บทที่ 535 สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเข้ารับตำแหน่ง

เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ

บทที่ 535 สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเข้ารับตำแหน่ง

“ฉินจ้าว ควรจะได้ตำแหน่งจ้วงหยวนของปีนี้ เขาเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ฝ่าบาทได้มอบหมายงานสำคัญๆ ให้เขา เขาสนับสนุนพัฒนาการค้าขายของเมืองฉินโจว ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางการค้า จัดตั้งหัวเมืองที่สำคัญขึ้นมา แต่ภายหลังกลับมีพวกซยงหนูฉวยโอกาสเข้าปล้นสดมภ์ เผาเมือง สังหารผู้คนล้มตายไปมากมาย ฉินจ้าวถูกตัดสินให้มีความผิด เขาถูกเนรเทศและได้เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนา”

“แล้วตอนนี้เล่า?” ถังหลี่ถามอย่างกระวนกระวาย

“หลังจากได้ทนทุกข์ทรมานกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เขาจึงได้ตระหนักว่า สิ่งที่เขาเรียนรู้จากในตำรานั้น แท้จริงแล้วล้วนตื้นเขิน เขารู้ว่าตนเองต้องใฝ่รู้อีกมาก เขาปล่อยวาง เดินทางท่องเที่ยวไปสามปี รับคำชี้แนะจากผู้อื่น สามปีให้หลังเขาจึงได้กลับมาสอบใหม่อีกครั้ง เขาได้ตำแหน่งจ้วงหยวนตามที่เขาปรารถนา” ถังหลี่เปลี่ยนชะตาของฉินจ้าวทางอ้อม

“ข้ายังไม่เข้าใจ” ถังหลี่พูดขึ้น

เทียนเต๋า “…………..”

ถังหลี่ครุ่นคิด เหตุใดเทียนเต๋าถึงได้เอ่ยถึงอนาคตของสวี่หลู่ไป๋ได้อย่างชัดเจน แต่ของฉินจ้าวกลับดูคลุมเครือ…มีความเป็นไปได้สองอย่างที่ว่า คือหนึ่ง เขารู้แต่ไม่สามารถพูดได้ และอีกประการหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่รู้นั่นเอง ถังหลี่ครุ่นคิด เมื่อเทียบกับเส้นเรื่องเดิมที่มีนางและสามี จูชุนเจียวกับจ้าวชูกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับสวี่หลู่ไป๋นั้นเป็นเพราะเขาอยู่เมืองเหลียงโจวซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวง เทียนเต๋าจึงสามารถบอกเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำตรงไปตรงมา

แต่กับฉินจ้าว เป็นเพราะเขาอยู่ในเมืองหลวงซึ่งอยู่ใกล้กับเส้นเรื่องหลัก และมีตัวแปร ด้วยเหตุนี้เทียนเต๋าจึงไม่เห็นอนาคตเขาได้อย่างชัดเจน

ถังหลี่พูดถึงเรื่องนี้ออกมา ทำให้เทียนเต๋าจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ประหลาดใจ

นางคาดเดาถูกต้อง!

“เจ้าคือตัวแปร” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา

ในเมื่อนางคือตัวแปรของนวนิยายเรื่องนี้ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดนางหรือแม้แต่เทียนเต๋าเองก็มองอนาคตได้อย่างไม่ชัดเจนนัก

“ยิ่งข้าเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ ความดีก็จะตอบแทนด้วยความดี ความชั่วก็จะตอบแทนด้วยความชั่ว เป็นไปตามวิถีแห่งสวรรค์ ท่านก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่องๆ ส่วนเทพเซียนก็จะอ่อนแอลง เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?” เทียนเต๋าพยักหน้า

“ใช่”

พวกเขาเหมือนกับแสงสว่าง และความมืด ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ความมืดก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

“หากเขาอ่อนแอลง เขาก็จะปกป้องจูชุนเจียวไม่ได้ ข้าจะบดขยี้นางตายลงได้ใช่ไหม?” ถังหลี่ถาม

เทียนเต๋าประหลาดใจ นางรู้จริงๆ ว่าจูชุนเจียวยังมีชีวิตอยู่ ! เทียนเต๋ายังต้องปฏิบัติตามกฎและไม่อาจเปิดเผยข้อมูลบางอย่างกับนางได้ เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกนาง แต่นางกลับคาดเดาเองได้อย่างถูกต้อง

เทียนเต๋าพยักหน้า ถังหลี่มีความสุขขึ้นมา วิธีนี้ทำให้นางมีเป้าหมาย และทิศทางที่แน่ชัด หากถังหลี่ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ย่อมมีวันที่จูชุนเจียวและจ้าวชูจะถูกลงโทษได้อย่างแน่นอน !

“เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

เทียนเต๋า “…………..”

เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกเหมือนโดนใช้แล้วทิ้งเลย!

………….

ไม่กี่วันต่อมาเครื่องแบบขุนนางอย่างเป็นทางการของสำนักฮั่นหลินก็ได้ส่งมายังจวนอู่โหว

เมื่อได้ชุดขุนนางมาแล้วเด็กทั้งสองจึงได้ลองใส่ดู เด็กหนุ่มสองคนรูปร่างเพรียวบางสูงตรง ดูคล้ายกัน แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ถังหลี่มองเด็กทั้งสองสลับกันไปมา

“พวกเจ้าสองคนดูน่ารักมาก” ถังหลี่ชมสวี่เจวี๋ยยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่เว่ยจื้ออั๋งยิ้มอย่างเขินอาย

เว่ยฉิงตบบ่าลูกชายทั้งสองคน จากนั้นจึงได้พูดเกี่ยวกับทางการให้พวกเขาฟัง ทั้งคู่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ

วันต่อมาพวกเขาไปรายงานตัวที่สำนักฮั่นหลิน เมื่อเข้าไปทั้งคู่ตื่นเต้นและประหม่า แต่พวกเขามีคนคุ้นเคยอยู่ข้างกันและกัน ความรู้สึกเครียดและกังวลจึงได้หายไป

พวกเขาไปรายงานตัวกับบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน ผู้ได้มอบหมายงานให้กับคนทั้งคู่

งานแรกของพวกเขาคือไปจัดเรียงตำราโบราณ

แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งของจ้วงหยวนและปั๋งเหยี่ยนของพวกเขาแล้ว คงไม่ใช่เป็นแค่การจัดเรียงตำราเท่านั้น แต่นี่เป็นเสมือนการฝึกให้คุ้นชินไปก่อน หลังจากนั้นจึงจะได้รับมอบหมายงานที่สำคัญกว่านี้

บรรดาเพื่อนร่วมงานหลายคนต่างให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มทั้งสองเป็นอย่างมาก ด้วยความที่เห็นว่าพวกเขามีอายุน้อยมาก หลายๆ คนจึงได้เวียนกันเข้ามาพูดคุยทักทายกันทีละคน จนกระทั่งพวกเขาเดินมาถึงห้องตำราโบราณ

เมื่อเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเดินเข้ามาในห้องจึงได้เห็นร่างที่คุ้นเคยของคนผู้หนึ่ง กำลังถือหนังสืออ่านอยู่

“องค์ชายหก!” เว่ยจื่ออั๋งเรียกทักอย่างประหลาดใจ จ้าวจิ่งซวนเงยหน้าขึ้นเขาอ่านหนังสือรอคนทั้งคู่อยู่นานแล้ว เขาวางหนังสือในมือลง แสร้งพูดขึ้นว่า

“พวกเจ้ามากันแล้วหรือ? ที่นี่มีตำรามากมาย ข้ามัวแต่อ่านเพลินเลยไม่รู้ว่าพวกเจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เหตุใดองค์ชายหกถึงได้มาที่นี่ได้?” เว่ยจื่ออั๋งถามอย่างสงสัย

“ข้ามาดูการทำงานของพวกเจ้า” จ้าวจิ่งซวนยืดตัวขึ้นพูดอย่างภูมิใจ

“งั้นหรือ? ท่านมีตำแหน่งอะไรเล่า?” เว่ยจื่ออั๋งถามต่อ

จ้าวจิ่งซวนลังเล

“อืม…”

สวี่เจวี๋ยมองเสื้อคลุมเป็นทางการของเขา

“โอ้! เป็นบัณฑิตฝึกงานนั่นเอง”

จ้าวจิ่งซวน “………….”

ปล่อยให้เขาเสแสร้งสักพักก็แล้วกัน

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเดินไปรอบๆ ห้อง

“บัณฑิตฝึกงาน เจ้ามาดูสิว่ามีหน้าไหนหายไปจากตำราเล่มนี้หรือไม่?”

สวี่เจวี๋ยกวักมือเรียกเขา

จ้าวจิ่งซวน “…………….”

เขาเรียกข้าหรือ?

จ้าวจิ่งซวนเดินไปหยิบหนังสือ

“ดูเนื้อหาในเล่มนี้ด้วยว่ามีข้อผิดพลาดหรือเนื้อหาไม่ครบหรือไม่? หากไม่แน่ใจก็ถามข้ากับจื่ออั๋งได้” สวี่เจวี๋ยเอ่ยกับเขา

จ้าวจิ่งซวนรู้ดีว่าสวี่เจวี๋ยอยากให้เขาอ่านหนังสือให้มากๆ

ช่างเถอะๆ เขาเป็นพี่ใหญ่ ย่อมไม่อาจแอบอยู่หลังน้องชายต่อไปได้มากนัก จ้าวจิ่งซวนจึงได้เปิดหนังสือออกอ่าน

……………..

หลังจากนั้นไม่นานนัก ตำแหน่งของจั๋วชูก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเช่นกัน เขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑลชิงหยาง ในเขตชิงเหอ

ขุนนางชั้นที่หนึ่งนั้นจะถูกจัดให้อยู่ในสำนักฮั่นหลิน ส่วนขุนนางชั้นที่สองจะถูกส่งออกไปเป็นผู้พิพากษาหรือเจ้าเมือง หลังจากทำงานหนักผ่านไปหลายปีเมื่อมีผลงานที่ดีแล้วก็จะถูกโยกย้ายกลับมายังเมืองหลวง

เป็นเรื่องบังเอิญที่ว่าบิดามารดาบุญธรรมของจั๋วชูนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองชิงเหออยู่แล้ว ทั้งคู่ไม่อยากที่จะย้ายออกจากบ้านเกิดไปที่ไหน เขาจึงยินดีในตำแหน่งนี้เป็นอย่างมาก เถ้าแก่เนี้ยฮวาและเฉาจีจึงได้เก็บข้าวของกลับไปยังเมืองชิงเหอพร้อมกัน

…………..

หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา

ถังหลี่ได้รับเทียบเชิญที่ส่งมาจากในวังให้ไปร่วมงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบสี่สิบปีของฮ่องเต้ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่มีการเตรียมงานมานานกว่าครึ่งปี

ผู้ที่ได้รับเชิญจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ และภรรยาของเสนาบดีและข้าราชบริพาร ถังหลี่เป็นฮูหยินที่มีสถานะพิเศษคือมีตำแหน่งเก้าเมิ่ง จึงได้รับเทียบเชิญด้วย แม้แต่มารดาของนางคือฮูหยินกู้ก็ได้รับเชิญเช่นเดียวกันยกเว้น ฮูหยินอู่เท่านั้น

เมื่อถังหลี่ได้รับเทียบเชิญ นางจึงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ งานเลี้ยงจัดขึ้นภายในวัง นางไม่เคยเข้าวังมาก่อน โลกในนั้นแปลกใหม่สำหรับถังหลี่ ในนวนิยายส่วนใหญ่จะเขียนถึงวังหลังซึ่งเป็นที่กินคนโดยไม่เหลือแม้แต่กระดูก หากเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นจำต้องระวังตัวให้ดี แม้ก้าวผิดเพียงครั้งเดียวก็อาจนำไปสู่หายนะได้

“ภรรยา เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะอยู่ด้วยกับเจ้า” เว่ยฉิงหยิบเทียบเชิญออกจากมือของถังหลี่วางไว้ด้านข้าง แล้วโอบนางเอาไว้

ถังหลี่ไม่กลัว นางเป็นปลาหลี่นำโชค นางจะไปกลัวอะไร? นางก็แค่จะ….

“สามี ท่านจำเรื่องราวยามที่เป็นเด็กได้หรือไม่?” ถังหลี่ถามเขา เว่ยฉิงพยักหน้า

“หลังจากข้าเกิดมาได้ไม่นาน ข้าก็ได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท พออายุได้สี่ขวบก็ย้ายออกไปอยู่ตำหนักวังบูรพา ข้าชอบแอบไปหามารดาบ่อยๆ ท่านแม่ชอบอยู่คนเดียว นางมีความสุขมาก นางไม่ชอบวังหลวง ข้าเองก็ไม่ชอบเช่นกัน มันเหมือนกรงที่ขังข้ากับท่านแม่เอาไว้”

เว่ยฉิงพูดเบาๆ ทุกคนบอกว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาจะเป็นฮ่องเต้ในภายหน้า เขามีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ คัดอักษร ขี่ม้า ยิงธนู…

แต่เขาชอบที่สุดคือการได้ตามลุงสามของเขาไปขโมยไข่จากรังนก ตกปลาในแม่น้ำ …ตั้งแต่เขาเป็นเด็กเขาไม่มีความสุขมากนัก จนกระทั่งเขาได้พบกับถังหลี่ โลกของเขาจึงได้สดใสมากขึ้น

“สามี…ไม่ว่าต่อไปภายหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” เว่ยฉิงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

ถังหลี่วางมือบนท้องของตนเอง

“และลูกของเราด้วย”

………………..