บทที่ 375 ให้ค่าข้าขนาดนั้นเชียวหรือ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่375 ให้ค่าข้าขนาดนั้นเชียวหรือ

“ทำไมเล่า ลูกค้าท่านนี้กำลังดูถูกสตรีรึ” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็เดินไปที่ด้านข้างของขอทาน

ลูกค้าคนนั้นตะคอกอย่างเย็นชา “สตรีไม่คู่ควรคุยกับบุรุษ”

โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้โกรธเคือง “งั้นสตรีที่มีอำนาจสามารถให้เจ้ากินก่อนค่อยจ่ายได้ เจ้าก็ดูถูกรึ”

ขณะพูด นางหันหน้ามองคนงานที่โกรธเกรี้ยว “ให้อาหารชุดสำหรับหนึ่งคนกับเขา”

“สำหรับหนึ่งคนข้ากินไม่อิ่ม!” ขอทานตะโกนอย่างโกรธจัด

โจวกุ้ยหลานเปลี่ยนคำพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เอามาสำหรับสองคน”

“เถ้าแก่ขอรับ!” คนงานคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธ

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มาที่นี่เพื่อชักดาบ เถ้าแก่ยังจะให้ของกินเขาเยอะขนาดนี้อีกหรือ อีกอย่าง คนคนนี้ยังดูถูกเถ้าแก่โจวของพวกเขา!

โจวกุ้ยหลานจ้องมองเขา “ยังไม่รีบออกใบรายการอีกรึ”

คนงานคนนั้นอึดอัดใจจนโมโห หยิบป้ายอย่างเดือดพล่าน ขีดเขียนด้านบนสองสามครา แล้วจึงวางไว้ในหน้าต่างด้านหลัง

ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน หยิบใบรายการไป นักบัญชีที่อยู่ในสุดของเคาน์เตอร์เขียนจำนวนเงินนี้ลงในบัญชีของตัวเอง

“เลขที่ลำดับของเจ้า!” คนงานวางป้ายไว้ตรงหน้าขอทาน กล่าวอย่างไม่อดกลั้น

ขอทานส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา หยิบป้ายแล้วหาที่นั่งใกล้ประตู

“เถ้าแก่ขอรับ เขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา! อีกเดี๋ยวต้องไม่เอาเงินออกมาจ่ายแน่!” คนงานกล่าวอย่างเดือดพล่าน

โจวกุ้ยหลานวางศอกบนเคาน์เตอร์ เบี่ยงกายมา กล่าวเสียงเบา “ถ้าเรากำจัดเขาไปก่อน แล้วการค้าของพวกเรายังจะทำได้อยู่ไหม”

คนงานลองคิดดูก็ใช่ แต่สุดท้ายในใจก็ไม่ยินยอม

“เอาล่ะ เจ้าไปทำงานก่อนเถอะ” โจวกุ้ยหลานพูด เหยียดกายตรง จากนั้นสุ่มเลือกโซฟามาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง

ลูกค้าที่เฝ้าดูความตื่นเต้นตอนนี้ก็ไม่ได้เห็นเรื่องตื่นเต้นแล้ว จึงกินอาหารของตัวเองต่อ

เมื่อเห็นว่ามีคนไม่ถึงครึ่งเท่าเมื่อก่อน โจวกุ้ยหลานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ การค้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แล้วมองขอทานคนนั้นที่ประตูอีกครั้ง กำลังกินอย่างช้า ๆ คล้ายกับไม่ได้หิวอะไรมากมาย

โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าขอทานคนนั้น

ขอทานคนนั้นเห็นนางเดินเข้ามา กล่าวเยาะเย้ยว่า “ทำไม ตอนนี้คิดจะถามหาเงินข้าหรือ”

“มื้อนี้ของเจ้าข้าเลี้ยง เจ้าค่อย ๆ กินก็พอ” โจวกุ้ยหลานพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วหันหลังจากไป

ขอทานคนนั้นส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา ค่อย ๆ กินของบนโต๊ะไปเรื่อย ๆ

โจวกุ้ยหลานกลับไปที่ห้องโค้กของตน ทำงานของตัวเองต่อไป

ตกเย็นไป๋ยี่เซวียนกลับมา บอกนางว่า เขาได้ไปดูมาสองสามร้านแล้ว ถึงคราวให้โจวกุ้ยหลานไปดูบ้าง แล้วเลือกมาที่หนึ่ง

โจวกุ้ยหลานตอบรับ ตกลงที่จะไปดูในวันถัดไป

เช้าตรู่วันถัดมา พวกเขานั่งรถม้าออกเดินทาง ดูร้านค้าหลายแห่งแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เลือกร้านที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดมาแห่งหนึ่ง ไป๋ยี่เซวียนจ่ายเงินมัดจำทันที ตัดสินใจซื้อร้านเลย

ทั้งสองกลับไปด้วยกัน ก็ได้คุยกันระหว่างทาง โจวกุ้ยหลานคุยเรื่องไป๋ยี่เฉินมาหานาง พูดติดตลกว่า “เพื่อร่วมงานกับเจ้า ข้าพลาดไปสามแสนตำลึงเลยนะ!”

ไม่คาดคิดว่าไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า “เจ้าขาดทุนแล้วจริง ๆ ”

“ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าควรพูดว่าจะช่วยข้าหาเงินให้ได้สามแสนตำลึงหรอกรึ” โจวกุ้ยหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ใครจะรู้เล่า อาจเป็นเจ้าที่พาข้าหาเงินก็ได้”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า “ก็จริง”

พูดจบ โจวกุ้ยหลานก็กลั้นรอยยิ้มไม่อยู่จนยิ้มออกมา นี่แหละถึงจะเป็นคู่หูทางการค้ากันจริง ๆ

หลังจากสอดแทรกมุกตลกนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองดีขึ้นกว่าเดิมมาก เวลาโจวกุ้ยหลานพูดคุยก็ไม่ได้ระมัดระวังเหมือนเมื่อก่อน

“ร้านไก่ทอดที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ข้าเห็นว่าเงินทุนเยอะมากนะ เกรงว่าจะมีคนมาประชันกับพวกเราโดยเฉพาะ ทำไมข้ารู้สึกว่าเวลาที่พวกเขาเปิดเหมาะเจาะกับเวลาที่พี่เจ้ามาหาข้าพอดีเลยเล่า”

ไป๋ยี่เซวียนฟังความหมายของโจวกุ้ยหลาน พูดอย่างคาดเดาว่า “เจ้าหมายความว่า ร้านไก่ทอดนี้เป็นพี่ใหญ่ข้าเปิดขึ้นมารึ”

“ไม่แน่ใจ เป็นแค่การคาดเดาของข้า ไม่อย่างงั้นเจ้าหาคนลองตรวจสอบดู” โจวกุ้ยหลานกล่าว

ไป๋ยี่เซวียนขยี้ดั้งจมูกตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าจะไปลองหาคนถามดู”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า สุดท้ายก็อดไม่ได้ “ไป๋ยี่เซวียนข้ารู้สึกว่า หากตระกูลไป๋ให้พี่ใหญ่เจ้ารับ ให้เจ้ารับมือดีกว่า”

“เจ้าให้ค่าข้าขนาดนั้นเชียวหรือ แต่พี่ใหญ่ข้าถูกท่านพ่อเลี้ยงดูไว้ข้างกายในฐานะทายาทตั้งแต่เด็ก” ไป๋ยี่เซวียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น

พี่ใหญ่เขา เป็นคนที่เขายกย่องมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อคิดถึงไป๋ยี่เฉินที่นางเจอ โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เจ้าแข็งแกร่งกว่าเขา”

อาจเพราะได้รับความสนใจมากเกินไปตั้งแต่เด็ก ไป๋ยี่เฉินรู้จักตัวตนของตัวเองดีเกินไป และท่าทีของเขาสูงลิบลิ่วแต่อย่างน้อยในด้านการสื่อสารกับผู้คน สู้ไป๋ยี่เซวียนไม่ได้กว่ามาก

ไป๋ยี่เซวียนลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้”

“หลังจากนี้เจ้าจะได้ยินมันบ่อยครั้ง” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ลูบเสื้อผ้าที่ยับย่นของตัวเอง พูดว่า “หากพวกเราสองคนร่วมมือกันยังเอาชนะเขาไม่ได้ นั้นไม่น่าขายหน้าเกินไปหน่อยหรือ วันข้างหน้ายังจะเชิดหน้าชูคอได้อยู่ไหม”

ตอนโจวกุ้ยหลานพูดคำเหล่านี้ ไป๋ยี่เซวียนจ้องมองนางตลอด ราวกับกำลังคาดเดาว่าคำพูดนางจริงใจแค่ไหน

โจวกุ้ยหลานไม่ได้ซ่อนหรือหลบเลี่ยง เพียงแค่ปล่อยให้เขาพินิจพิเคราะห์ต่อไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋ยี่เซวียนก็หัวเราะเบา ๆ เก็บสายตากลับไป เอนหลังพิงรถม้า พูดอย่างอ่อนแรง “จุดเริ่มต้นต่ำเกินไป เขาสามารถเอาเงินทุนเอาชนะข้าได้”

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า ตระหนักว่าเขาปิดหูปิดตาอยู่ กล่าวว่า “เจ้ามีหลายอย่างที่เขาไม่มี หากให้เวลาพวกเจ้าห้าปี เจ้าต้องเอาชนะเขาได้แน่ เวลามันสั้น แต่เจ้าอย่าลืมว่า เจ้ากำลังร่วมมือกับอยู่กับใคร”

คำพูดเหล่านี้นั้นอวดดีมาก โจวกุ้ยหลานตำหนิตัวเองที่ไร้ยางอายในใจ แต่คำพูดที่ออกมา นางกลับไม่ได้ละอายใจเลยสักนิด

ไป๋ยี่เซวียนเปิดตามอง มองมาที่โจวกุ้ยหลานอีกครั้ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาที่แน่วแน่ของนาง ใจเขากระตุก จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ก็จริง เจ้าสำคัญกว่าเงินทุนมาก”

“ใครให้เจ้าตาแหลมเล่า ข้ายังคาดหวังให้เจ้าสืบทอดตระกูลไป๋ แล้วหลังจากนี้ก็ทำให้ข้ากลายเป็นมหาเศรษฐี!”

ไป๋ยี่เซวียนยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้”

พวกเขากลับไป ก็พบขอทานคนนั้นมานั่งกินอาหารตรงประตูอีกครั้ง

ด้วยคำขอร้องอันแรงกล้าของโจวกุ้ยหลาน ไป๋ยี่เซวียนกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง

โจวกุ้ยหลานไปที่เคาน์เตอร์ ถามคนงานว่าเกิดอะไรขึ้น

คนงานคนนั้นฉุนเฉียวมาก “วันนี้ขอทานคนนั้นมาอีกแล้ว เหมือนเมื่อวานเลย ข้ากลัวว่าเขาจะทำให้ลูกค้าตกใจจนจากไป เลยใช้ค่าจ้างของตัวเองช่วยซื้ออาหารชุดสำหรับสองคนให้เขา”

ช่างเป็นคนไร้ยางอาย เขาโกรธแทบตายจริง ๆ

ปกติเขาจะใช้สอยอย่างประหยัดแล้วนำเงินกลับไปบ้านทั้งหมด แต่คนคนนี้ !คนคนนี้…

ยิ่งคิดยิ่งอึดอัดใจ แล้วยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเคือง

โจวกุ้ยหลานตบบ่าเขา “คิดบัญชีนี้กับข้า”

พูดจบ หันหน้าไปมองนักบัญชี “อาจารย์ เจ้าเอาเงินคืนให้เขาด้วยนะ”

“เถ้าแก่โจว…”

“ไม่เป็นไร ข้ารวยกว่าเจ้า” โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วกล่าวปลอบโยน จากนั้นไม่สนใจคนคนนั้น กลับห้อง ไปทำโค้กต่อ