หมู่นี้เจียงซื่อติดนิสัยนอนกลางวัน เมื่อนางไม่ได้นอนเลยทั้งคืน การงีบกลางวันจึงกินเวลายาวถึงครึ่งวัน กว่านางจะลืมตาตื่นก็เข้ายามย่ำสนธยาเสียแล้ว
อวี้จิ่นเอนกายอ่านตำราอยู่บนตั่งห่างไปไม่ไกล ครั้นเห็นเจียงซื่อปรือตาขึ้น เขาจึงวางตำราในมือลงและเดินเข้าไปหานาง “ตื่นแล้วรึ”
เจียงซื่อยันตัวขึ้น “ข้าหลับไปนานเลยหรือ”
“ก็นานพอตัว สงสัยเมื่อคืนคงเหนื่อยมากซินะ” อวี้จิ่นรินน้ำชาส่งให้หญิงสาว
เจียงซื่อรับไปจิบ ความสะลึมสะลือเมื่อครู่หายไปแล้ว
“ข้ามีข่าวดีจะบอก”
เจียงซื่อวางถ้วยชาลง ผุดยิ้มพลางถาม “ข่าวดีอะไรรึ”
“องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสียชีวิตแล้ว”
เจียงซื่อยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสียชีวิตแล้ว ช่างเกินความคาดหมายเหลือเกิน
“นางตายได้อย่างไร”
หรือนางทนรับสภาพสามัญชนไม่ไหว เลยชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน แต่การทำเช่นนั้นดูไม่ใช่องค์หญิงใหญ่หรงหยาง
คำตอบของอวี้จิ่นเบาหวิว “ถูกชุยซวี่ฆ่าตาย”
เจียงซื่อตกใจ “ชุยซวี่เสียสติไปแล้วหรือ เขาฆ่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางเช่นนั้น เสด็จพ่อไม่มีทางปล่อยเขาและตระกูลชุยไปแน่”
อวี้จิ่นหัวเราะ “เขาไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะหลังจากที่ฆ่าองค์หญิงใหญ่หรงหยาง เขาก็ฆ่าตัวตาย”
เจียงซื่อเงียบไป
ฉากจบของชุยซวี่และองค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นสิ่งที่เจียงซื่อไม่ได้คาดคิดเอาไว้
“เดิมทีข้าไม่เคยชื่นชมคนอย่างชุยซวี่ แต่เรื่องที่เขาทำวันนี้ทำให้ข้ารู้สึกนับถือในฐานะบุรุษคนหนึ่ง” อวี้จิ่นกล่าวเนิบนาบ
ในความคิดของเขา หากมีหญิงที่รักอยู่ในใจ ต่อให้ฟ้าจะบังคับขู่เข็ญให้แต่งงานกับหญิงอื่นอย่างไร เขาก็จะไม่ยอม และหากสุดท้ายยอมรับชะตากรรมนั้นแล้ว ก็ไม่ควรแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อนางผู้นั้นอีก
ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงชุยซวี่คราใด อวี้จิ่นมักจะพ่นลมออกจมูกด้วยความไม่แยแสเสมอ
แต่มาวันนี้ เมื่อเขารู้ว่านางผู้เป็นที่รักถูกองค์หญิงใหญ่หรงหยางฆ่าตาย เขาจึงสังหารองค์หญิงใหญ่หรงหยาง และปลิดชีพตัวเอง อวี้จิ่นรู้สึกว่าอย่างน้อยๆ เขาก็ยังมีหัวใจ
เพราะหากเป็นเขา เขาคงทำเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อคนรักถูกทำร้าย แต่เขาเอาแต่นิ่งเงียบ ความรักของชายผู้นั้นคงเป็นเพียงเรื่องลมปาก
“ข้าอยากกลับจวนปั๋ว ท่านพ่อคงทราบเรื่องนี้แล้ว”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้า”
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองรีบเดินทางไปยังจวนตงผิงปั๋ว
ที่จวนปั๋วก็ได้รับจดหมายแจ้งเรียบร้อยแล้ว ประตูใหญ่เปิดอ้ารอท่าตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อบ้านสั่งให้บ่าวรับใช้มากมายมารอเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ครั้นเห็นรถม้าจากจวนเยี่ยนอ๋องโผล่มาแต่ไกล ก็รีบสั่งคนให้เข้าไปรายงานข้างในทันที
ครั้นคนเข้ามารายงาน นายท่านรองเจียงก็รี่ออกไปต้อนรับทั้งสอง
“เหล่าฮูหยินรอท่านอ๋องและพระชายาอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านรองเจียงยิ้มแย้มพลางกล่าว
อวี้จิ่นหันไปหาเจียงซื่อ “จะไปที่นั่นก่อนหรือไม่”
นายท่านรองเจียงหุบยิ้มโดยพลัน
คำถามของเยี่ยนอ๋องหมายความว่าอย่างไร หากเจียงซื่อไม่ใคร่จะไปน้อมทักเหล่าฮูหยิน ก็แล้วแต่นางงั้นหรือ
ก็เคยเห็นพวกตามใจเมียมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นตามใจไม่ยั้งคิดขนาดนี้มาก่อน
แน่นอนว่า เขาไม่ได้แสดงท่าทีขึงขังนั้นออกไป เพราะต่อให้เจียงซื่อจะบอกว่าจะไปที่เรือนอื่น เขาก็ทำได้เพียงเออออตามนั้น
ขนาดองค์หญิงใหญ่หรงหยางที่กล้าหืออือกับหลานสาวของเขา ชีวิตของนางยังหายวับไปในพริบตา แล้วคิดว่าเขาจะกล้าหรือ
ในวินาทีนั้น นายท่านรองเจียงหดหู่ใจอย่างยิ่งยวด เหตุใดเขาถึงเลี้ยงลูกสาวออกมาไม่ได้แบบเจียงซื่อกันนะ
“ท่านอารอง ท่านพ่ออยู่เรือนหรือไม่”
“ท่านพ่อของเจ้าออกไปก่อนที่จะได้รับเทียบจากจวนอ๋องเสียอีก ข้าส่งคนออกไปตามแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะกลับมา”
เจียงซื่อจึงหันไปบอกกับอวี้จิ่น “ไปที่เรือนฉือซินก่อนก็แล้วกัน”
นางไม่ได้ยอมท่านย่า แต่ในเมื่อมาแล้วก็ควรจะเข้าไปทักทายผู้ใหญ่หน่อย
เฝิงเหล่าฮูหยินเฝ้ารอใจตุ้มๆ ต่อมๆ ครั้นสาวรับใช้มารายงานแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางจัดท่าจัดทางให้อยู่ในอาการสำรวมทรงสง่า
ทั้งคู่เข้ามาแล้วก็ทำความเคารพเฝิงเหล่าฮูหยิน
เฝิงเหล่าฮูหยินเหล่มองไปที่ท้องของเจียงซื่อก่อนจะเอ่ยปากถาม “ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“แข็งแรงดีเจ้าค่ะ” เจียงซื่อตอบกระชับรัดกุม
“นี่ก็ปาเข้าเดือนสี่ไปแล้ว ท้องไม่ดูใหญ่ขึ้นเลยนะ”
“หมอหลวงบอกว่า ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วงหลานเสมอมา”
เฝิงเหล่าฮูหยินส่ายหัว “พระชายากำลังตั้งครรภ์ย่อมต่างจากตอนปกติ พยายามอย่าออกมาข้างนอกบ่อยนัก”
เจียงซื่อกล่าวราบเรียบ “หลานมาหาท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินหัวร้อนขึ้นมาทันใด
หลานชายหลานสาวตั้งมากมาย เหตุใดหลานสาวแสนดื้อด้านคนนี้ถึงได้อยู่เหนือนางร่ำไป นางไม่เคยเห็นหัวย่าคนนี้เลย เอะอะก็บอกว่า มาหาเหล่าต้า ย่าคนนี้ไม่มีตัวตนเลยหรืออย่างไร
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อาจแสดงความงุ่นง่านใจนั้น นางเพียงแต่ส่งยิ้มให้หลานสาว “พ่อของเจ้าออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว”
“หลานจะรอท่านพ่อกลับมาเจ้าค่ะ”
“นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว การจะปล่อยให้อาหญิงของเจ้าอยู่ที่จวนอ๋องคงไม่เหมาะนัก ย่าจะส่งคนไปรับนางกลับมาก็แล้วกัน”
เจียงซื่อหัวเราะ “จวนปั๋วหรือจวนอ๋องก็มิใช่บ้านของอาหญิงทั้งนั้น อยู่ที่ไหนก็คงเหมือนๆ กัน อย่าให้นางต้องเทียวไปเทียวมาเลยเจ้าค่ะ ดีเสียอีกให้นางอยู่เป็นเพื่อนหลาน”
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้ว “แต่นางสร้างความลำบากให้เจ้าตั้งมากมาย ถ้ารู้แต่แรกว่าพี่ชายของนางชั่วช้าเพียงนั้น ข้าคงไม่เรียกเขามาที่เมืองหลวงแต่แรก…”
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ คนเช่นนั้นเป็นเพียงนักเลงหัวไม้ ทำอะไรไม่ได้มากเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเจียงซื่อยังคงสงบนิ่ง น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบไม่ต่างกัน “ต่อให้เขาคิดว่าตัวเองเก่งกาจ แต่การจะมาสร้างเรื่องให้หลานเดือดร้อนก็มิใช่เรื่องง่ายปานนั้น ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินดึงมุมปาก เมื่อนึกถึงจุดจบขององค์หญิงใหญ่หรงหยางแล้ว นางก็ไม่มีอะไรจะกล่าว
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม เจียงอันเฉิงก็กลับมาพร้อมกับสายลมหนาว
“เจ้าไปไหนมา” เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วใส่บุตรชายคนโตเหมือนทุกครั้ง
เจียงซื่อรีบก้าวเข้าไปหาพร้อมบอกเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อจิบชาร้อนหน่อยซิเจ้าคะ จะได้คลายหนาว”
อวี้จิ่นรีบส่งชาร้อนให้
เจียงอันเฉิงรับชาร้อนไปจิบโดยไม่ได้หืออือ
เฝิงเหล่าฮูหยินหดหู่ใจ นางถามคำ พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ตอบคำ ทีกับเหล่าต้ารีบรินชาให้ กระตือรือร้นจริงเชียว
นายท่านรองเจียงเห็นภาพตรงหน้าแล้วดวงตาก็แดงระเรื่อ
แม้พี่ใหญ่จะดูไร้อนาคต แต่เยี่ยนอ๋องก็ยังให้ความเคารพถึงเพียงนี้ หากเยี่ยนอ๋องเป็นบุตรเขยของเขา คงจะช่วยให้การงานของเขาก้าวหน้าได้มากทีเดียว
โชคดีอย่างนี้ พี่ใหญ่กลับได้ไปครอง เสียของเหลือเกิน
เจียงอันเฉิงดื่มชาจนหมดถ้วยแล้วจึงหันไปกล่าวแก่เฝิงเหล่าฮูหยิน “ท่านแม่ ให้ท่านอ๋องและซื่อเอ๋อร์ไปที่เรือนของลูกก็แล้วกัน จะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านแม่”
ในชั่วพริบตา ในเรือนฉือซินก็ว่างเปล่าร้างผู้คน เฝิงเหล่าฮูหยินแทบจะตะโกนด่าออกมา
จะให้นางพักอะไรกันนักหนา กะว่าจะได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับหนูสี่เสียหน่อย กลับถูกไอ้ลูกไม่รู้เวล่ำเวลาทำเสียเรื่องจนได้ น่าโมโหจริงๆ
พื้นหินสีอ่อนถูกปัดกวาดเกลี้ยงเกลา เพราะหิมะกองใหญ่ถูกโกยไปไว้ด้านข้าง ทำให้ทั้งสองด้านดูสกปรกขัดตา
เจียงอันเฉิงเดินนำหน้า เจียงซื่อและเจียงอีเดินประกบซ้ายขวา ส่วนอวี้จิ่นก็เดินตามหลังอย่างรู้งาน
“ข้าไปเยี่ยมหลุมศพแม่ของพวกเจ้ามา” เจียงอันเฉิงกล่าวขึ้นท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ
เจียงซื่อและเจียงอีหันมาสบตากัน
เจียงซื่อออกปากเรียก “ท่านพ่อ…”
เจียงอันเฉิงยกมือขึ้นปราม “ไม่ต้องปลอบ ข้าสบายดี”
น้ำเสียงของเขาบางเบาประหนึ่งลอยล่องไปตามสายลม “เมื่อคืนข้าฝันถึงแม่ของพวกเจ้า นางบอกว่าคนที่ทำร้ายนางได้รับโทษแล้ว นางไม่มีเรื่องค้างคาอีกต่อไปแล้ว จากนี้ไปนางจะเฝ้ารอวันที่ข้าได้ไปอยู่เคียงคู่กับนางเท่านั้น”
สีหน้าของเจียงซื่อและเจียงอีเปลี่ยนไปโดยพลัน
เจียงอันเฉิงหันมาและลูบผมทั้งสองเหมือนครั้งที่ทั้งสองยังเยาว์วัย “ไม่ต้องห่วง ข้ายังต้องรอดูเยียนเยียนออกเรือนไปก่อน และรอให้ลูกของซื่อเอ๋อร์โตเต็มวัยเสียก่อน แล้วข้าถึงจะเอาข่าวดีเหล่านี้ไปบอกท่านแม่ของพวกเจ้า”
เจียงซื่อและเจียงซื่อลอบถอนหายใจ แล้วทั้งคู่ก็พาเจียงอันเฉิงเข้าไปที่เรือนหมิงหวา