการเงินพร้อมกับยิ้มแย้มแจ่มใส

คนงานที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหลังอดถามอีกฝ่ายไม่ได้ว่าเดือนนี้ได้เท่าไหร่

คนงานที่ได้รับเงินเดือนแล้วชูสองนิ้ว “เกือบสองร้อยแน่ะ”

คนงานที่อยู่ด้านหลังได้ยินแบบนั้นต่างก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

ถึงพวกเขาจะทำงานล่วงเวลาตลอดทั้งเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นงานที่หนักมาก แต่ก็ยังได้รับค่าจ้างเกือบสองร้อยหยวน ช่างคุ้มค่ากับการทำงานหนักจริง ๆ

ติงไห่เฟิงพาสหายน้องชายสองสามคนมาตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อย

เขาตะโกนเสียงดัง “สหายคนไหนที่ได้รับเงินเดือนแล้วโปรดเลี้ยวซ้าย หลังจากนั้นเลี้ยวขวา ไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยเพื่อรับเสบียงในวันหยุดด้วย”

ขณะนั้นคนงานวัยสามสิบเดินผ่านเขาไปพอดี จึงตบหลังศีรษะเขาเบา ๆ “นายพูดว่าให้ทุกคนไปแผนกรักษาความปลอดภัยก็พอแล้ว จะเพิ่มประโยคเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหลายคำทำไมให้ดูซับซ้อน”

ติงไห่เฟิงถูกตบหัวก็จริง แต่เขากลับไม่แสดงท่าทางไม่พอใจต่ออีกฝ่ายเลย จิตวิญญาณนักเลงในตัวค่อย ๆ เลือนหายไป

หลังจากได้รับค่าจ้างจำนวนมาก ทั้งยังได้รับแอปเปิลเต็มกล่อง คนงานทุกคนต่างก็มีความสุขมาก

เมื่อพวกเขาเดินผ่านหลินม่าย ทุกคนต่างขอบคุณเธอกันยกใหญ่

หลินม่ายทำท่าทางให้กำลังใจ “ตั้งใจทำงานเข้าไว้ คนที่ทำงานหนักย่อมได้รับรางวัลเสมอ”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คิดเหรอว่าคนอย่างกวนหย่งหัวจะยอมสารภาพว่าตัวเองเป็นคนบงการ เอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ ซะแล้วมั้งยัยทังชุ่นอิง

ไหหม่า(海馬)