บทที่ 391 เรื่องราวที่พบพาน (2)
ไท่จื่อผู้นี้แตกต่างจากตอนที่เขาใช้ตัวตนของไท่จื่อมาทำราชกิจในหมู่ชาวบ้านนัก ต่อหน้าปวงชนเขาห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองมาก ไม่วางมาดพร่ำเพรื่อ ทว่ายามนี้ปิดบังตัวตนไว้อยู่ จึงไม่ต้องปิดบังธาตุแท้จริงๆ ของตัวเองอีก
กู้เจียวหยักยกมุมปากนิ่งๆ นางหยิบดินสอถ่านออกมาเขียนลงสมุดเล่มเล็กอย่างรวดเร็ว เขียนจบประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะยื่นให้คนรับใช้ของไท่จื่อ
ไท่จื่อได้ยินมาก่อนแล้วว่าจอมยุทธ์ผู้นี้เป็นใบ้
เขาเขียนอยู่นานสองนาน ไท่จื่อก็นึกว่าเขาจะเขียนถ้อยคำถ่อมตนที่ได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ ที่ไหนได้กลับเป็นคำสั้นๆ อย่าง ‘เจ้าก็เดาสิ’
ไท่จื่อ “…”
จากนั้นไท่จื่อก็ทักทายกู้เจียวอีกสองสามคำซึ่งล้วนเป็นคำเยินยอที่ไร้ชีวิตชีวา การตอบกลับจากกู้เจียวส่วนใหญ่มีแต่ ‘อืม’ ‘ใช่’ ‘พอทำเนา’ ไม่ได้เกินไปกว่านี้เลย
ไท่จื่อพลันงงไปหมด
เจ้าเขียนก็ช้า หากยังช้าต่อไป เวลาหนึ่งก้านธูปได้หมดแน่!
ไหนจะท่าทีนี่อีก ทำชุ่ยๆ เกินไปแล้ว!
“เจ้าไม่เอาแต่พูดสองคำนี้จะได้หรือไม่” ไท่จื่อเอ่ยพลางข่มโทสะ
กู้เจียวครุ่นคิด ก่อนเขียนว่า ‘ได้ สิ’
สองคำ
ไท่จื่อ “…”
ไท่จื่อเตือนตัวเองว่าหลินหลังให้เขามา เขารับปากหลินหลังไว้แล้วว่าจะไม่ระบายโทสะใส่อีกฝ่าย จะเจราจากับอีกฝ่ายดีๆ
จะว่าไปแล้วก็น่าหงุดหงิด นึกไม่ถึงว่าไท่จื่อผู้สูงส่งอย่างเขาจะอ่อนน้อมถ่อมตนกับจอมยุทธ์เล็กๆ คนหนึ่ง
ช่างเถอะ เพื่อให้หลินหลังได้ไปพบท่านอาวุโสเมิ่งที่แคว้นเยี่ยน เขาจะข่มโทสะนี่ไว้เอง!
ไท่จื่อตั้งสติ แล้วมองฉากบังลมพลางเอ่ย “เข้าประเด็นเลยแล้วกัน ที่ข้าเรียกเจ้ามาอันที่จริงก็เพราะ…”
ปับ!
เขาเพิ่งจะเอ่ยจบ กู้เจียวก็พับปิดสมุดเล่มเล็กในมือทันที แล้วลุกขึ้นชี้ไปที่ธูปซึ่งตัวเองเข้ามาก็จุดเลย
หมดเวลาแล้ว
ไท่จื่อ “…!!”
ไท่จื่อกัดฟันกรอด “ข้าจะเพิ่มเงินให้!”
กู้เจียวโบกมือให้โดยไม่หันกลับมามอง ก่อนจะทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง ‘นัดใหม่คราหน้า’
ไท่จื่อโมโหจนแทบกระอักเลือด
กู้เจียวจงใจทำให้ไท่จื่อสุดจะทนใช่หรือไม่
แน่นอนว่าใช่
เพราะนางไม่ลืมท่าทางไม่แยแสของไท่จื่อที่มีต่อเซียวลิ่วหลังเมื่อครั้งอยู่ที่ร้านโจวจี้หรอก รังแกสามีนางรึ เหอะ
กู้เจียวไปหาเหล่าเหอ ก่อนจะเขียนในสมุดเล่มเล็กว่า ‘ครั้งหน้าหากคนแซ่เซียวมาอีก ราคาต่ำสุดหนึ่งร้อยตำลึง ให้เจ้าด้วยสิบตำลึง เป็นหนึ่งร้อยสิบตำลึง’
เหล่าเหอปากอ้าตาค้าง คิดในใจว่าเจ้าเห็นตัวเองเป็นสาวงามในหอนางโลมเซียนเล่อหรือไร จึงได้ขึ้นราคาตามอำเภอใจเช่นนี้!
“เพราะอะไรรึ” เขาถาม
กู้เจียวหยักยกมุมปากขึ้น เขียนว่า ‘ราคาญาติน่ะ’
เหล่าเหอ “…”
ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว สำนักฮั่นหลินยังไม่เลิกงานเร็วเพียงนี้หรอก กู้เจียวจึงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตรอกปี้สุ่ย
กำลังจะออกไปรับเซียวลิ่วหลังก็เจอฉินกงกงมาหาพอดี
ฉินกงกงมาหากู้เจียวโดยเฉพาะ เขายิ้มเอ่ย “ไทเฮาจากกลับตำหนักจินหลวนแล้วทราบว่าแม่นางกู้ไปรออยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วตลอดทั้งเช้า เหตุใดจึงไม่ส่งคนไปทูลไทเฮาเล่า”
กู้เจียวตอบ “ไม่เป็นไรหรอก ท่านย่ากำลังยุ่ง ครั้งหน้าข้าค่อยไปหานางได้”
ผยองโดยไม่ได้รับความโปรดปรานมักจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรเสมอ จุดนี้ฉินกงกงต้องมองใหม่แล้ว หากเป็นจวงกุ้ยเฟยและบรรดาคุณหนูตระกูลจวงล่ะก็ คงยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้
ฉินกงกงยื่นกล่องอาหารในมือไปให้กู้เจียวทั้งหมดสองกล่อง “กล่องอาหารนี้มีแตงหวานใส่น้ำแข็ง ส่วนนี่เป็นขนมจากห้องเครื่อง ไทเฮาให้บ่าวเอามาให้แม่นางกู้”
“รบกวนฉินกงกงแล้ว” กู้เจียวยื่นมือไปรับกล่องอาหารมา “ฉินกงกงเชิญนั่งด้านในดื่มชาก่อนแล้วค่อยไปสิ”
อากาศร้อนยิ่งนัก ฉินกงกงกระหายอยู่ไม่น้อย
เขาจึงเข้าไปในห้องโถงด้วยกันกับกู้เจียว
กู้เจียวเทจับเลี้ยงให้เขาแก้วหนึ่ง
“ขอบคุณแม่นางกู้ยิ่ง” ฉินกงกงรับด้วยสองมือ ก่อนจะดื่มอึกๆ คำใหญ่ แล้ววางถ้วยชาลง เอ่ยกับกู้เจียวด้วยสีหน้าแจ่มใส “บ่าวขอตัวก่อน ยังต้องกลับไปทูลไทเฮาอีก”
“ข้าส่งกงกงเอง”
“ไม่ต้องหรอก”
กู้เจียวยังคงยืนกรานจะไปส่งเขาหน้าบ้าน
ชั่วขณะที่ฉินกงกงหันกลับไปขึ้นรถม้า จู่ๆ นางก็เรียกเขาไว้ “ฉินกงกง”
ฉินกงกงหันกลับมาเอ่ย “แม่นางกู้มีอะไรจะสั่งอีกหรือ”
กู้เจียวเอ่ย “มีเรื่องหนึ่งอยากจะถาม”
ฉินกงกงตอบ “แม่นางกู้ว่ามาได้เลย บ่าวจะตอบให้หมดถ้าบ่าวทราบ”
กู้เจียวทำมือเปรียบเทียบ พลางเอ่ย “ที่หอสมบัติมีกล่องสี่เหลี่ยมประมาณนี้อยู่ ด้านในมีรองเท้าหัวเสือวางไว้ มันคืออะไรรึ”
รอยยิ้มฉินกงกงพลันชะงักค้าง
“ไม่เป็นไร กงกงขึ้นรถเถอะ” นางแค่ถามเพราะอยากรู้ หากบอกไม่ได้นางก็ไม่รั้น
“…เป็นรองเท้าของนายน้อย” ฉินกงกงเอ่ยเสียงเบา
นายน้อยที่กู้เจียวนึกออกก็มีแค่สองคน “องค์หญิงหนิงอันหรือว่าฝ่าบาทเล่า”
ฉินกงกงทอดถอนใจแล้วเอ่ย “ไม่ใช่ทั้งคู่ขอรับ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของไทเฮาแท้ๆ น่าเสียดายที่คลอดออกมาก็ตาย”
“ท่านย่า…เคยมีลูกด้วยรึ” เรื่องนี้กู้เจียวไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อนเลย
ฉินกงกงพยักหน้าอย่างโศกเศร้า “แต่น่าเสียดายที่คลอดออกมาก็เป็นครรภ์ที่แท้งเสียแล้ว จึงไม่มีชื่ออยู่ในพงศาวดาร และไม่ได้อยู่ในรายนามของบรรดาองค์ชาย หากนายน้อยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี้ก็คงจะอายุพอๆ กันกับฝ่าบาทแล้ว วันเกิดนายน้อยห่างจากฝ่าบาทเพียงสามวันเท่านั้น”
กู้เจียวเงียบไป
พอฉินกงกงได้เปิดปากเล่าก็พูดไม่หยุด “อันที่จริงหากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน ตอนนั้นฝ่าบาทก็คงไม่ถูกอุ้มไปเลี้ยงดูกับทางจิ้งไท่เฟยหรอก ตอนนั้นฮองเฮากำลังได้รับความโปรดปราน อันที่จริงฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยากจะรอให้ฝ่าบาทประสูติก่อนแล้วค่อยให้ฮองเฮาเอาไปเลี้ยง”
กู้เจียวเอ่ยอย่างฉงน “ตอนนั้นท่านย่าก็ตั้งครรภ์อยู่กระมัง ในเมื่อท่านย่ามีลูกของตัวเองแล้ว เหตุใดจึงต้องให้เลี้ยงอีกคนด้วย”
ฉินกงกงเล่า “หมอหลวงจับชีพจรแล้วบอกว่าเด็กในครรภ์นางกำนัลคนนั้นเป็นองค์ชาย แต่ในครรภ์ไทเฮานั้นไม่แน่ใจ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงทรงคิดว่าเกิดของไทเฮาเป็นองค์หญิงขึ้นมา เช่นนั้นให้องค์ชายแก่นางไปเลี้ยงก็ไม่เลว”
เคยได้ยินแต่จับชีพจรรู้จำนวนการเต้น แต่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบอกได้ถึงขั้นว่าลูกเป็นชายหรือหญิง เพื่อความอยู่รอดแล้วคนในวังก็พูดเพ้อเจ้อไปได้หมด
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ” กู้เจียวถาม
“ต่อจากนั้นรึ…” ฉินกงกงยิ้มขื่น “ต่อจากนั้นฮองเฮาก็ทรงปวดท้องเสียก่อน ประสูติครรภ์แท้งออกมา ครรภ์นั้นเป็นลางร้ายต่อราชวงศ์ และในขณะเดียวกันก็มีคนยุแยงตะแครงรั่วระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับฮองเฮา ฮ่องเต้ทรงระบายโทสะใส่ฮองเฮา สามวันต่อมานางกำนัลคนนั้นก็คลอดองค์ชายออกมาจริงๆ แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้ส่งองค์ชายไปที่ตำหนักคุนหนิงตามที่ตกลงไว้ แต่มอบให้กับจิ้งปินที่ตำหนักเชียนสี่แทน”
ท่านย่าคงจะเฝ้ารอคอยการเกิดของลูกคนนั้นอย่างใจจดใจจ่อเลยกระมัง แต่คิดไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วจะไร้ลมหายใจ
สิ่งที่ฉินกงกงไม่ได้บอกก็คือฮองเฮาในตอนนั้นยังสาวอยู่ เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น นางยังไม่ผิดหวังต่อวังหลังแห่งนี้ นางโหยหาเพียงลูกคนแรก
เมื่อคลอดออกมาแล้วกลับเป็นทารกตัวเย็นเฉียบ นางพลันแตกสลายทันที นางอุ้มลูกร้องห่มร้องไห้ราวกับใจจะขาดปอดจะฉีก
เสียงร้องไห้จากตำหนักคุนหนิงดังอยู่ตลอดทั้งคืน นางร้องไห้จนน้ำตาทั้งชีวิตแห้งเหือด และร้องเสียจนดวงใจอันสดใสดวงนั้นของตัวเองแตกสลายไป
“เหตุใดจึงบังเอิญนัก ท่านย่าเพิ่งจะคลอดครรภ์แท้งออกมา อีกด้านหนึ่งนางกำนัลนั่นก็คลอดองค์ชาย เวลาห่างกันแค่สามวัน ไม่มีใครสงสัยอะไรเลยรึ”
“แม่นางกู้จะบอกว่าไทเฮาตกหลุมพรางของใครบางคนเข้าหรือ มันหาคำตอบไม่ได้แล้วล่ะ” ฉินกงกงปาดน้ำตา “ตอนนั้นฮองเฮาเพิ่งเข้าวังมาจิตใจยังบริสุทธิ์ใสซื่อยิ่งนัก ไม่ได้ระแวดระวังอะไรมากมาย พอสุดท้ายรู้แล้วว่าต้องระแวดระวัง ก็หาเบาะแสใดไม่ได้อีกแล้ว”
ใครจะเกิดมาแล้วยิ่งใหญ่เลยเล่า
ก็แค่โดนสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องหยิบดาบขึ้นมาไล่ฟาดฟันในวังหลังก็เท่านั้น
กู้เจียวรู้สึกไม่ค่อยดีนัก อารมณ์ซับซ้อนเช่นนี้ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าในใจนางแตกสลาย “เด็กที่ตายคนนั้น…จะเป็นฝ่าบาทองค์ปัจจุบันได้หรือไม่”
อย่างไรเสียก็ห่างกันเพียงสามวันเท่านั้น
ฉินกงกงส่ายหน้า “นั่นเป็นทารกหญิง”