บทที่ 395 ไม้สุดท้าย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 395 ไม้สุดท้าย

และอีกเรื่องที่น่าสงสัยไม่แพ้กันก็คือ เจ้าของหอเซียนเล่อแห่งนี้คือใครกันแน่

จิ้งไท่เฟยงั้นรึ

กู้เจียวไม่ได้บอกเหอกงกงเรื่องโม่เชียนเสวี่ย และตัวเหอกงกงเองก็ไม่ได้สนใจที่จะถามเรื่องนี้อยู่แล้ว สำหรับเขา นางก็คือสตรีคนหนึ่งของหอแห่งนี้ การที่นางจะออกไปทำธุระให้เจ้านายก็คงมิใช่เรื่องแปลกอะไร

ที่เขาสงสัยคือความเคลื่อนไหวขององครักษ์หลงอิ่ง

“เหตุใดองครักษ์หลงอิ่งถึงมาปรากฏตัวที่หอเซียนเล่อ แล้วเหตุใดต้องไปที่ชายแดน ไปมานานเท่าใดแล้ว”

พอออกมาจากหอเซียนเล่อ เหอกงกงเอาแต่ยิงคำถามใส่ไม่หยุด

“เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน พวกเขาเคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมาอีกเลย ฮวาซีเหยาเองก็ไม่รู้เรื่องชายแดนอะไรนั่นด้วย” กู้เจียวเล่าสิ่งที่นางสืบจากแม่นางซีเหยาให้ฟัง

ด้วยความที่ซีเหยาเป็นเพียงแค่หญิงงามอันดับสอง หน่วยข่าวกรองของนางจึงมีไม่มากนัก

“พวกเขามาทำอะไรในหอเซียนเล่อ” เหอกงกงถามอีกครั้ง

กู้เจียวส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่รู้ นางเห็นแค่พวกเขาเข้าออกที่นี่ และพบว่าพวกเขากำลังถือแผนที่ถนนไปยังชายแดน นางแทบไม่มีโอกาสถามไถ่กับพวกเขาด้วยซ้ำ”

เหอกงกงพยักหน้า

การที่เขาค้นพบข้อมูลขนาดนี้เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายไปมาก เขาไม่มีอะไรต้องไม่พอใจ แต่แม่สาวน้อยคนนี้กลับ…

“เจ้าเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ มาที่อโคจรแบบนี้บ่อยๆ ได้อย่างไร” เหอกงกงทำหน้าสงสัย

“แล้วถ้าข้าไม่มาที่แบบนี้ วันนี้ท่านจะเข้าไปข้างในได้ไหมล่ะ” กู้เจียวสวนกลับ

เหอกงกงถึงกับไปไม่เป็น!

จากนั้น กู้เจียวก็ถือเงินและใบลูกหนี้เดินขึ้นรถม้าไปอย่างสบายใจ

ส่วนเหอกงกงกลับไปที่วังเพื่อรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ

“เจ้าว่าอย่างไรนะ องครักษ์หลงอิ่งไปโผล่ที่ชายแดนแล้วรึ” ขณะที่ฮ่องเต้กำลังตรวจฎีกา พอได้ยินสิ่งที่เหอกงกงพูด เขาก็วางลงอย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วใส่เหอกงกง

“ทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาถือแผนที่สำหรับเดินทางไปยังเขตชายแดน เกรงว่าคงมุ่งหน้าไปตรงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“นานเท่าไหร่แล้ว” ฮ่องเต้ถาม

“สองเดือนกว่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้น…ก็ต้องเป็นช่วงก่อนที่ข้าจะพานางกลับมาที่วังสินะ”

นางที่ฮ่องเต้หมายถึง ก็คือจิ้งไท่เฟย

เนื่องจากองครักษ์หลงอิ่งได้ถูกส่งมอบให้กับนางแล้ว มีเพียงคำสั่งของนางเท่านั้นที่สามารถทำให้องครักษ์หลงอิ่งไปที่ชายแดนได้

ดวงตาของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นเย็นชา และเขากำฝ่ามือทีละนิด “ทำไมนางถึงปล่อยให้องครักษ์หลงอิ่งไปที่ชายแดน… นางกำลังวางแผนจะฆ่าหนิงอันหรือ!”

เหอกงกง “ฝ่าบาท เสือร้ายย่อมไม่กินลูกของมันเองพ่ะย่ะค่ะ…”

“เสือไม่กินลูกตัวเองอย่างนั้นรึ แล้วที่นางทำกับเราหมายความว่าอย่างไรล่ะ!” ฮ่องเต้ประชด

เหอกงกงถึงกับไปต่อไม่ถูก

“ในเมื่อพวกนั้นเดินทางออกไปนานแล้ว ถ้าพวกเขาจะฆ่าหนิงอันจริงๆ…” ฮ่องเต้พยายามคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เขาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหดหู่ใจ

“ฝ่าบาท…” เว่ยกงกงพยายามเอ่ยเรียกฮ่องเต้ “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวจากฝั่งชายแดนพ่ะย่ะค่ะ ทรงอย่าเพิ่งร้อนใจไป”

“จะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร นั่นหนิงอันเชียวนะ…”

คนที่เขารักมากที่สุด!

“ไม่ได้การ ข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้แล้ว!” ฮ่องเต้กำหมัดแน่น แล้วลุกขึ้นยืน

เว่ยกงกงรีบเอ่ยห้าม “ฝะ ฝ่าบาท! จะเสด็จไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไม่สนเว่ยกงกง มุ่งหน้าไปยังตำหนักฮว๋าชิงด้วยความเร็วแสง

“เพราะเจ้านั่นแหละ เลยเป็นเรื่องเลย!” เว่ยกงกงหันไปเอ็ดเหอกงกงหนึ่งที

“เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า” เหอกงกงทำหน้างุนงง

ฮ่องเต้ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับหนิงอัน เขาเหลือองครักษ์หลงอิ่งเพียงคนเดียว แน่นอนว่าเขายังมีทหารมือดีและองครักษ์ลับของราชวงศ์ แต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับองครักษ์หลงอิ่งแน่นอน

ดังนั้น ในตอนนี้ เขาต้องการกำลังคนให้มากที่สุด!

คนที่ทรงนึกถึงคนแรกคือจวงไทเฮา เพราะนางมีมือดีอยู่หลายคน

“ฝ่าบาท!”

นอกตำหนักเหรินโซ่ว องครักษ์ฝีมือดีสองคนทำความเคารพฮ่องเต้

นับวันฮ่องเต้ยิ่งไม่สนภาพลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไป ความเกรี้ยวกราดของพระองค์ไม่มีใครห้ามได้อยู่

ฮ่องเต้เดินเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่ว

เหล่านางในขันทีต่างพากันคุกเข่าถวายบังคม

“ฝ่าบาท!” เฟ่ยชุ่ยเองก็เช่นกัน

“เสด็จแม่ล่ะ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม

“อยู่ห้องบรรทมเพคะ” เฟ่ยชุ่ยเอ่ยตอบ

พอรู้ว่าเป็นห้องบรรทม ฮ่องเต้มิอาจถือวิสาสะเข้าไปได้ “เจ้าไปส่งข่าวที บอกว่าข้ามาหา”

“เพคะ”

เฟ่ยชุ่ยน้อมรับคำสั่งฝ่าบาท ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเพื่อไปแจ้งข่าวให้ไทเฮาทราบ

“ฝ่าบาทเสด็จเพคะ” เฟ่ยชุ่ยยืนหน้าประตูห้องบรรทม

ไร้การตอบรับใดๆ

เฟ่ยชุ่ยเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้น “ไทเฮาเพคะ ฝ่าบาททรงเสด็จเพคะ”

ยังคงไม่มีการตอบรับใดๆ

“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันขอเข้าไปด้านในนะเพคะ” เฟ่ยชุ่ยขมวดคิ้วสงสัย ก่อนตัดสินใจถามเพื่อเข้าไป

นางค่อยๆ ผลักประตูออก และเดินข้ามธรณีประตูไป

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องบรรทมไทเฮา——

ฮ่องเต้รีบวิ่งหน้าตื่นเข้าไปในห้องบรรทม “เกิดอะไรขึ้น”

เฟ่ยชุ่ยล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีด เบื้องหน้านางคือกล่องผ้าที่คว่ำอยู่ ข้างๆ กล่องผ้านั้น คือร่างของฉินกงกงที่นอนสลบอยู่

“ฝ่าบาท”

เว่ยกงกงก็มาถึงที่เกิดเหตุ เขาตกตะลึงกับภาพตรงหน้า และรีบพุ่งตัวไปที่ร่างของฉินกงกงอย่างรวดเร็ว นั่งยองลงและตรวจสอบลมหายใจ สีหน้าของเขาโล่งใจเล็กน้อย “ยังหายใจอยู่ กระหม่อมจะรีบตามหมอหลวงให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า เว่ยกงกงก็ลุกขึ้นเพื่อออกไปโดยไม่ลืมที่จะลากแม่นางเฟ่ยชุ่ยที่กำลังมีอาการหวาดผวาออกไปด้วย

ทั้งห้องว่างเปล่าและเงียบสงัด

“เสด็จแม่”

ฮ่องเต้ตะโกนร้องเรียกอย่างระมัดระวัง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ

องครักษ์มือดีก็รีบทยอยเข้ามาเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าไทเฮาจะหายตัวไป

ในห้องบรรทมก็ไม่ได้มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ จะมีก็แค่กล่องปริศนาที่ตกอยู่บนพื้นและฉินกงกงที่ไม่ได้สติ

ฮ่องเต้หยิบกล่องนั้นขึ้นมาดู

เขารู้จักกล่องใบนี้ เป็นกล่องใบโปรดของไทเฮา เมื่อเขายังเด็ก เขามักจะไปที่ตำหนักคุนหนิง เขาหยิบทุกอย่างออกมาเล่นได้ ยกเว้นกล่องใบนี้

แม้ว่าฮ่องเต้ในวัยเยาว์จะทรงเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากๆ ครั้งหนึ่ง ขณะที่ไทเฮานอนหลับ เขาก็แอบดูของในกล่อง

เป็นรองเท้าหัวเสือคู่ใหม่

จะว่าเป็นของใหม่ ก็ดูไม่ใหม่เท่าไหร่ สีซีดนิดหน่อย แต่ดูๆ แล้วน่าจะยังไม่ได้มีการสวมใส่ แตกต่างจากรองเท้าเก่าอย่างเห็นได้ชัด

ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ารองเท้าเสือโคร่งคู่นั้นเป็นของหนิงอัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตระหนักว่าเสด็จแม่คงเตรียมรองเท้าคู่นั้นไว้สำหรับผู้ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเท่านั้น

เพียงแต่ต่อมา คนคนนั้นก็ดันจบชีวิตลงตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก

คิดดูว่าโหดร้ายถึงเพียงไหน

หรือว่า ใครคนนั้น จะใช้รองเท้านี้เป็นข้ออ้างเพื่อหลอกล่อให้เสด็จแม่ตามเขาออกไปกันนะ

นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฮ่องเต้ แต่ในเมื่อตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเสด็จแม่ในตำหนักแห่งนี้ ฮ่องเต้จึงอดไม่ได้ที่จะคำนึงถึงความเป็นไปได้นี้

พอได้หมอหลวงมาช่วยเหลือ ฉินกงกงก็ฟื้นขึ้น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นเหตุการณ์อะไรทั้งสิ้น เขาแค่รู้ว่าตัวเองถูกของแข็งตีเข้าจากด้านหลัง แล้วสลบไป

ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดแล้วตรัส “คนที่สามารถแอบเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่ว ทั้งๆ ที่มีองครักษ์มากมายคอยคุ้มกัน จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ”

มีเพียงไม่กี่คนในวังหลังทั้งหมดที่มีโอกาสรู้เกี่ยวกับรองเท้าเหล่านี้ ฮ่องเต้เริ่มพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร จึงรีบมุ่งหน้าไปที่สำนักแม่ชีด้วยท่าทางเย็นชา

ทุกอย่างเริ่มโกลาหล เว่ยกงกงจึงวานให้คนไปตามเหอกงกงมาด้วย

เมื่อจักรพรรดิมาถึงสำนักแม่ชี เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ

บรรกาศเงียบเกินไปจดผิดสังเกต เหมือนกับห้องบรรทมของไทเฮาในตอนแรก

ฮ่องเต้ค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ

แต่กลับถูกเหอกงกงห้ามไว้ก่อน “กระหม่อมนำหน้าให้พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ยอมเชื่อฟัง

เหอกงกงเดินสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะเดินออกมา “ฝ่าบาท จิ้งไท่เฟยและแม่นมไช่หายตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นลมหมดสติไป กระหม่อมไม่รู้ว่าพวกเขาถูกตีจนสลบหรือถูกวางยาสลบพ่ะย่ะค่ะ”

แววตาของฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยความสงสัยและระแวดระวัง “ดี ก็ดี!”

เหอกงกงไม่ใจดีกับพวกข้ารับใช้เท่ากับเว่ยกงกง เขาไม่คิดจะเชิญหมอหลวงมาดูอาการ แต่กลับมองว่าใข้น้ำเย็นหนึ่งขันก็เพียงพอแล้ว

แม่ชีน้อยที่ชื่อฮุ่ยอันเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น ก่อนจะกรีดร้อง “อย่าฆ่าหม่อมฉัน! ไท่เฟยเจ้าคะ อย่าฆ่าหม่อมฉันเลยเจ้าค่ะ! หม่อมฉันไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น…จริงๆ นะเจ้าคะ…”

“เจ้าเห็นอะไรมารึ” เหอกงกงทิ้งขันในมือลงพลางถาม

เสียงร้องของฮุ่ยอันหยุดลงทันที ก่อนจะมองเหอกงกงด้วยท่าทีสงสัย จากนั้นพอนางเจอกับฝ่าบาท ก็รีบวิ่งเข้าไปกราบแทบเท้าพร้อมใบหน้าแดงก่ำ

“สามหาว!” เว่ยกงกงไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้ฝ่าบาทเป็นอันขาด

ฮุ่นอันตกใจจนต้องเก็บมือเข้าตัว

ฮ่องเต้เดินออกมาจากด้านหลังเว่ยกงกงและมองนางอย่างเฉยเมย “เจ้า เห็นอะไร จงพูดตามตรง แล้วข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

ฮุ่ยอันอธิบายเสียงสั่น “ข้า…ข้าเห็น…ไท่เฟย…ถือดาบ…ทำร้าย…หลายคน…ผู้คน…และชายชุดดำกลุ่มหนึ่ง… ออกไปจากที่นี่…มัน…”

ฮ่องเต้เข้าใจว่าจิ้งมีกลุ่มองครักษ์มือดีอยู่ในมือ นางจึงนำกลุ่มนั้นไปทำร้ายทหารยามใกล้สำนักนางชีเพื่อแยกตัวออกจากการล้อม

ดูเหมือนว่าไทเฮาจะถูกลักพาตัวไปจริงๆ

ที่ไม่แน่ใจก็คือไม่รู้ว่าพวกเขาออกจากวังไปหรือเปล่า

ฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปิดประตูพระราชวังทั้งหมด แม้แต่แมลงตัวเดียวก็ห้ามปล่อยให้เล็ดรอดออกไปได้เด็ดขาด! นอกจากนี้ แจ้งทหารรักษาพระองค์ ปิดประตูเมือง และค้นหาอย่างละเอียด…”

เว่ยกงกงเอ่ยถาม “ทรงให้ค้นหาแบบโจ่งแจ้งหรือว่า…”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหนึ่งที ก่อนจะเอ่ย “แบบลับ”

“พ่ะย่ะค่ะ! เช่นนั้นฝ่าบาททรง…”

ฮ่องเต้ได้แต่คิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะตัดสินใจออกไปนอกวังด้วยตัวพระองค์เอง