ช่วงเวลาสิ้นปีคืบใกล้เข้ามาแล้ว ศาลาว่าการถูกผนึกตราไว้ทั้งหมด จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้มีเวลาหายใจหายคอ
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เรื่องทุกข์ใจอื่นๆ ก็ผ่อนผันออกไปก่อน ให้เป็นเรื่องของปีหน้าก็แล้วกัน
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวได้ไม่ทันไร จู่ๆ ก็มีเรื่องให้ปวดเศียรเวียนเกล้าอีกแล้ว หลู่อ๋องต่อยจิ้งอ๋อง!
หันไปมองหลู่อ๋องที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น จากนั้นก็หันไปมองจิ้งอ๋องภายใต้ใบหน้าฟกช้ำ พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในเวลานี้คล้ำหม่นเสียยิ่งกว่าสีไหม้ที่ก้นหม้อ
“เจ้าห้า เจ้าเมาหรืออย่างไรถึงได้ไปชกพี่รองถึงจิ้งหยวน”
หลู่อ๋องเกาคอพลางแก้ตัว “เดิมทีลูกแค่กะว่าจะไปเยี่ยมพี่รอง ทว่าพี่รองบอกให้ลูกอยู่ร่ำสุราด้วยกันก่อน ใครจะไปคิดว่าพอเมรัยเข้าปากแล้ว วาจาจะห้าวหาญกักขฬะเพียงนี้ ลูกเองก็ดื่มไปไม่น้อย ด้วยฤทธิ์สุราลูกถึงได้พลั้งมือ มีเรื่องชกต่อยกันพ่ะย่ะค่ะ…”
“หุบปาก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้คำรามเกรี้ยวกราด เล่นเอาหลู่อ๋องสะดุ้งโหยง
หลู่อ๋องบ่นแต่เพียงในใจ เสด็จพ่อน่ากลัวยิ่งนัก เหตุใดถึงได้มาลงที่เขาคนเดียว ตอนนั้นที่เจ้าเจ็ดต่อยพี่รองยังไม่เห็นจะโดนหนักอย่างเขาเลย
ครั้นจะว่าตามจริงแล้ว เขานั่นแหละที่เป็นคนไปชวนอดีตไท่จื่อดื่มสุราถึงจิ้งหยวน เพื่อที่จะหาข้ออ้างต่อยอดีตไท่จื่อ เป็นการเติมเต็มปรารถนาอันสูงสุดที่เฝ้าฝันมานานแรมปี
เพียงชำเลืองไปเห็นอดีตไท่จื่อที่หน้าบวมฉึ่งเป็นหัวสุกร หลู่อ๋องก็สะใจยิ่งนัก
ไหนๆ ตอนนี้ก็ต่อยไปแล้ว อย่างมากที่สุดก็คงถูกต่อว่า และโดนสั่งขังที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์สักสองวันอย่างเจ้าเจ็ด แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อน จะว่าไปแล้วโทษไม่น่าร้ายแรงถึงขั้นนั้น เพราะตอนที่เจ้าเจ็ดชกพี่รอง ตอนนั้นพี่รองยังเป็นไท่จื่อ ซึ่งเป็นการล่วงเกินเบื้องสูง แต่ตอนนี้คนที่เขาต่อยเป็นเพียงอดีตไท่จื่อ ไม่แน่เสด็จพ่ออาจจะลงโทษให้เข้าไปขังทั้งคู่ก็เป็นได้
เหอะๆๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็นับว่ากำไร
“มีเรื่องชกต่อยกันอย่างนั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขึ้นเสียงพร้อมชี้นิ้วไปที่อดีตไท่จื่อ “แบบนี้เรียกว่าชกต่อยกันหรือ แบบนี้มันเรียกทำร้ายร่างกายฝ่ายเดียวชัดๆ!”
ไอ้ตัวดีคิดว่าเขาเฒ่าชะแรแก่ชราแล้วอย่างนั้นซิ ถึงได้กล้าชกเจ้ารองจนมารดามันแทบจะจำหน้าไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวข้างๆ คูๆ อีก
เขาล่ะเกลียดไอ้พวกชอบแก้ตัวเป็นที่สุด!
หากตอนนั้นหรงยางไม่พยายามแก้ตัว และยอมรับผิดแต่โดยดี เขาคงไม่ลงโทษสถานหนักนั้นเช่นนั้น และสุดท้ายหรงหยางอาจจะไม่ต้องตายด้วยน้ำมือของชุยซวี่…
การเสียชีวิตขององค์หญิงใหญ่หรงหยางกลายเป็นแผลในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าหลู่อ๋องยังกล้าก่อเรื่องในช่วงเวลาเช่นนี้ เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนก็ไม่ผิดนัก
หลู่อ๋องไม่รับรู้ถึงภัยพาลที่กำลังเข้ามาใกล้ ยังคงอธิบายแก้ต่าง “ลูกเป็นคนแรงเยอะ ไม่คิดว่าพี่รองจะผอมกะหร่องเพียงนี้ ลูกเลยกะน้ำหนักไม่ถูกพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไอ้ลูกตัวดี หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” จิ่งหมิงฮ่องเต้แผดเสียงพลางหันไปหาอดีตไท่จื่อ “เจ้ารอง เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่”
อดีตองค์รัชทายาทที่แสนน่าเวทนาหลับตาพร้อมเอ่ยแผ่วเบา “ลูกผิดไปแล้ว ขอเสด็จพ่อโปรดยกโทษให้ลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าภายในอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจ
ในตอนที่เขายังเป็นไท่จื่อ นอกจากไอ้เจ้าเจ็ดแล้ว ต่อหน้าเขา พี่น้องคนอื่นต่างให้ความเคารพ แต่พอมาวันนี้ เขาเป็นเพียงจิ้งอ๋อง แม้แต่คนเบาปัญญาอย่างเจ้าห้ายังกล้าต่อยเขาเลย
ท่านพ่อตาว่าไว้ถูกแล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้คืออดทน
ตราบใดที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังว่าง เขาก็ยังมีโอกาสได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง อดทนเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง รอจนเสด็จพ่อเปลี่ยนใจ เขาก็จะได้กลับมาเป็นไท่จื่อ
เพราะการนั่งหงอยอยู่ในจิ้งหยวนในสถานะจิ้งอ๋องไปชั่วชีวิตน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
เพียงอดีตไท่จื่อยอมรับผิดแต่โดยดี จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกสะท้านในทรวงอก
การที่เขาโกรธที่เจ้ารองทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นก็ใช่ว่าผู้ใดจะมาเหยียดหยามอดีตไท่จื่อก็ได้
อย่างไรแล้ว เจ้ารองก็เป็นบุตรชายคนเดียวของฮองเฮาองค์ก่อน
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปทางหลู่อ๋อง แววตาขับประกายเย็นเยียบ “มีเรื่องมากมายตลอดฤดูใบไม้ร่วง เจ้าไม่คิดจะช่วยแบ่งเบาภาระของข้า หนำซ้ำยังไล่เที่ยวชกต่อยพี่น้อง ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
“เสด็จพ่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นปราม “ข้าไม่อยากฟังเจ้าอธิบายอะไรอีกแล้ว พานไห่ นำราชโองการไปถ่ายทอด หลู่อ๋องไม่ให้ความเคารพพี่ชาย รังแต่จะสร้างความบาดหมางในหมู่พี่น้อง ลดยศ ณ ปัจจุบันจากชินอ๋อง ให้เหลือเพียงยศจวิ้นอ๋อง หวังว่าองค์ชายองค์อื่นๆ จะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง…”
อดีตไท่จื่อที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างน่าสังเวชยังอดตกใจไม่ได้
เจ้าห้าต่อยเขา เสด็จพ่อถึงกับลดยศของเจ้าห้าเลยรึ
เมื่อความตกใจผ่านพ้นไปแล้ว ความรู้สึกที่เหลืออยู่มีเพียงความสะใจเท่านั้น
เสด็จพ่อทรงรักเขาถึงเพียงนี้ แปลว่าเขายังมีโอกาส! ท่านพ่อตาไม่ได้หลอกให้เขาดีใจเล่น…
อดีตไท่จื่อจำคำของหยางฟู่ได้ขึ้นใจ เขาพยายามเก็บอาการดีใจเอาไว้ ความอดทนที่พร่ำฝึกฝนมานานก็ได้ใช้จริงแล้ววันนี้
คนที่ตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่าอดีตไท่จื่อคือ หลู่อ๋อง
ลดยศหรือ เดี๋ยวๆ ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
เจ้าเจ็ดต่อยไท่จื่อก็ถูกสั่งให้เข้าไปนั่งสำนึกผิดอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์แค่สองสามวัน ไม่มีโทษร้ายแรง แต่เขาที่ต่อยจิ้งอ๋องถูกลดขั้นอย่างนั้นหรือ
“สะ เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินอะไรผิดไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สะบัดเท้าใส่หลู่อ๋องหนหนึ่ง “ตัดสินผิดพระแสงอะไรกัน ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อหลู่อ๋องออกไปแล้ว ในห้องนั้นเหลือเพียงอดีตไท่จื่อที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น
“เจ้าก็ลุกขึ้นเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตาไปทางอดีตไท่จื่อ เขาทั้งโมโหทั้งปวดใจในคราวเดียว
ความคาดหวังทั้งหมดที่มีต่อลูกชายคนนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจทดแทนได้
เขาเฝ้าดูตั้งแต่บุตรชายคนนี้ฝึกเดินเตาะแตะ ทันทีที่เห็นเขาหกล้ม เขาก็เข้าไปอุ้ม เขาเคยสอนบุตรชายคนนี้เขียนหนังสือ เคยสอนแม้กระทั่งวิธีการจับพู่กัน… ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่เคยมีบุตรชายคนใดได้รับความรักมากเท่านี้อีกแล้ว
เมื่อเห็นสภาพน่าเวทนาของอดีตไท่จื่อ ความโกรธเกรี้ยวที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เคยมีก็หายไปไม่น้อย เขาถามขึ้นว่า “ภรรยาของเจ้าและฉุนเกอเอ๋อร์อยู่ที่จิ้งหยวนสุขสบายดีหรือไม่”
เขากระดากอายเกินกว่าจะถามว่าชีวิตที่ผ่านมาของอดีตไท่จื่อดีหรือไม่
“จิ้งหยวนกว้างใหญ่ ฉุนเกอเอ๋อร์มักจะพาน้องสาวอีกสองคนออกไปเล่นปั้นตุ๊กตาหิมะ ดูมีความสุขดีพ่ะย่ะค่ะ…” อดีตไท่จื่อจำสิ่งที่หยางฟู่กำชับได้ดี หากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ห้ามบ่นหรือต่อว่าเรื่องใดๆ เด็ดขาด
ภาพหลานๆ กำลังปั้นตุ๊กตาหิมะแวบเข้ามาในจินตนาการ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ “สุขสบายก็ดีแล้ว”
เขาพิศมองไปที่อดีตไท่จื่อพลางบอก “สถานะของเจ้าไม่เหมือนแต่ก่อน จงปรองดองกับพี่น้องไว้เถิด”
“ลูกจะทำตามที่เสด็จพ่อตรัสสอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่ภายในราชวงศ์ เจ้าอย่าลืมพาฉุนเกอเอ๋อร์มาด้วย”
อดีตไท่จื่อเงยหน้าขึ้นโดยพลัน สายตามองตรงไปยังฮ่องเต้
นี่ฮ่องเต้อนุญาตให้เขามาร่วมงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่ของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ
“หื้ม?”
อดีตไท่จื่อก้มศีรษะลงคำนับพร้อมน้ำตานองหน้า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่ทรงอยากเห็นหน้าลูกแล้วเสียอีก…”
มุมปากของฮ่องเต้กระตุกวูบ
จริงอยู่ที่ตอนนั้นเขาอยากจะหยิกลูกชายตัวดีให้ตายไปเสีย แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่พอเห็นสภาพน่าสังเวชลูกชายที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำแล้วก็อดสงสารไม่ได้
จะว่าเขาไม่เอาไหน หรือจะว่าเขาใจอ่อนก็ได้ เพราะกับบุตรชายคนรองแล้ว เขาทนใจแข็งไม่ได้
การจะคืนตำแหน่งองค์รัชทายาทให้เจ้ารองคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะทำให้ทุกคนรู้ว่า เจ้ารองไม่ใช่คนที่ใครจะเหยียบย่ำได้ บทลงโทษของเจ้าห้าและเรื่องงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่อธิบายท่าทีของเขาได้เป็นอย่างดี
“ไม่ต้องเสียเวลาพูดพล่ามเรื่องพวกนี้ เจ้ากลับไปเถอะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้านิ่งและไล่โอรสกลับไป
ส่วนหลู่อ๋องก็ฟูมฟายกลับไปเช่นกัน ทันทีที่มาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง เขากลับหลังหันไปเคาะประตูใหญ่จวนเยี่ยนอ๋องแทน
“พี่ห้าเป็นอะไรไปรึ”
หลู่อ๋องลูบหน้าพร้อมกัดฟันถาม “เจ้าเจ็ด วันนี้เจ้าต้องบอกความจริงกับข้า”
“เรื่องอะไร”
“ตอนที่เจ้ารองเป็นไท่จื่อ เจ้าได้ต่อยเขาจริงๆ หรือเปล่า”
คงไม่ได้แต่งเรื่องมาหลอกเขาหรอกจริงไหม
อวี้จิ่นหัวเราะ “เรื่องแบบนี้หลอกกันเล่นได้ด้วยหรือ ข้าต่อยเขาที่หน้าประตูวัง ตอนนั้นมีทหารองครักษ์อยู่ในเหตุการณ์ตั้งหลายคน ว่าแต่พี่ห้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน”
หลู่อ๋องได้ยินดังนั้น สติก็ล่องลอยออกจากร่างไปทันที เขาเพียงแต่พึมพำ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าคงถูกเก็บมาเลี้ยงซินะ…”