บทที่ 391 เรื่องราวที่พบพาน (1)
หลังจากกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ยแล้ว กู้เจียวก็ไปหาแจกันมาใส่ดอกไห่ถังแล้ววางไว้ริมหน้าต่างของตัวเอง
ดอกไห่ถังไม่ได้มีกลิ่นพิเศษอะไร แต่กลิ่นจากปลายนิ้วของเขายังคงอยู่ นางดมดูแล้วจึงรู้สึกหอม
เมื่อเซียวลิ่วหลังมายังหน้าประตูห้องตะวันออกก็เห็นกู้เจียวฟุบอยู่ริมหน้าต่างชื่นชมดอกไห่ถังที่เมื่อเทียบกับนางแล้วไม่ได้งดงามเลยสักนิด สองมือนางเท้าแก้ม ตั้งอกตั้งใจดูมาก เหมือนกำลังดูของล้ำค่าหายากที่ไม่เคยพบเคยเห็นอย่างไรอย่างนั้น
แค่ดอกไห่ถังดอกหนึ่งเท่านั้น มันน่าชื่นชอบเพียงนี้เชียวรึ
ที่บ้านก็มีต้นไห่ถังอยู่ เพียงแต่ผ่านช่วงออกดอกไปแล้ว
เบื้องลึกในจิตใจเซียวลิ่วหลังพลันอ่อนยวบราวกับถูกสะกิดอีกหน เขาใช้ปลายนิ้วเคาะประตูเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าจะไปบ้านท่านปู่สักหน่อย”
กู้เจียวหันมามอง ใบหน้าเด็กสาวอาบย้อมด้วยแสงอัสดรอันอบอุ่น นางยกยิ้มบางให้เขา “เอาสิ กินข้าวแล้วเดี๋ยวข้าเรียก”
“อืม”
เซียวลิ่วหลังขานรับพึมพำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าหันหลังกลับ ราวกับว่าข้างหลังมีบางอย่างไล่ตามเขามา
กู้เจียวหัวเราะไม่หยุด
นางหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาตั้งอกตั้งใจเขียนว่า ‘ดอกไม้ที่สามีมอบให้ครั้งแรก’
นางหยุดเว้น แล้วเขียนต่อว่า ‘ไปหาเพื่อนบ้านก็มาบอกนางก่อน สามีช่างติดนางนัก’
เซียวลิ่วหลังออกมาจากเรือนก็ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ทั้งสองบ้านตีกำแพงทะลุหากันนานแล้ว ระยะทางไปบ้านข้างๆ จึงพอๆ กันกับไปห้องหนังสือ เหตุใดตนไปห้องหนังสือยังต้องบอกนางด้วยเล่า
นางยังไม่เห็นจะบอกตนเลย
เซียวลิ่วหลังไปบ้านจี้จิ่วอาวุโสเพราะจะช่วยเขาตรวจข้อสอบของกั๋วจื่อเจียน
ในระหว่างที่ทั้งสองก้มหน้าก้มตาทำงานหลังขดหลังแข็งนั้น กู้เจียวก็มาเคาะประตูห้อง
“เจียวเจียวมาแล้ว” จี้จิ่วอาวุโสแย้มยิ้มยินดี
“ท่านปู่” กู้เจียวทักทาย ก่อนที่สายตานางจะกวาดไปมองเซียวลิ่วหลัง แต่เอ่ยกับจี้จิ่วอาวุโส “ข้าพาเสี่ยวจิ้งคงไปสวนผลไม้นะ”
“หา…ไปสิ” จี้จิ่วอาวุโสฉงน เรื่องแค่นี้ไม่ต้องมาบอกโดยเฉพาะก็ได้กระมัง เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะบอกเลย
กู้เจียวอมยิ้มมองคนบางคน มือน้อยๆ ไพล่ไว้ด้านหลังพร้อมกับเดินออกไปด้วยท่าทางมีชีวิตชีวายิ่ง
สายตาจี้จิ่วอาวุโสเบนมาหาเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังตั้งอกตั้งใจตรวจข้อสอบอย่างจริงจัง “มองข้าทำไมรึ”
แปลกๆ
เด็กสองคนนี้แปลกมาก!
จี้จิ่วอาวุโสนึกย้อนกลับไป นางหนูไม่ได้เอ่ยบอกเขา แต่บอกกับเซียวลิ่วหลังต่างหาก
จู่ๆ ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นแล้วรึ พวกเขาสองคนคงไม่…
ไม่สิ จุดแดงพรหมจรรย์บนหน้านางยังอยู่ พวกเขาไม่ได้ร่วมหอกัน
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาเคยแอบปรึกษากันแล้ว คุณหนูตระกูลใหญ่ๆ ต่างออกเรือนกันตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดทั้งนั้น พอสิบแปดสิบเก้าก็เริ่มตั้งครรภ์ เมื่อถึงเวลานั้นความเสี่ยงในการคลอดบุตรจะลดลงอย่างมาก
กู้เจียวอายุยังน้อย เข้าหอช้าหน่อยก็ดีเหมือนกัน
จี้จิ่วอาวุโสมองไปยังเซียวลิ่วหลังอย่างมีความนัย “ไอ้หนุ่มอย่างเจ้านี่นะ…”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เปล่านะ ไม่มีทางหรอก ทนได้น่า”
จี้จิ่วอาวุโส เหอะ ลมปากผู้ชายเชื่อได้เสียที่ไหน!
วันรุ่งขึ้น กู้เจียวไปส่งเซียวลิ่วหลังที่สำนักฮั่นหลินแล้วก็เข้าวัง
กู้เจียวเข้าวังเพราะไปหาท่านย่า
หมู่นี้สถานการณ์ทหารชายแดนเร่งด่วน จวงไทเฮากับฮ่องเต้จึงเอาแต่หารือเรื่องการศึกกันกับพวกขุนนางทหารที่ตำหนักข้างของตำหนักจินหลวน ไม่ได้กลับตำหนักเหรินโซ่ว
“แม่นางกู้ วันนี้แดดแรง ท่านอย่าตากแดดอยู่ข้างนอกเลย ไปพักที่ห้องบรรทมไทเฮาก่อนดีกว่า” เฝ่ยชุ่ยบอกกับกู้เจียว
กู้เจียวชอบนางกำนัลน้อยผู้ฉลาดเฉลียวนางนี้มาก นางจึงพยักหน้าให้ “ได้”
กู้เจียวไปห้องบรรทมของท่านย่า เฝ่ยชุ่ยยกผลไม้กับขนมที่นางชอบกินมาให้ กู้เจียวกินแตงหวานไปสองสามคำ กลับไม่ทันระวังน้ำแตงหวานกระเด็นเปื้อนตัวเองเข้า
ทั้งเหนียวหนุบหนับ ทั้งไม่สบายตัว
“ไอ้หยา เลอะเสียแล้ว บ่าวช่วยท่านหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้าเอาเสื้อผ้ามาด้วย”
เดิมทีวันนี้นางจะไปโรงประลองใต้ดิน ในตะกร้าใบน้อยจึงมีชุดบุรุษและหน้ากากของนาง
นางเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษ และปล่อยผมให้ยาวสยาย ก่อนจะมัดเป็นหางม้าสูง
เฝ่ยชุ่ยหอบเสื้อผ้าของนางไปซักตากให้
กู้เจียวอยู่ในห้องบรรทมไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มชื่นชมของล้ำค่าในหอสมบัติเหล่านั้น สิ่งของในตำหนักเหรินโซ่วไม่ว่าสิ่งใดล้วนเป็นของโบร่ำโบราณทั้งสิ้น และสูงค่าเทียบเท่ากับเมืองทั้งเมือง กู้เจียวไม่สันทัดเรื่องของโบราณ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการชื่นชมเงินทองของนางหรอก
ในบรรดาของล้ำค่ากองนี้ นางโดนกล่องผ้าไหมทรงสี่เหลี่ยมกล่องหนึ่งเรียกความสนใจเข้าอย่างคาดไม่ถึง คงเป็นเพราะในบรรดาของล้ำค่าทั้งหมดมันไม่เหมือนกับของโบราณ
กู้เจียวมองมันอย่างสนใจใคร่รู้ นางไม่ได้เป็นคนชอบรื้อค้นข้าวของของคนอื่น แต่นางก็คิดไม่ถึงว่ากล่องใบนี้จะเปิดง่ายเพียงแค่ลูบเบาๆ เท่านั้น
ของในกล่องเรียกความสนใจจากนางทันที มันเป็นรองเท้าหัวเสือใหม่เอี่ยม ทั้งงดงามและประณีต แค่มองก็รู้ว่าไม่มีใครเคยใส่มาก่อน แต่เนื้อผ้ากับลวดลายกลับเหมือนไม่ได้เป็นที่นิยมในสมัยนี้แล้ว
“แปลกจริง”
เตรียมไว้ให้ลูกน้อยในครรภ์แม่นางเหยาอย่างนั้นรึ
“แม่นางกู้ ตากเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว บ่ายๆ ก็คงแห้งเจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยเดินเข้ามา เห็นกู้เจียวจ้องกล่องในหอสมบัติ ฝีเท้านางพลันชะงัก อ้าปากพะงาบๆ คล้ายอยากพูดอะไร
“ทำไมรึ” กู้เจียวสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง
“อ๊ะ ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ” ปากนางบอกอย่างนั้น แต่สายตากลับเหลือบมองกล่องตรงหน้ากู้เจียวโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายนางจึงพ่ายแพ้ให้กับการจดจ้องอย่างสงสัยของกู้เจียวราบคาบ เอ่ยเสียงเบา “ยามปกติพวกเรามาทำความสะอาดหอสมบัติล้วนระวังกล่องใบนี้เป็นพิเศษ ฉินกงกงบอกว่าอย่าได้แตะต้อง และห้ามดูด้วย แต่ไทเฮาเอ็นดูแม่นางกู้ แม่นางกู้ดูไปก็คงไม่เป็นไร”
กล่องนี้ไม่ใช่ของล้ำค่า ที่ล้ำค่าก็คือรองเท้าคู่นั้นที่อยู่ด้านในกระมัง
กู้เจียวถามว่า “กล่องวางอยู่ในนี้ตลอดเลยหรือ”
“เจ้าค่ะ บ่าวมาทำงานที่ตำหนักเหรินโซ่วมันก็มีอยู่ก่อนแล้ว” เฝ่ยชุ่ยครุ่นคิด ก่อนเอ่ยเสริม “บ่าวเข้ามาตำหนักเหรินโซ่วเมื่อสามปีก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อสามปีก่อนท่านย่ายังไม่ได้ไปอยู่ที่บ้านพวกนางเลย และไม่รู้จักแม่นางเหยาด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กในครรภ์ของแม่นางเหยายามนี้
ดังนั้นรองเท้าคู่นี้ไม่ได้เตรียมไว้ให้เด็กในครรภ์แม่นางเหยา
สถานการณ์ทหารชายแดนเร่งด่วนกว่าที่คิด จนกระทั่งเที่ยงตรงก็ยังไม่เห็นท่านย่ากลับมา กู้เจียวจึงตัดสินใจค่อยมาหาอีกครั้ง
นางจึงไปโรงประลองใต้ดินแทน
นางไปเพราะจะไปดูว่าหนิงอ๋องได้มาหานางหรือไม่ นางไม่รีบร้อนตอบรับข้อเสนอของเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการถลุงกุยช่ายอย่างเขา
หนึ่งก้านธูปห้าสิบตำลึงเชียวนะ
เหล่าเหอก็เป็นคนเก่งเช่นกัน พอจะเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจนี้ จึงได้ปิดป้ายราคาทันทีว่า พิชิตผืนฟ้าห้าสิบตำลึง พูดคุยกับเจ้าได้หนึ่งก้านธูป
คล้องจองไม่เบา
ทว่าชื่อเสียงของนางไม่ได้โด่งดังเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้นห้าสิบตำลึงแค่ได้พูดคุยย่อมเป็นราคาที่สูงมากโดยไม่ต้องสงสัย มีเงินเย็นเช่นนี้ไม่สู้ไปหาสาวงามที่หอนางโลมไม่ดีกว่ารึ
ด้วยเหตุนี้นอกจากหนิงอ๋องแล้วจึงไม่มีใครติดเบ็ดเลย
ทว่ากู้เจียวกลับคิดผิดเสียแล้ว ปลาตัวอวบอ้วนในบ่อปลาใหญ่ของเมืองหลวงยังมีอีกมากมาย
“ท่านชายแซ่เซียวอยากพบเจ้า” เหล่าเหอบอก
‘เจ้าบอกราคาเขาไปหรือยัง’ กู้เจียวเขียน
“บอกไปแล้วสิ เขาขมวดคิ้วเหมือนรู้สึกไม่คุ้มเงิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จ่ายเงินให้ข้ามาแล้วด้วย” เหล่าเหอเอ่ยพลางเอาตั๋วเงินห้าสิบตำลึงส่งให้กู้เจียว
‘ครั้งต่อไปเก็บเขาหกสิบ’ กู้เจียวเก็บตั๋วเงินให้เรียบร้อย แล้วเขียนต่อ ‘สิบตำลึงเป็นของเจ้า’
จะให้เหล่าเหอเป็นคนกลางเปล่าๆ ไม่ได้
เหล่าเหอดวงตาเป็นประกาย เขาพยักหน้าเหมือนคำกระเทียม “ได้! ได้สิ!”
กู้เจียวประลองไปห้ายก ไม่แพ้เลยแม้แต่ยกเดียว ประลองให้ชนะอีกห้ายกก็เลื่อนขั้นได้หนึ่งขั้นแล้ว
วันนี้ยังคงเป็นสามยก หนึ่งในนั้นปะทะกับคนที่เก่งกาจกว่านักดาบ อีกฝ่ายเป็นนักดาบที่เหลือแค่ชัยชนะยกสุดท้ายก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไประดับสามได้แล้ว
น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับกู้เจียว
แต่วรยุทธ์เขาก็ไม่เลว เจอกู้เจียวใช้อาวุธเป็นทวนพู่แดง
ทวนพู่แดงของนางถูกเสี่ยวจิ้งคงทำมิดีมิร้ายมาก่อน หัวทวนเสียบด้วยดอกไม้แดงดอกใหญ่ ตัวด้ามก็วาดดอกไม้แดงจนลายพร้อยไปหมด เห็นแล้วอุจาดตายิ่ง
พออาวุธพิสดารเช่นนี้ปรากฏขึ้น สายตาทุกคนแทบจะบอดทีเดียว
ไม่รู้ว่านักดาบผู้นั้นถูกประกายทวนทำตาบอดหรือไม่ จึงได้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกู้เจียวก็ทิ่มทวนออกไปแทงโดนเข็มขัดเขาเข้า แล้วยกตัวเขาโยนไปล่างเวที
นักดาบนั่งหน้ามึนงงอยู่กับพื้น…
เขาถูกไอ้ของพรรค์นี้แทงเอารึ
กู้เจียวประลองเสร็จจึงไปพบคุณชายเซียวคนนั้น
อีกฝ่ายมีมาดมากกว่าหนิงอ๋อง นึกไม่ถึงว่าจะมีฉากบังลมกางกั้นไว้อยู่ในห้อง เขานั่งอยู่หลังฉากบังลมพูดคุยกับกู้เจียว
น่าเสียดายที่พอเอ่ยปากขึ้นกู้เจียวก็จำเสียงเขาได้ทันที
หากนี่ไม่ใช่ไท่จือแห่งวังบูรพาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
นางกับเซียวลิ่วหลังไปกินข้าวที่โจวจี้แล้วเจอไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยเข้า เรียกได้ว่าความประทับใจไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนที่ตนต้องสนใจ จะดีหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับตน
ทว่าวันนี้เขามาในแซ่เซียว กลับย้ำเตือนกู้เจียวว่าพระมารดาแท้ๆ ของไท่จื่ออย่างเซียวฮองเฮาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซวียนผิงโหว
อีกนัยหนึ่งคือบุรุษผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับเซียวลิ่วหลัง
“จอมยุทธ์น้อยฝีมือไม่เลว ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก ไม่ทราบว่าอาจารย์ของจอมยุทธ์น้อยอยู่ที่ใดรึ” ไท่จื่อหลังฉากบังลมเอ่ยถามเสียงเรียบ
ปากเอ่ยชื่นชม แต่น้ำเสียงกลับเย่อหยิ่ง