บทที่ 394 ละเอียดอ่อนและทรงพลัง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 394 ละเอียดอ่อนและทรงพลัง

เรื่องที่สองแม่ลูกตระกูลเหยาเข้ามาอาละวาดนั้นแทบไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับชาวตรอกปี้สุ่ยเลยแม้แต่นิด ด้วยความที่ทุกคนต่างมีเรื่องยุ่งของตัวเอง ย่อมไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่คราวนี้แม่นางเหยาไม่ยอมง่ายๆ ถึงขั้นเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วส่งจดหมายไปหาเหยาหย่วน

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สองแม่ลูกก็ไม่กล้ามาเสนอหน้าอีก

เข้าเดือนแปด แต่อุณหภูมิยังคงร้อนระอุไม่เปลี่ยน แม้แต่ฮ่องเต้ยังเกือบคิดจะไปหลบร้อนที่วังอื่นเลยด้วยซ้ำ

แต่ที่ทรงไม่ไปเพราะพระราชกรณีกิจต่างๆ ที่ต้องสะสาง อีกทั้งยังรอผลสืบจากเหอกงกงอีกด้วย

เหอกงกงส่งคนเพื่อไปสอดแนมตระกูลทางฝ่ายแม่ของจิ้งไท่เฟย แม้จะใช้เวลาสืบอยู่นาน แต่ก็ไม่พบอะไร

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเหอกงกงจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย เขาพบว่าที่จริงแล้วจิ้งไท่เฟยกับหยวนถังแห่งแคว้นเฉินมีความเกี่ยวข้องกัน

คราก่อน ฮ่องเต้ถูกหยวนถังลอบปลงพระชนม์ และผู้ที่เป็นหนอนบ่อนไส้คอยแจ้งความเคลื่อนไหวของฮ่องเต้ให้รู้ก็คือจิ้งไท่เฟย

แม้ฮ่องเต้รู้ว่าในใจของนางไม่มีความรักฉันแม่ลูกกับเขาอีกต่อไป แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะนางจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ ฮ่องเต้ตัดพ้อพลางกำหมัดแน่น “ไม่กลัวว่าเราจะตายด้วยน้ำมือของหยวนถังเลยสินะ!”

เหอกงกงเดาว่าจิ้งไท่เฟยกำลังวางแผนสำรองไว้ นางไม่มีทางปล่อยให้หยวนถังลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทแน่นอน และในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน นางก็จะปล่อยองครักษ์หลงอิ่งให้ออกโรง

จุดประสงค์หลักของนางในเวลานั้นคือการกล่าวโทษไทเฮาและยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮา

เพียงแต่ พระองค์ไม่ได้นึกฝันว่าจะได้เจอกับหมอเทวดาตัวน้อยและได้รับการช่วยเหลือจากนาง นางเป็นคนช่วยขับไล่หยวนถังออกไปให้ไกลที่สุด!

“กำจัดพวกหนอนบ่อนไส้ออกไปแล้วใช่ไหม” ฝ่าบาทเอ่ยถาม

“ทูลฝ่าบาท ถูกจดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหอกงกงเอ่ยตอบ

ถ้าเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้น ใครจะคาดคิดว่าในวังจะมีสายสืบของจิ้งไท่เฟยมากกว่าโหลในพระราชวังแห่งนี้!

ผิดที่เขาเองที่เมื่อก่อนเอาแต่คอยระแวงไทเฮา

ทันใดนั้น จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นมาตบเข้าที่ศีรษะของตัวเอง “เรานี่มัน โง่จริงๆ”

“พระองค์ทรงตรัสว่ากระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอก” ฮ่องเต้ลดมือลง “มีแค่พวกนั้นรึ ไม่มีใครอื่นแล้วรึ”

เหอกงกงไม่เอ่ยอะไร แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่เว่ยกงกง

เว่ยกงกงถึงกับสะดุ้ง “อะไรของเจ้า!”

ขันทีเหอพูดอย่างอธิบายไม่ถูก “ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด เว่ยกงกงคือคนที่จิ้งไท่เฟยเลือกเพื่อมารับใช้ฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของเว่ยกงกงเปลี่ยนไปอย่างมาก “เหล่าเหอ! เจ้าพูดจามั่วซั่วแบบนี้ได้อย่างไร!” เขาคุกเข่าลงและมองฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะ “ฝ่าบาท ข้ารับใช้ผู้นี้ภักดีต่อพระองค์และไม่มีทางแปรพักตร์ไปได้พ่ะย่ะค่ะ! ”

ฮ่องเต้หันไปทางเหอกงกงหนึ่งทีด้วยสายตาราวกับหมดคำจะพูด พลางตอบเว่ยกงกง “เอาละ เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงรีบถวายบังคมให้ฝ่าบาท ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่เหอกงกง “หึ!”

ขันทีสองคนนี้ก็ช่างหาเรื่องให้ทะเลาะกันเสียจริงหนอ

ฮ่องเต้ส่ายหัว พลางเอ่ยต่อ “แล้วองครักษ์หลงอิ่งสามนายนั้นล่ะ”

“ไม่ยอมบอกเลยพ่ะย่ะค่ะ” เหอกงกงเอ่ย “กระหม่อมเดาว่าพวกเขาน่าจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”

ท้ายที่สุด พวกเขาถูกค้นหาทุกที่ในเมืองหลวง และเป็นไปไม่ได้ที่จิ้งไท่เฟยจะไม่มีพวกเขาคอยประกบข้างกาย เว้นเสียแต่ นางจะฆ่าพวกเขาและฝังพวกเขาไว้แล้ว

แต่ไม่มีทางที่จิ้งไท่เฟยจะฆ่าทหารพวกนั้นได้ นางทำไม่ไหวหรอก

“แต่ทว่า” เหอกงกงเอ่ยพลางทำท่าครุ่นคิด “ยังเหลืออีกที่ที่พวกกระหม่อมยังไม่ได้ตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”

หอเซียนเล่อ

คนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปในหอเซียนเล่อได้ แต่ถ้าหากมีคำสั่งจากวัง พวกเขาสามารถเข้าไปได้อย่างแน่นอน แต่เหอกงกงไม่คิดว่านั่นเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด

เขาตัดสินใจว่าจะแอบลอบเข้าไป

แล้วก็ช่างบังเอิญที่เขาเจอกับแม่นางกู้ที่บริเวณประตูหลังของหอเซียนเล่อพอดิบพอดี

กู้เจียวเคยมีโอกาสได้เจอกับเหอกงกงครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่เมืองโยวโจว

“เอ๋ ท่านเองรึ” กู้เจียวจำเหอกงกงได้ในทันที เพราะเหอกงกงเคยพาฮ่องเต้มารักษาที่โรงหมอในโยวโจว

ตอนแรกกู้เจียวก็เอะใจว่าเหตุใดคนๆ นี้ถึงได้มีความอ่อนโยนเช่นนี้ ที่แท้เขาเป็นขันทีนี่เอง

เหอกงกงเองก็จำกูเจียวได้เช่นกัน

ที่จริงพวกเขาเคยมีปากเสียงกันมาก่อน เหอกงกงมีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าใดนัก

พอเจอกับกู้เจียวอีกครั้ง เหอกงกงก็วางมาดใส่ในทันใด “ท่านหมอกู้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“ข้าแค่ผ่านมาเท่านั้น แล้วท่านล่ะ มาที่นี่ทำไมรึ” กู้เจียวถามกลับ

เหอกงกงตอบกลับ ”ข้าได้รับคำสั่งให้มาตรวจหอเซียนเล่อ”

“แล้วท่านจะ ข้ามกำแพงเข้าไปรึ” กู้เจียวเอ่ยถามพลางชำเลืองชุดสายลับของเหอกงกง

เหอกงกงไม่พูดอะไร แต่ใช้วิธีทำให้เห็นเลย เขาหยิบผ้าสีดำออกมาปิดหน้า

กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที “ข้าว่าท่านอาจจะถูกเตะออกมานะ”

ทันทีที่พูดจบ เหอกงกงก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปข้างในหอเซียนเล่อ แต่สักพักก็ถูกมือดีข้างในเตะร่างของเขาจนกระเด็นออกมานอกกำแพง

“นี่ ท่านให้ข้าสิบตำลึงสิ แล้วข้าจะพาท่านเข้าไป” กู้เจียวยืนจ้องเหอกงกงที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นเหมือนปลาเกยตื้น ก่อนจะเอ่ยข้อเสนอให้

เหอกงกงเบือนหน้าหนี

เหอะ ไม่เอาหรอก

จากนั้นเหอกงกงก็พยายามเปลี่ยนจุดเพื่อที่จะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปใหม่

แล้วเขาก็ทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ

เขาพยายามทุกจุดของกำแพงแล้ว

ท้ายที่สุด เหอกงกงเดินกะโผลกกะเผลกไปหากู้เจียวราวกับยอมจำนนต่อชะตากรรมของเขา และหยิบเงินสิบตำลึงออกมา

“ยี่สิบตำลึง” กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น

“เมื่อครู่แค่สิบตำลึงมิใช่หรือ”

“ราคาขึ้นแล้ว”

เหอกงกง “…”

เพื่อให้งานที่ฝ่าบาทมอบหมายสำเร็จ ในที่สุดขันทีเหอก็ยอมเสียหน้าและยื่นเงินยี่สิบตำลึงให้กู้เจียวแต่โดยดี

นี่ถือเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างภารกิจ อย่างดีก็กลับไปทูลฝ่าบาทว่าใช้ไปห้าสิบตำลึง ดังนั้นเขาจะได้รับกำไรสามสิบตำลึง

วันนี้กู้เจียวออกมาตรวจนอกสถานที่ ตรงแถวๆ หอเซียนเล่อพอดี รถม้าของเจ้าสามจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม กู้เจียวเดินไปที่รถม้าและเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อผ้าผู้ชายและสวมหน้ากาก

กู้เจียวขอให้เหอกงกงถอดชุดนอนออกและสวมชุดธรรมดา จากนั้นก็หยิบตราของหอเซียนเล่อออกมาและพาเหอกงกงไปที่หอเซียนเล่อ

“เหตุใดเจ้าถึงมีตรานี้ได้ล่ะ” เหอกงกงถาม

“คงเพราะข้าเก่งกระมัง” กู้เจียวเอ่ยตอบอย่างจริงจัง

เหอกงกง “…”

เหอกงกงต้องสวบบทบาทเป็นคนรับใช้ของกู้เจียว แล้วเดินตามกู้เจียวเข้าไปด้านใน

“ข้าจะไปที่นั่น” เขาชี้ไปที่ห้องปีกตะวันออกซึ่งมีผู้คนมากมายและง่ายต่อการได้ยินข่าวคราว

“เช้นนั้นต้องเพิ่มเงิน” กู้เจียวเอ่ยพลางยิ้มมุมปาก

เหอกงกงจึงจำใจควักเงินอีกสิบตำลึงออกมา!

หลังจากได้เงินมาแล้ว กู้เจียวก็พาเหอกงกงไปที่ห้องทางปีกตะวันออก

กู้เจียวไม่ใช่แขกประจำของหอเซียนเล่อ แต่นางสามารถเป็นแขกของม่อเชียนเสวี่ย จนสาวๆ คนอื่นเลยพลอยจำนางได้ไปโดยปริยาย

ระหว่างทางมีสาวๆ หลายคนส่งสายตาหวานหยดให้

กู้เจียววางมือของตัวเองไว้ด้านหลังด้วยท่าทางเหยียดหยามซึ่งทำให้ผู้หญิงชอบนางมากยิ่งขึ้น

แม้เหอกงกงจะไม่ค่อยอยากเห็นขี้หน้ากู้เจียว แต่ก็ยังต้องพึ่งพานางอยู่

เหอกงกงประเมินน้ำเสียงของแขกและสาวๆ ในหอเซียนเล่อต่ำไป เขาเป็นคนรับใช้และไม่มีใครอยากคุยกับเขา เป็นทางเลือกสุดท้าย เขาต้องขอความช่วยเหลือจากกู้เจียวอีกครั้ง “เจ้าช่วยข้าถามอะไรหน่อยได้ไหม”

“คิดค่าบริการแยกนะ” กู้เจียวฉีกยิ้มให้

เหอกงกงทำหน้าบูดพลางควักเงินอีกสิบตำลึงออกมา

“สิบตำลึงรึ น้อยไป”

จากนั้นเขาควักเงินออกมาอีกสิบตำลึง!

กู้เจียวเก็บเงินเข้ากระเป๋า “ให้ถามอะไร”

“พวกเขาเคยเห็นคนในรูปนี้ไหม” เหอกงกงคว้ากระดาษรูปสองแผ่นออกมา

“ถ้ามีของต้องคิดเงินเพิ่มอีกที”

เหอกงกง “…”

สุดท้ายเหอกงกงยอมจ่ายทั้งหมดหนึ่งร้อยตำลึง เงินอีกห้าสิบที่เหลือเขาติดไว้ก่อนและเขียนใบลูกหนี้เอาไว้

มีภาพบุคคลทั้งหมดสี่ภาพ หนึ่งในนั้นสวมหน้ากาก และอีกสามภาพไม่ได้สวมหน้ากาก

กู้เจียวรู้ในทันทีว่านี่เป็นรูปขององครักษ์หลงอิ่ง

แต่ก็น่าแปลก เหตุใดฮ่องเต้ถึงต้องให้มาตามสืบองครักษ์หลงอิ่งด้วย หรือว่า พวกเขาจะหนีไปแล้วรึ

หน้ากากขององครักษ์หลงอิ่งมีลักษณะเหมือนกันหมด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าพวกเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่จริงๆ พวกเขาจะสวมหน้ากากหรือว่าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาออกมากันแน่

กู้เจียวไม่รู้ว่าเหอกงกงรู้แน่ชัดหรือไม่ว่าพวกเขาน่าจะซ่อนอยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือแค่สุ่มเดาไปงั้น

แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ได้ถามต่อ

วันนี้แม่นางม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้ออกมาเจอกู้เจียว เดาว่าวันนี้นางคงไม่อยู่ที่นี่

ก็เลยตัดสินใจไต่ขึ้นไปที่ชั้นสองพร้อมกับรูปภาพ

ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวเดินมาต้อนรับพวกเขา

“อ้าว ท่านชาย ไม่ได้เจอกันนานเลยเจ้าคะ”

เป็นสาวงามในชุดปักลายสีชมพู ใบหน้าของนางถูกคันพัดปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วเดินไปหากู้เจียวด้วยท่าทีสง่างาม

กู้เจียวจำแม่นางผู้นี้ได้ นางคือคนที่ครั้งก่อนพยายามจะเข้าหากู้เจียวแต่ถูกม่อเซียนเสวี่ยตัดหน้าซ้ำยังถูกตบหน้าไปหนึ่งที นางคือหญิงงามอันดับสองแห่งหอเซียนเล่อ

ว่าแต่ นางมีชื่อว่าอะไรนะ

ฮวา…

“ซีเหยายินดีที่ได้พบท่านชายเจ้าค่ะ”

กู้เจียวหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนแล้วมอบให้นาง ใจความว่า ‘แม่นางซีเหยาไม่ต้องพิธีรีตองกับข้าหรอก’

ฮวาซีเหยายืนขึ้น แล้วยิ้มให้กู้เจียวหนึ่งที “วันนี้ท่านชายมาพบท่านพี่เชียนเสวี่ยหรือเจ้าคะ”

นางเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้าเศร้า “ช่างน่าเสียดาย ท่านพี่เชียนเสวี่ยกำลังติดแขกอยู่เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่รังเกียจ ให้ซีเหยาอยู่เป็นเพื่อนท่านชายดีไหมเจ้าคะ”

กู้เจียวพยักหน้า

ตกลง

ฮวาซีเหยาออกอาการดีใจ

ผู้ชายที่เคยหลับนอนกับม่อเชียนเสวี่ยสามารถตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่นได้อย่างง่ายดาย เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าเชียนเสวี่ยมิใช่หรือ

“ข้าเกรงว่าท่านพี่จะไม่พอใจ” ฮวาซีเหยากัดฟันตัดพ้อ

กู้เจียวเขียนตอบอีกครั้ง ‘อย่าได้กลัวไป หากฟ้าถล่ม ข้าจะแบกรับไว้เอง’

ฮวาซีเหยาหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปจับมือ กู้เจียว แต่กลับถูกกู้เจียวเบือนหนี

ฮวาซีเหยาถึงกับทำตัวไม่ถูก “อะไรกัน กับท่านพี่เชียนเสวี่ยยังแตะต้องตัวท่านได้ แล้วข้าแตะตัวท่านไม่ได้เลยหรือ”

กู้เจียวคิดในใจ ข้ากลัวว่าจะเผลอต่อยเจ้าต่างหากล่ะ

‘ข้ามีเหงื่อออกที่มือเยอะ ไม่อยากให้มือเรียวๆ ของเจ้าต้องแปดเปื้อน’

มุมปากของเหอกงกงกระตุก พลางคิด เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ริอาจมีฝีปากหวานหยดย้อยกว่าผู้ชายได้อย่างไร!

เหอกงกงอดเข้าไปด้านใน จึงทำได้แค่รออยู่ด้านนอก

เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างล่อแหลม ผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อซีเหยามองแวบแรกก็ไม่ใช่คนดี และนี่คืออาณาเขตของคนอื่น เกรงว่าพวกเขาจะถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้า แล้วต้องเข้าไปช่วยนาง

หลายความคิดวนเข้ามาในหัวของเขา

เอี๊ยด

เสียงประตูเปิดดังขึ้น

เหอกงกงทำหน้าตื่น “อย่าบอกนะว่า ถูกจับได้แล้ว”

“อะไรของท่านน่ะ ข้าไปถามมาให้แล้วต่างหาก” กู้เจียวถลึงตาใส่เหอกงกง

เหอกงกงเหลือบมองเข้าไปข้างในอย่างแทบไม่เชื่อตาตัวเอง ภาพที่เขาเห็นคือสาวใช้ทุกคนในห้องอยู่ในสภาพหมดสติไปแล้ว ส่วนฮวาซีเหยาอยู่ในสภาพจิตใจไม่อยู่กะร่องกะรอย

มีข่าวลือหนาหูว่าหญิงสาวทุกคนในหอเซียนเล่อล้วนเก่งวิทยายุทธ์ แต่นี่อะไรกัน ทุกคนกลับอยู่ในสภาพสลบไสลกันหมด เกิดอะไรขึ้น!

แล้วที่นางบอกว่าถามแล้ว แล้วสภาพนี้จะถามได้อย่างไรกัน

แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ได้บอกเขาว่านางใช้ยาสลบและยาหลอนประสาท แต่นางไม่คาดคิดว่าฮวาซีเหยาจะจิตอ่อนและคล้อยตามง่ายขนาดนี้

ตอนที่ได้โอกาสถาม กู้เจียวก็รีบลากซีเยาไปที่มุมมุมหนึ่ง หยิบรูปภาพออกมา แล้วชี้ไปที่หน้ากากและพูดว่า “มีคนสามคนสวมหน้ากากแบบนี้ที่มาที่หอเซียนเล่อบ้างไหม ข้าไม่แน่ใจว่าใช่สามคนในรูปหรือเปล่า พวกเขาไม่เคย ไม่เคยถอดหน้ากาก”

ขันทีเหอเกือบจะสรุปได้ว่าทั้งสามคือองครักษ์หลงอิ่งที่ฝ่าบาทสูญเสียไป

สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ พวกองครักษ์หลงอิ่งมีความเกี่ยวข้องกับหอเซียนเล่อจริงๆ !

“พวกเขาไปไหนแล้วล่ะ” เหอกงกงเอ่ยถาม

“ชายแดนน่ะ” กู้เจียวตอบ

เหอกงกงขมวดคิ้วอย่างสงสัยและสูดหายใจ “ชายแดนรึ ที่นั่นมัน…”

“ท่านชาย!”

จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากท้ายทางเดิน

พวกเขาจึงหยุดบทสนทนาลงในทันใด

พอหันไปที่ต้นเสียง ปรากฏหญิงสาวในชุดสีเขียวกำลังเดินมาทางนี้ กู้เจียวจำได้ว่าเคยเจอนางมาก่อนที่นี่

หญิงในชุดสีเขียวมาหากู่เจียวและคำนับ “ท่านชายโปรดอย่าถือเอาสิ่งที่ซีเหยาพูดกับท่านเมื่อกี้เลยเจ้าค่ะ แม่นางเชียนเสวี่ยไม่ได้ออกไปรับแขก นางออกจากหอเซียนเล่อไปพักหนึ่งแล้ว…”

หญิงสาวชุดเขียวมองไปรอบๆ ลดระดับเสียง ขยับเข้าไปใกล้กู้เจียวเล็กน้อย แล้วกระซิบ “แม่นางเชียนเสวี่ยออกจากเมืองหลวงไปทำธุระเจ้าค่ะ”

“นางเดินทางไปเมื่อไหร่” กู้เจียวเอ่ยถาม

หญิงสาวชุดเขียวมองดูข้อความในสมุดบันทึกเล่มเล็กของกู้เจียว คิดอย่างรอบคอบ ส่ายหัวแล้วเอ่ย “ข้าจำวันที่แน่นอนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มันผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ข้าเดาว่าแม่นางเชียนเสวี่ยคงจะกลับมาในไม่ช้าเจ้าค่ะ”

ม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง องครักษ์หลงอิ่งก็เช่นกัน พวกเขาออกไปในเวลาใกล้ๆ กัน

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

แต่ถ้าไม่ละก็ เช่นนั้น หรือว่าม่อเชียนเสวี่ยเองก็ไปที่ชายแดนด้วยอย่างนั้นหรือ