บทที่ 392 ออกโรงเอง
“ทารกหญิงอย่างนั้นรึ” ความคิดที่แวบเข้ามาในหัวขอองกู้เจียวก็คือองค์หญิงหนิงอันของจิ้งไท่เฟย แต่ครั้งนี้นางเองก็เดาไม่ถูกว่าเด็กคนนั้นจะใช่ลูกของท่านย่าหรือไม่ ในเมื่อองค์หญิงหนิงอันมีพระชนมายุน้อยกว่าฝ่าบาทเพียงไม่กี่พรรษาเท่านั้น
ครั้งนี้ กลายเป็นฝ่ายฉินกงกงที่เอ่ยถึงองค์หญิงหนิงอันแทน “ไทเฮาทรงรักและเอ็นดูองค์หญิงหนิงอันมากนะขอรับ แม่นางกู้เจียวก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
เว่ยกงกง “ที่จริงเหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ ด้วยความที่วันประสูติขององค์หญิงหนิงอันกับนายน้อยเป็นวันเดียวกัน ไทเฮาคงทรงจะ…จะนึกว่าเป็นบุตรของตัวเองก็เลยพากลับมา แต่กลายเป็นว่าคนที่นางพากลับมาคือองค์หญิงหนิงอัน”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฉินกงกงก็เริ่มคลี่ยิ้ม “นี่เป็นแค่การคาดเดาของกระหม่อมเท่านั้น กระหม่อมเองก็มิอาจรู้ลึกถึงความคิดของนางได้ กระหม่อมแค่จำได้ว่าคืนที่องค์หญิงหนิงอันทรงประสูติ ฮองเฮาทรงประทับอยู่ที่ตำหนักคุนหนิงอยู่เป็นเวลานานสองนาน”
ดูเหมือนฉินกงกงจะนึกอะไรขึ้นได้ “จะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ของฮองเฮากับจิ้งไท่เฟยในตอนนั้นเริ่มกระชับขึ้นก็หลังจากตอนที่องค์หญิงหนิงอันทรงประสูติแล้ว จิ้งไท่เฟยมักจะอุ้มองค์หญิงไปเข้าเฝ้าฮองเฮา แต่ตอนที่ฮองเฮาประทับใจมากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นตอนที่องค์หญิงหนิงอันคลานเข้ามาจับมือฮองเฮาในช่วงพิธีที่ให้องค์หญิงเลือกความถนัดนี่ล่ะ”
มีหรือที่ช่วงเวลานั้นท่านย่าจะไม่รู้สึกอะไร
ความรู้สึกเจ็บปวดใจทั้งหมดถูกเยียวยาด้วยเด็กน้อยหนึ่งขวบ ราวกับ…ราวกับว่าเด็กน้อยคนนั้นต้องการจะกลับมาหาจริงๆ
กู้เจียวไม่ได้สงสัยว่านี่เป็นแผนการของจิ้งไท่เฟยหรือไม่ เพราะต่อให้ถามหรือไม่ถาม อย่างไรเสียเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกที่เสียไปไม่มีทางเอากลับคืนมาได้อีก
“องค์หญิงทรงรักไทเฮามากเลยนะขอรับ” แม้แต่ฉินกงกงเองยังรู้สึกได้เลยว่าคนเราอย่างไรเสียถ้าได้เกิดมาอยู่ด้วยกันแล้วต้องไม่แคล้วคลาด สักวันจะต้องวนกลับมาเจอกันอย่างแน่นอน
ขณะที่กู้เจียวกลับมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนเราผูกพันกันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสายเลือดอย่างเดียวเท่านั้น ขนาดชาติก่อนนางยังเคยถูกพ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้ง แต่สุดท้ายก็วนมาเจอกับคนที่ห่วงใยตนที่สุดอย่างท่านย่า
เหตุการณ์ครั้งนั้นที่กู้เจียวได้เจอกับท่านย่าเป็นครั้งแรกนั้นชวนให้ปวดหัวใจยิ่งนัก หากว่าเป็นแผนของจิ้งไท่เฟยจริงแล้วละก็ เช่นนั้น จิ้งไท่เฟยก็สมควรตายร้อยครั้งพันครั้ง
…
ช่วงสิ้นเดือน สำนักฮั่นหลินปิดทำการ เซียวลิ่วหลังสัญญากับทุกคนที่เรือนว่าจะพาพวกเขาไปเยี่ยมเรือนของหนิงจื้อหย่วน
จี้จิ่วอาวุโสมองลิ่วหลังด้วยความสงสัย “พวกเจ้า…จะแยกกันไปรึ”
จี้จิ่วมักมีลางสังหรณ์ว่าเวลาพวกเขาออกไปข้างนอก เป็นต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นทุกที!
แม้จะยังหนุ่มยังแน่นก็จริง แต่ก็อดห่วงไม่ได้เลย
แล้วก็บังเอิญพอดีที่วันนี้เจ้าตัวเล็กไม่มีเรียน จี้จิ่วจึงตัดสินใจลากเจ้าตัวเล็กไปด้วย
เสี่ยวจิ้งคงผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย “…”
จี้จิ่ว ‘วิธีจับแยกคู่รักได้ดีที่สุดคือต้องเอาเด็กมาคั่นกลาง!’
เซียวลิ่วหลัง กู้เจียวและเสี่ยวจิ้งคงมุ่งหน้าไปยังเรือนของหนิงจื้อหย่วน
เรือนของหนิงจื้อหย่วนค่อนข้างอยู่ไกลจากตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วยาม เวลาหนิงจื้อหย่วนมาทำงานก็ต้องใช้วิธีควบม้าเร็ว แต่ก็ใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยามเช่นกัน
เรือนของหนิงจื้อหย่วนมีทางเข้าออกทางเดียว พื้นที่ไม่ใหญ่มาก มีห้องอยู่ด้วยกันสองห้องรวมถึงห้องเล็กๆ ที่แยกออกมาอีกหนึ่งห้อง
เรือนของหนิงจื้อหย่วนค่อนข้างอัตคัด ตอนที่เขาสอบได้สามอันดับแรก แม้จะมีผู้คนเข้ามาทาบทามเขา อีกทั้งจะมอบของกำนัลรวมถึงมอบลูกสาวให้มาเป็นภรรยาของเขา
แต่กระนั้นหนิงจื้อหย่วนไม่ใช่คนแบบนั้น แม้ฐานะของเขาจะลำบากแต่เขานั้นเป็นคนมีศักดิ์ศรีพอที่จะปฏิเสธของนอกกายเหล่านั้น
พ่อแม่ของหนิงจื้อหย่วนอยู่ด้วยกันกับพี่ชายของเขาที่บ้านเกิด และเขามักจะส่งเงินกลับไปให้พวกเขาเสมอ
ลำพังเงินเดือนของสำนักฮั่นหลินนั้นไม่พอที่จะเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว แต่โชคดีที่เขาได้เงินพิเศษจากการที่เขาสอบได้สามอันดับแรก
หนิงจื้อหย่วนส่งเงินให้บุพการีใช้หนึ่งร้อยตำลึง ส่วนอีกห้าสิบเอาไว้ใช้หนี้ และเงินที่เหลือก็เอามาเป็นค่าเช่าเรือนเล็กๆ หลังนี้ นอกจากนี้ยังมีค่าม้า รวมถึงค่าเดินทางของภรรยาในการเดินทางมาที่เมืองหลวง คำนวณเบ็ดเสร็จออกมาก็แทบจะไม่พอยาไส้แล้ว
ดังนั้น เรียกได้ว่าทุกวันนี้เขายังอยู่ในสถานะการเงินขัดสน
หนิงจื้อหย่วนออกเรือนตั้งแต่ยังวัยเยาว์ บุตรชายคนโตอายุสิบสามปีแล้ว ส่วนบุตรชายคนรอองอายุสิบขวบ และบุตรสาวคนเล็กสุดมีอายุน้อยกว่าเสี่ยวจิ้งคงแค่ขวบเดียวเท่านั้น
ภรรยาของหนิงจื้อหยวนมาจากตระกูลเหวิน เป็นคนขยันขันแข็ง พูดน้อย ขี้อาย แต่อาจเป็นเพราะว่าเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวยังไม่คุ้นเคยกับนางก็เป็นได้
บุตรชายของหนิงจื้อหย่วนสองคนเรียนที่สถาบันเอกชน พวกเขาไม่กลับมาทานข้าวที่เรือนตอนช่วงกลางวัน
จะเหลือก็แค่บุตรสาวสามขวบคนเล็กที่ยังอยู่ที่เรือน
ไม่รู้เป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงหรือไม่ เสี่ยวจิ้งคงก็เลยไม่ซุกซนเหมือนที่เคยเป็น แต่กลับทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่โหวกเหวกโวยวายวิ่งมั่วซั่ว แถมยังคอยเอาอกเอาใจน้องสาวตัวน้อยอีกด้วย
แม่นางเหวินเอาแต่อออกปากชมเสี่ยวจิ้งคงว่าเป็นเด็กฉลาดรู้เรื่องรู้ราว “เก่งกว่าเจ้าสองคนนั้นอีก”
กู้เจียวยังไม่เคยเจอเด็กอีกสองคนก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้เจ้าตัวเล็กทำตัวน่ารักเป็นพิเศษ ไม่ใช่ลำโพงเคลื่อนที่ได้แบบที่เคยเป็น
แม่นางเหวินคุยเล่นกันกับกู้เจียว “…พอข้าได้ยินอาหย่วนบอกว่าวันนี้ท่านจอหงวนคนใหม่มาเยี่ยมที่เรือน ตอนนั้นก็เกิดนึกในใจว่า ท่านจอหงวนหน้าใหม่คนนี้จะต้องมีอายุอานามเท่าใดกันเชียว คาดไม่ถึงเลยว่าท่านเซียวจอหงวนจะยังหนุ่มแน่นและมากความสามารถขนาดนี้”
“อื้อ ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” กู้เจียวเอ่ยตอบพลางหันไปทางสองหนุ่มที่กำลังนั่งคุยกัน
แม่นางเหวินพอได้ยินคำตอบกู้เจียวก็นึกในใจ ที่ข้าพูดมันก็จริงอยู่หรอก แต่เจ้าไม่คิดจะถ่อมตัวเลยหรือ
หนิงจื้อหย่วนและเซียวลิ่วหลังนั่งลงในห้องโถง หนิงจื้อหย่วนนั่งหันหน้าเข้าห้องด้านใน ขณะที่เซียวลิ่วหลังนั่งหันหลังให้ กู้เจียวเลยเห็นแค่ด้านหลังของเซียวลิ่วหลัง
กู้เจียวเอามือสองข้างอังแก้มตัวเอง พลางร้องอุทานในใจ บ้าจริง คุณสามีคงไม่รู้สินะว่ากำลังถูกพูดถึงอยู่
“นี่ ข้าได้ยินมาว่าแคว้นเฉินเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเกิดสงคราม…”
ขณะที่หนิงจื้อหย่วนกำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นเซียวลิ่วหลังก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปบอกกับหนิงจื้อหย่วน “สลับที่นั่งกัน”
“เอ๋ ทำไมล่ะ” หนิงจื้อหย่วนสงสัย
“ตรงเจ้าเย็นกว่า” เซียวลิ่วหลังเอ่ยหน้าตาย
หนิงจื้อหย่วนนึกในใจ …เดี๋ยวก่อนสิ ตรงที่เจ้านั่งนั่นแหละเย็นสุดแล้ว ไม่โดนแดดด้วย
แต่ก็ตามใจ
เซียวลิ่วหลังจึงเข้าไปนั่งลงตรงที่แดดส่องพอดี
ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวนั่งภายใต้แสงอาทิตย์ แม้สีหน้าของเขาจะนิ่งสงบ กระนั้นก็แอบมีเหงื่อซึมหยดลงมาตามหน้าผากและกรอบหน้า
หนิงจื้อหย่วนทำหน้างุนงง “เย็นจริงรึตรงนั้น”
“อืม เย็นสบายสุดๆ ”
ตกบ่าย ลูกชายสองคนของหนิงจื้อหย่วนก็กลับมาที่เรือน ทั้งสองมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับแม่นางเหวิน
ในด้านของอุปนิสัย บุตรชายคนโตมีความเป็นหนิงจื้อหย่วนมากกว่า ขณะที่คนรองเงียบและขี้อายคล้ายกับแม่นางเหวิน
แต่รวมๆ แล้วเป็นเด็กที่น่ารักเลยทีเดียว
ซ้ำหนิงจื้อหย่วนยังขอให้เซียวลิ่วหลังช่วยดูการบ้านของเด็กๆ ให้อีกด้วย
ที่จริงงานดูการบ้านนั้นไม่เกินความสามารถของทั่นฮวาอย่างหนิงจื้อหย่วน แต่ที่เขาขอให้เซียวลิ่วหลังช่วยอีกแรงก็เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เด็กๆ
พอกู้เจียวได้เห็นแววตาของเด็กทั้งสองก็รู้ในทันทีว่าพวกเขามองเซียวลิ่วหลังด้วยความเคารพและเกรงขาม
ส่วนข้อด้อยของพวกเขาอย่างรอยปานบนใบหน้าของกู้เจียวหรือแม้แต่ลักษณะท่าทีอันแข็งกระด้างของเซียวลิ่วหลัง ก็ถูกมองข้ามไป เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปได้ด้วยความสบายใจ
หลักจากทุกคนทานข้าวเย็นกันเสร็จ ก็ถึงเวลาแยกย้าย
หนิงจื้อหย่วนและแม่นางเหวินเดินออกมาส่งพวกเขาที่หน้าเรือน
ก่อนหน้านี้แม่นางเหวินเอาแต่เป็นกังวลถึงความเป็นอยู่ของสามีมาโดยตลอดว่าจะลำบากไหม แต่พอได้รู้ว่าเขามีกัลยานิมิตเช่นนี้ ความกังวลก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง
เสี่ยวจิ้งคงและหนิงเสี่ยวยาเล่นสนุกด้วยกันทั้งบ่าย ตอนที่จะแยกย้าย ดูเหมือนหนิงเสี่ยวยาจะไม่อยากให้ท่านพี่จิ้งคง…เอ ไม่สิ ท่านลุงจิ้งคงแยกไปตอนนี้
“ไม่เป็นไรนะ ไว้ครั้งหน้าเจ้ามาเล่นด้วยกันที่เรือนข้าตกลงไหม” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยปลอบ
แม่นางเหวินอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาพลางหัวเราะ ก่อนจะส่งทั้งสามคนขึ้นรถม้า
เสี่ยวจิ้งคงนั่งลงตรงกลางระหว่างกู้เจียวและเซียวลิ่วหลัง
ตอนแรกกู้เจียวกะจะแซวเล่นกับเสี่ยวจิ้งคงว่า ‘เจ้าชอบเด็กผู้หญิงสินะ เล่นกันสนุกเชียว’ แต่จู่ๆ เจ้าตัวเล็กกลับเอนหัวลงมาบนตักแล้วพูดว่า
“เฮ้อ เลี้ยงเด็กนี่มันช่างเหนื่อยจริงๆ !”
กู้เจียว “…”
ดูเหมือนเสี่ยวจิ้งคงจะหมดแรงจริงๆ สักพักก็ผล็อยหลับน้ำลายไหลอยู่บนตักกู้เจียว
กู้เจียวกลัวว่าท่านอนแบบนี้จะทำให้เสี่ยวจิ้งคงหายใจไม่สะดวก ก็เลยพลิกตัวเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมา แต่จู่ๆ ก็มีมืออีกมือยื่นเข้ามาคว้าร่างของเจ้าตัวเล็กออกไป
แววตาของเซียวลิ่วหลังสงบนิ่งไม่เคยเปลี่ยน ยากที่จะดูออกถึงอารมณ์ของเขา เซียวลิ่วหลังอุ้มเสี่ยวจิ้งคงให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของตัวเอง
ในตอนนั้นเอง มืออีกข้างของเซียวลิ่วหลังก็ยื่นเข้ามาใกล้ๆ ทางกู้เจียว
กู้เจียวนั่งนิ่งไม่ขยับ
“เป็นสาวเป็นนางอย่าให้เนื้อตัวถูกแดดสิ”
“หืม” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
“ก็ตรงที่เจ้านั่งแดดมันแรง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยหน้าตายอีกครั้ง
น้ำเสียงของเขานิ่งราวกับกำลังพูดประโยคบอกเล่าว่าวันนี้อากาศดีจัง
กู้เจียวหันไปมองอีกฝั่งที่แสงเข้า
อืม ก็จริงของเขา
แสงแดดสว่างยามเย็นค่อยส่องลงมาถูกร่างของหญิงสาว
แม้กู้เจียวจะรู้ตัวดีว่าตัวเองตากแดดอย่างไรผิวก็ไม่คล้ำ แต่ ถ้าคล้ำขึ้นมาล่ะ
พอนึกได้ดังนั้น กู้เจียวก็พลันรีบขยับตัวไปทางเซียวลิ่วหลังเพื่อหลบแดด
รถม้าที่พวกเขานั่งวันนี้เป็นคันเก่า มีพื้นที่ไม่มากนัก
พอได้นั่งใกล้กันเช่นนี้ หัวไหล่ของทั้งสองแนบชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้