บทที่ 482 กลับบ้าน

บทที่ 482 กลับบ้าน

แม้ว่าตู้เหิงที่มาหาเรื่องทะเลาะจะพาลูกสาวของนางออกไปด้วย ทั้งยังใจดีช่วยป่าวประกาศร้านหยกอวี้ฝูโดยไม่คิดเงิน แต่หลินซือกลับรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็เดินทอดถอนใจกลับเข้าไปในร้าน

“อาซือ เจ้าอย่ากังวลไปเลย” เจี่ยงเถิงโอบไหล่ของหลินซือด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าเข้าใจหลี่จื้อสิง เขาดูไม่เหมือนคนที่มีความเคียดแค้นกับอวี้อวี้สักนิด”

“เคียดแค้นก็ไม่เป็นไรหรอก” หลินซือพูดพลางทอดถอนใจ “แม้ว่าแบบนี้จะดูไม่ดี แต่ข้ากลัวว่าสองคนนั้นจะมีความสัมพันธ์บางอย่าง ต่อมาหากเขามาชิงตัวพี่อวี้ไป แบบนั้นข้าก็ขาดทุนแย่นะสิ”

เจี่ยงเถิงแอบดีใจที่หลินซือไม่ได้รู้สึกว่าการถูกเขาโอบไหล่เช่นนี้นั้นไม่เหมาะสม ทั้งยังพูดปลอบใจโดยไม่คิดอะไรว่า “ก่อนหน้านั้นอวี้อวี้ก็เคยอยู่ในร้านหยกอวี้หยวนมาก่อน เพราะทั้งสองคนไม่เข้ากันเลยแยกทาง อีกอย่างเท่าเห็นจากท่าทางของหลี่จื้อสิงแล้ว จะต้องโน้มน้าวอวี้อวี้ไม่สำเร็จแน่นอน”

“พวกเจ้าสองคนกำลังนินทาอะไรข้า?” อวี้อวี้โผล่หน้าออกมาจากหลังร้าน แล้วมองไปทางหลินซือและเจี่ยงเถิงด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“พี่อวี้!” หลินซือรีบสะบัดมือของเจี่ยงเถิงออกแล้ววิ่งไปตรงหน้าของอวี้อวี้ทันที “พวกเจ้าสองคนคุยอะไรกัน? เหตุใดถึงต้องลงไม้ลงมือกันด้วย?”

“ไม่ได้ลงไม้ลงมือ ข้าโยนปิ่นปักผมลงพื้นไม่ทันระวังเลยกระเด็นโดนหน้าของเขา” ครั้นอวี้อวี้เอ่ยถึงหลี่จื้อสิงสีหน้าของเขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์ “จะว่าอย่างไรดีเล่า แค่เขาอยากชิงตัวข้ากลับไป แต่โน้มน้าวไม่สำเร็จก็เท่านั้น”

“พี่อวี้ พี่จะไม่ไปจริง ๆ ใช่หรือไม่?” หลินซือยังไม่แน่ใจ แม้แต่พูดก็ยังไม่มั่นใจ

ถึงอย่างไรร้านขนาดเล็กของตัวเองก็ยังห่างไกลจากร้านหยกอวี้หยวนมากโข สามารถใช้คำว่า ‘แตกต่างราวฟ้ากับเหว’ มาอธิบายเรื่องนี้ได้

“ข้าเหมือนคนที่คิดกลับหลังง่ายเช่นนั้นเลยหรือไร?” อวี้อวี้กลอกตามองหลินซือแวบหนึ่ง “ข้าและพวกเขามีความคิดไม่สอดคล้องกัน กลับไปไม่เป็นการรนหาความทุกข์ให้ตัวเองหรอกหรือ? เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ไปหรอก”

“จริงนะ?!” ดวงตาของหลินซือเปล่งประกายทันที กระทั่งคว้าแขนของอวี้อวี้ด้วยความตื่นเต้น

ส่วนเจี่ยงเถิงนับตั้งแต่ที่หลินซือสะบัดหลุดจากอ้อมกอดของเขาสีหน้าที่ดูหม่นหมองได้เปลี่ยนเป็นอึมครึมเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระแอมหนึ่งเสียง

อวี้อวี้สังเกตเห็นสีหน้าที่ดูอึมครึมจากคนด้านหลังของหลินซือ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการอธิบายกับหลินซือเขาคงไม่ออกมาให้โดนกลอกตาใส่เช่นนี้หรอก จึงรีบดึงแขนของตัวเองกลับ แล้ววิ่งหายวับไป

“เยี่ยมไปเลย พี่อาเถิง!” หลินซือตบหน้าอกพร้อมกับเดินกลับมาข้างกายของเจี่ยงเถิง โดยที่ไม่สังเหตเห็นคลื่นที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย ยังคงแบ่งปันความสุขของตัวเองกับเจี่ยงเถิงอย่างเพลิดเพลิน

ไฉนเลยเจี่ยงเถิงจะได้ฟัง ร้านของหลินซือเปิดเพียงไม่กี่วัน เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าการที่ตัวเองสนับสนุนให้หลินซือเปิดร้านในตอนแรกจะเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงไปตลอดชีวิตหรือไม่

ตอนแรกยังพอรับมือได้ ทั้งสองคนยุ่งตัวเป็นเกลียว ต่อมาตัวเขาก็เริ่มหัวปั่นกับงานราชการ ส่วนอาซือทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับที่นี่ ทั้งสองคนเลยไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งวันเต็ม

ตอนนี้ดีขึ้น ทว่าอาซือไม่เพียงแต่จะไม่ตามเขาแล้ว วันทั้งวันก็เอาแต่อยู่กับชายอื่นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แบบนี้ยังดีอยู่อีกหรือ?

แม้ว่าตอนนี้อวี้อวี้จะดูเหมือนไม่ได้สนใจอาซือ แต่ใครจะกล้ารับรองว่าในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น

อาซือของเขาเล่นหลอกล่อง่ายถึงเพียงนี้ ถ้าอวี้อวี้เกิดมีความคิดผิดแปลกไปจากเดิม อาซือไม่โดนเอาเปรียบเลยหรือ

“อาซือ ตอนนี้ร้านหยกอวี้ฝูเดินอยู่ในลู่ทางที่ถูกต้องแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกไม่ใช่หรือ?” เจี่ยงเถิงถามอย่างระแวดระวัง

“หือ? ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ?” หลินซืองุนงง เจี่ยงเถิงทอดถอนใจ

เจี่ยงเถิงทอดถอนใจ แล้วดีดหน้าผากของหลินซือเบา ๆ “อาซือ เจ้าลืมเรื่องเข้าพิธีปักปิ่นของตัวเองไปแล้วหรือ? นับตั้งแต่ท่านอาซูกลับมา เจ้าก็โยนเรื่องนี้ใส่หัวคนอื่น เรื่องสำคัญขนาดนี้ เจ้าบอกมาสิว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องไปที่ใด?”

หลินซือตื่นตระหนกตกใจทันใด ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “แผนการของท่านแม่เป็นระบบระเบียบเกินไป ขืนนางอยู่ ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรสิ”

“บางครั้งท่านอาซูไปหาเจ้าก็ไม่พบ ไม่ง่ายเลยเชียวที่จะจับเจ้าอยู่บ้าน แล้วถามเรื่องราวทั้งหมดกับเจ้า ครั้นเห็นท่าทางการนอนพราะความเหนื่อยของเจ้า จะถามออกไปก็คงดูไม่ดี ปัญหาในการเปิดกิจการของท่านอาซู เท่าที่ท่านแม่บอกยังไม่เหนื่อยถึงเพียงนี้”

“อย่างนั้นหรือ?” หลินซือรู้สึกละอายแก่ใจ “เช่นนั้นข้ามอบหมายเรื่องร้านหยกอวี้ฝูให้พี่ไป๋จัดการแล้วกัน รอข้าจัดการพิธีปักปิ่นเสร็จค่อยว่ากับเรื่องต่อไป”

ความหมายก็คืออย่างน้อยสองในสามเดือนนี้ร้านหยกอวี้ฝูคงจะไม่มีมีอะไรมาก แม้แต่อวี้อวี้ก็คงไม่ได้เจอ

เจี่ยงเถิงโล่งใจอยู่เงียบ ๆ จากนั้นก็วาดแขนไปโอบไหล่ของหลินซืออีกครั้ง พานางเดินกลับไป “เมื่อสองวันก่อนท่านอาซูให้ข้ามาถามว่าเจ้าจะว่างเมื่อใด เจ้าว่าการที่แม่ของเจ้าให้คนนอกอย่างข้ามาส่งข่าวเช่นนี้ เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าไม่ได้คุยกับท่านอาซูนานเพียงใดแล้ว?”

“เฮ้อ พี่เจี่ยงเถิงจะเป็นคนนอกได้อย่างไรเล่า?” หลินซือรู้ว่าตัวเองทำผิด ทั้งยังแสดงท่าทีออดอ้อนจนติดเป็นนิสัย “ท่านแม่รู้ว่าพี่อาเถิงต้องมีวิธีการแน่ ดังนั้นจึงไปหาพี่ พี่ดูสิ ทันทีที่พี่เรียกข้า ข้าก็กลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย”

อาซือประจบประแจงเก่ง เจี่ยงเถิงจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย ทั้งสองคนเดินคุยอย่างสนุกสนานไปจนถึงจวนท่านแม่ทัพ

“มาแล้ว แขกที่เจอได้ยากยิ่ง” ครั้นเหยาซูเห็นทั้งสองคน ก็เลิกคิ้วสูงเย้าแหย่ทันที

“ท่านแม่” น้ำเสียงในการขานเรียกของอาซือเปลี่ยนไป จากนั้นก็โผเข้าไปออดอ้อนในอ้อมกอดของเหยาซู “ข้ารู้สึกผิดแล้ว นับแต่นี้ไปจนกระทั่งพิธีปักปิ่นเสร็จสิ้น ข้าจะต้องไปช่วยท่านแม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”

เหยาซูอกสั่นขวัญแขวนกับเสียงเรียกของหลินซือ จึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ แล้วพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงปกติ”

ปากของนางเอ่ยตำหนิ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม

หลินซือรู้ว่ามารดาของตนไม่ตำหนิตน จึงลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา

“เมื่อพิธีปักปิ่นเสร็จ ข้าจะไม่อยู่ทรมานในเมืองหลวงแล้ว”

เหยาซูกล่าวทีเล่นทีจริง “ถึงตอนนั้นเจ้าก็กลายเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ข้าจะตามพ่อเจ้าออกไปท่องเที่ยว เรื่องของพวกเจ้าก็จัดการกันเอง”

ใบหน้าของหลินซือเศร้าหมองลงทันที “ท่านแม่ พวกท่านจะไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ? ไม่อยู่กับข้าและท่านพี่หรือ?”

“พี่ชายของเจ้าก็ต้องสร้างครอบครัว จะมีเวลาอยู่กับเรางั้นรึ?” เหยาซูมองไปทางลูกสาวที่ยังคงเป็นเด็กในสายตาของตนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครั้นเจ้าเสร็จพิธีปักปิ่น ก็นับว่าโตเป็นสาวแล้ว ไม่นานก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ถึงตอนนั้นเราก็คงวางใจ ไปท่องเที่ยวในที่ที่ไกลออกไปได้”

“เช่นนั้นข้าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ครั้นหลินซือนึกถึงเรื่องสร้างครอบครัว นางอาจจะไม่ได้เจอบิดามารดาของตัวเองอีกหลายปี จึงเริ่มเสียใจกับอนาคตของตัวเอง ตาพลันแดงก่ำ “ข้าอยากอยู่กับพวกท่านตลอดไปเจ้าค่ะ”

“เด็กโง่” เหยาซูรุดหน้าเข้าไปโอบกอดหลินซืออย่างแผ่วเบา “เจ้าต้องสร้างครอบครัว ถึงตอนนั้นก็มีสามีอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าไม่แย่เพียงนั้นหรอก”

ขณะที่เหยาซูพูด นางไปมองไปทางเจี่ยงเถิงที่เงียบจนถึงตอนนี้

เจี่ยงเถิงพยักหน้าอย่างสุภาพให้กับเหยาซู เหยาซูยิ้มและละสายตากลับ

“เอาละ อาซือ” เหยาซูคลายกอดจากนาง “เรื่องในอนาคตเราค่อยว่ากัน ตอนนี้เรามาให้ความสนใจกับรายชื่อแขกที่จะมาเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของเจ้าดีกว่า”

หลินซือขยี้จมูกที่แดงก่ำ แล้วตอบรับเพียงสั้น ๆ

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โถ่ๆ หลินซือน้อย ยังไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ อยากอยู่กับพ่อแม่สินะ

ไหหม่า(海馬)