บทที่ 393-2 ใจเต้น (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 393 ใจเต้น (2)

แม่นางเหยาโกรธจัดจนถึงขีดสุด โชคยังดีที่ช่วงนี้นางมีกู้เจียวคอยดูแลสุขภาพของนางเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะต้อองกระทบครรภ์ของนางอย่างแน่นอน “ข้าไม่สนหรอกนะว่าฟังข่าวลือบ้าๆ นี้มาจากที่แห่งใด แต่ข้าจะบอกให้ชัดเจนตรงนี้เลยนะว่าลูกเขยของข้าเขาสอบเข้ากั๋วจื่อเจียนได้ด้วยตนเอง! เขาคือบัณฑิตอันดับหนึ่งของโยวโจวเชียวนะ!”

แม่นางเฮ่อเองก็ถูกแม่นางเหยาทำให้โกรธเช่นกัน นางไม่เคยเห็นสภาพโมโหของแม่นางเหยามาก่อน ก็เลยพูดจากระแทกกลับไป “เช่นนั้น เช่นนั้นก็เพราะเส้นสายของเจ้านั่นแหละ…”

คนแบบแม่นางเฮ่อพูดเหตุผลอะไรไปอย่างไรก็คงไม่ยอมฟัง

คนอย่างนางทำได้แค่พูดจาเพ้อเจ้อเท่านั้น ซ้ำยังมองว่าความคิดตัวเองนั้นถูกต้องที่สุดเสียด้วยสิ!

“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ!” แม่นางเหยาไม่อยากจะเสวนากับคนพรรค์นี้ต่อ จากนั้นลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

“นี่! เหยาเอ่อร์! ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ!” แม่นางเฮ่อรีบท้วง

กู้จิ่นอวี้เห็นแล้วว่าแม่นางเหยาเดือดจริงๆ เลยรีบเดินตามแม่นางเหยาก่อนและทิ้งแม่นางเฮ่อไว้ตรงนั้น

ตอนนั้นเอง แม่นางเฮ่อเองก็คิดจะเดินตามแม่นางเหยาไป แต่กลับถูกมือของใครบางคนกระชากคอเสื้อ

ที่แท้ก็ฝีมือกู้เจียวนี่เอง

กู้เจียวลากคอเสื้อแม่นางเฮ่อจากห้องโถง โดยแทบไม่สนว่าแม่นางเฮ่อจะหายใจออกหรือไม่

“เจ้า ทำ ทำอะไรน่ะ!!” แม่นางเฮ่อโดนลากคอจนตาลอย พยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผล

“ท่านพี่หยุดก่อน!” เหยาซินรีบกระเด้งตัวขึ้น พยายามเอ่ยห้าม

กู้เจียวลากร่างขอองแม่นางเฮ่อออกไปที่นอกเรือน

“ไอ้หยา” แม่นางเฮ่อเซล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า

“ท่านแม่!” เหยาซินตะโกนร้องด้วยความตกใจ จากนั้นเข้าไปช่วยพยุงแม่นางเฮ่อให้ลุกขึ้นยืน

แม่นางเฮ่อตะกุยชุดกระโปรงเทอะทะขึ้นมาจากพื้นด้วยอารมณ์เดือดจัด แล้วหันมาจ้องเขม็งที่กู้เจียวด้วยสายตาอำมหิต “นางเด็กนี่…”

แม่นางเฮ่อยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็เจอเข้ากับสายตาอำมหิตคูณสองของกู้เจียวจนใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

กู้เจียวยื่นมือเคาะไปที่บานประตู พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เจ้าอย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก ไม่เช่นนั้น ข้าจะหักกระดูกของเจ้า”

เดิมแม่นางเฮ่อจะตอบกลับไปว่ากล้าดียังไง แต่พอเจอสายตาอันเย็นเยือกของกู้เจียวก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ที่แม่นางเฮ่อกล้าทำตัวกร่างต่อหน้าแม่นางเหยานั่นก็เพราะนางรู้ว่าแม่นางเหยาไม่มีทางตอบโต้นาง แต่ไม่ใช่กับกู้เจียว นางรู้ว่าเด็กคนนี้เอานางถึงตายได้แน่ๆ

“เจ้า เจ้าไม่กลัว…หากเรื่องแดงออกไป…แล้วเจ้าจะ…จะเสีย…เสียชื่อเสียง…อย่างนั้นหรือ”

แม่นางเฮ่อพูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ

“อย่างนั้นรึ” กู้เจียวตอบพลางง้างมือขึ้นมา

“อ๊ากกก” แม่นางเฮ่อรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนลืมเหยาซินที่มาด้วยกันไปเสียสนิท!

ขณะที่แม่นางเหยาซินเห็นว่ากู้เจียวแค่ยกแขนขึ้นมาเพื่อพับแขนเสื้อก็เท่านั้นเอง

เมื่อเห็นมารดาของตัวเองวิ่งออกไปแบบนั้น เหยาซินเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อ “ท่านแม่ รอข้าด้วย!”

ขณะเดียวกันที่ในเรือน กู้จิ่นอวี้กำลังเอ่ยขอขมากับแม่นางเหยา “…ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเลยเถิดเช่นนี้ แม่นางเฮ่อนางแค่เป็นห่วงท่าน อีกทั้งยังกังวลว่าคราวก่อนนางเผลอปฏิบัติตัวไม่ดีใส่ท่านพี่ ก็เลยอยากจะตอบแทนพวกท่าน ข้าก็เลยถือวิสาสะ…พาพวกเขามาที่นี่”

แม่นางเหยาหลับตาลงด้วยความโมโห “ต่อไปห้ามทำอะไรแบบนี้อีก”

“ข้าเข้าใจแล้ว” กู้จิ่นอวี้ก้มหน้าลง

แม่นางเหยาขมวดคิ้ว “แล้วพวกเขารู้เรื่องของลิ่วหลังได้อย่างไร”

กู้จิ่นอวี้ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบ “เพราะท่านป้าเอ่ยถามขึ้นมา ข้าก็เลยตอบไปว่าพวกเขาออกเรือนกันตั้งแต่ตอนอยู่ชนบท แล้วก็เคยเรียนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจียน จนตอนนี้ได้มาทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ข้าเล่าไปเท่านี้”

“ไม่ได้พูดถึงเรื่องขาของเขาใช่ไหม” แม่นางเหยาเอ่ยถาม

กู้จิ่นอวี้ก้มหน้าลง “ท่านป้าถามข้า ข้าก็เลยตอบไป แต่ข้าไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนพิการนะ ข้าไม่มีทางพูดถึงพี่เขยแบบนั้นแน่นอน…พี่เขยเข้าแค่ เดินเหินไม่สะดวกก็เท่านั้นเอง”

กู้จิ่นอวี้ไม่ใช่คนที่พูดจาพล่อยๆ แต่อย่างไรเสียก็ห้ามความปากร้ายของแม่นางเฮ่อไว้ไม่ได้อยู่ดี

แม่นางเหยารู้สึกอึดอัดใจอย่างอดไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ นางไม่อยากเจอหน้าพวกเขาเลยสักนิด

“เจ้าก็รีบกลับเถอะ ใกล้ออกเรือนแล้ว อย่ามัวแต่เตร็ดเตร่ไปข้างนอกบ่อยๆ” แม่นางเหยาเอ่ยพลางเอามือกุมหน้าผาก

“…ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

พอกู้จิ่นอวี้เดินออกมาจากห้องของแม่นางเหยา ก็เจอกับกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังที่กำลังให้อาหารเหล่าลูกเจี๊ยบและสัตว์ตัวน้อยๆ ประจำเรือน

กู้จิ่นอวี้เอ่ยทักกู้เจียว “ท่านพี่”

“ข้าไม่ใช่พี่เจ้า อย่าเรียกข้าแบบนี้” กู้เจียวตอบด้วยท่าทีเย็นชา

กู้จิ่นอวี้กัดปากแน่น จากนั้นหันไปอีกทาง “ท่านพี่เขย”

เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ได้เอ่ยตอบ

เขากำลังให้อาหารเจ้านกเจ้าไก่อย่างตั้งอกตั้งใจ

ทิ้งให้กู้จิ่นอวี้เดินออกจากตรอกปี้สุ่ยไปอย่างรู้สึกผิด และแล้วรถม้าของนางก็วนเข้ามารับที่หน้าตรอกพอดี พอขึ้นรถม้าไปสักพัก ก็เจอกับแม่นางเฮ่อที่ยืนดักรอออยู่

เดิมกู้จิ่นอวี้คิดว่าแม่นางเฮ่ออจะเข้ามาขอโทษตนเอง แต่ที่ไหนได้ ดันเข้ามาหาเรื่องเสียอย่างนั้น “จิ่นอวี้เอ๋ย เมื่อกี้นี้ทำไมเจ้าไม่ช่วยข้าพูดบ้างเลยล่ะ”

กู้จิ่นอวี้รู้สึกตกใจกับความหน้าหนาของแม่นางเฮ่อ ข้าเนี่ยนะไม่ช่วยอะไร ข้าเป็นคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ด้วยซ้ำ!

แม่นางเฮ่อบ่นต่อ “นี่น่ะเป็นความผิดของเจ้าล่ะ ดูสิว่าข้าเอ็นดูเจ้ามากแค่ไหน มีอะไรดีๆ ข้าก็แบ่งให้เจ้าหมด ข้าน่ะดีกับเจ้ามากกว่าลูกแท้ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ!”

กู้เจียวที่เพิ่งเจอกำแพงจากกู้เจียวและเซียวลิ่วหลัง พอเจอคำพูดของแม่นางเฮ่อ ก็อดมีน้ำโหไม่ได้ “ไหนท่านป้าบอกว่าจะมาขอโทษท่านพี่มิใช่รึ แต่ข้าไม่ยักกะได้ยินคำขอโทษจากท่านแม้แต่คำเดียว”

“ก็ข้า…พูดไม่ทันนี่นา ไอ้หยา ก็เด็กนั่นโตจากชนบทมิใช่หรือ ดูยังไงก็ไม่น่าใช่คนมีการศึกษา!”

กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ถ้าท่านป้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน!”

“นี่ จิ่นอวี้” แม่นางเฮ่อรีบเอามือคว้าที่หน้าต่างรถม้า พลางหัวเราะ “คือว่า…เรื่องของพี่ชายของเจ้ากับน้องสาวของเจ้า เจ้าช่วยข้าหน่อยนะ”

“จะให้ข้าช่วยยังไง” สีหน้าของกู้จิ่นอวี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าหมั้นหมายไว้กับอันจวิ้นอ๋องแล้ว อำนาจของตระกูลจวงย่อมใหญ่กว่าติ้งอันโหวแน่นอน เจ้าช่วยไปพูดให้พี่ชายเจ้าหน่อยเถอะนะ!”

แค่เรื่องนี้กู้จิ่นอวี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไต่เต้ามามากเกินควรแล้ว หากไปขออะไรแบบนั้นอีก เกรงว่าทั้งตระกูลจวงจะต้องมองนางไม่ดีแน่ๆ

“ช่วยไม่ไหวหรอก” กู้จิ่นอวี้ปฏิเสธ

แม่นางเฮ่อเริ่มไม่พออใจ “เจ้า…”

ในขณะนั้นเอง เหยาซินก็รีบพูดแทรกขึ้นมา “ท่านพี่จิ่นอวี้ อย่าเพิ่งโมโหไป วันนี้ท่านแม่ของข้าทำไม่ดีเอง แต่ที่นางทำไปก็เพราะมีเจตนาดีทั้งนั้น นางแค่เป็นห่วงข้ากับท่านพี่ก็เท่านั้น ผิดเองที่ข้าเกิดมาไม่ฉลาด หากข้ามีความสามารถสักครึ่งนึงของท่านพี่ ท่านแม่ก็คงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้”

แม่นางเฮ่อจ้องเขม็งที่เหยาซิน “เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะ เจ้าเองก็เป็นฉลาด! แค่เจ้าไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนที่นั่น…เรียกว่า…เรียกว่าอะไรนะ…อ๋อ สำนักบัณฑิตสตรี! ใช่แล้ว!”

พอพูดถึงสำนักบัณฑิตสตรี แม่นางเฮ่อก็เริ่มส่งแววตามีความหวังให้กับกู้จิ่นอวี้ “เอาละ เอาละ เราอย่าเพิ่งเอ่ยถึงพี่ชายของเจ้าเลย อย่างน้อยตอนนี้เจ้าช่วยข้าพาน้องสาวของเจ้าเข้าเรียนที่สำนักบัณฑิตสตรีได้ไหม! เจ้าเองก็เข้าไปเรียนในนั้นตั้งนานแล้ว นางเองก็ไม่ต่างจากจากเจ้า เจ้าเป็นลูกเลี้ยง แต่น้องเจ้าเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลเหยาอันสูงส่ง…”

กู้จิ่นอวี้พอได้ยินดังนั้นก็โกรธจนหน้าเขียวปั๊ด นี่สินะที่เขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษ!

กู้จิ่นอวี้กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ก่อนเอ่ยกับสารถี “ออกรถ!”

พวกเขาไม่สนว่าแม่นางเฮ่อกำลังเกาะหน้าตารถม้าอยู่ สิ้นเสียงสะบัดของแส้ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างเต็มกำลัง

“ไอ้หยา” แม่นางเฮ่อที่ตั้งหลักไม่ทันเกือบจะล้มหน้าทิ่ม

“ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เหยาซินพยุงนางขึ้นมา

แม่นางเฮ่อทำท่าถุยน้ำลาย “ถุย! ก็แค่เด็กที่อุ้มผิดมา ทำอย่างกับตัวเองสูงส่งตายล่ะ!”

“ท่านแม่”

“ไม่ต้องกลัวนะซินเอ่อร์ พี่สาวของเจ้าน่ะ คนหนึ่งถูกรับเลี้ยง ส่วนอีกคนมีรอยปานบนหน้า ขนาดคนอย่างพวกเขายังออกเรือนได้ ข้าไม่เชื่ออหรอกว่าอย่างเจ้าจะทำไม่ได้! เจ้าวางใจเถอะ ข้าต้องหาคนดีๆ มาเป็นคู่ครองของเจ้าให้ได้”

พอเอ่ยถึงคู่ครองดีๆ ในหัวของเหยาซินก็พลันปรากฏภาพชายหนุ่มหน้าหยก คิ้วคม แม้จะดูเย็นชา แต่กลับมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอย่างบออกไม่ถูก

หัวใจของเหยาซินจู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้น