ตอนที่ 158-2 ผลสองภพ

สวี่หย่งชิงมองอีกฝ่ายอย่างล้ำลึกอยู่พักใหญ่ “เจ้าบอกอาจารย์มาตามตรง สตรีนางนั้นเป็นใครกัน”

จีหมิงซิวนิ่งไปเล็กน้อย “นางคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวของจวนเอินปั๋ว”

สวี่หย่งชิงเลยอึ้งไป “สตรีผู้นั้นที่หมั้นหมายกับเจ้างั้นหรือ”

“ใช่แล้ว”

“นางไม่ได้ถูก…” สวี่หย่งชิงหยุดพูดเพียงเท่านั้น จู่ๆ เขาก็เงียบไปก่อนจะโบกมือ “เอาเถอะๆ รายละเอียดอย่างอื่นเจ้าไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟังแล้ว ทางด้านศิษย์น้องหญิงรองของเจ้า ข้าจะไปพูดให้เองก็แล้วกัน แต่เรื่องเช่นนี้ห้ามเกิดขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า ก็เข้าไปยุ่งเรื่องความโกรธเกลียดกันระหว่างพวกเจ้าไม่ได้”

จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์จดจำไว้แล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์มาก”

หลังจากจีหมิงซิวไปแล้ว ศิษย์พี่ห้าก็เดินออกมาจากทางเดินเล็กๆ ทางด้านข้าง “อาจารย์”

“เป็นอย่างไรบ้าง” สวี่หย่งชิงถาม

ศิษย์พี่ห้าเอาอาวุธที่พบในจุดเกิดเหตุออกมาวางลงบนผ้าต่วนให้สวี่หย่งชิงดู “เป็นอาวุธของสมาคมกระบี่จริงๆ ขอรับ ตอนศิษย์ไปพบอาวุธเหล่านี้ ตามอาวุธมีร่องรอยของพืชน้ำอยู่ไม่น้อย พวกมันน่าจะดำน้ำเข้ามา ศิษย์คิดไม่ตกยิ่งนัก ในทะเลสาบเลี้ยงปลากินคนเอาไว้ พวกมันว่ายน้ำมาถึงบนเกาะได้อย่างไร”

สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “แค่ใส่เสื้อเกราะหนาๆ หนักๆ ก็กันปลากินคนได้แล้ว มีเห็นเสื้อเกราะบ้างหรือไม่”

ศิษย์พี่ห้าส่ายหน้า “บนเกาะไม่มีชุดเกราะเลยขอรับ”

“เศษชุดสักชิ้นก็ไม่มีหรือ” สวี่หย่งชิงถาม

“ไม่มีขอรับ” ศิษย์พี่ห้าตอบด้วยความหนักแน่น “เหตุใดอาจารย์ถึงถามเช่นนี้”

สวี่หย่งชิงโบกมือ “ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะ”

ศิษย์พี่ห้าขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อาจารย์ ผลสองภพถูกคนของสมาคมกระบี่เอาไปแล้ว ให้ศิษย์นำคนไปตามเอาผลสองภพกลับมาดีหรือไม่ เดิมทีผลสองภพเป็นของจวนไท่ซือ ท่านเป็นเขยของจวนไท่ซือ ท่านมีสิทธิ์ที่จะได้มันมา แต่คนอื่นอย่าหมายจะยื่นมือเข้ามายุ่ง!”

สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะทำให้เอิกเกริกไม่ได้ หากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ คงไม่ใช่แค่การแย่งชิงระหว่างพวกเราสองสำนักแล้ว”

หลังจากจีหมิงซิวเอ่ยลาสวี่หย่งชิงไป อีกด้านหนึ่งงานเลี้ยงก็เกือบจะสิ้นสุดลง เฉียวเวยกับเถ้าแก่หรงเก็บข้าวของกันเสร็จ ก็นำเอาผลสองภพออกจากจวนไท่ซือไปได้

เถ้าแก่หรงไม่รู้เลยว่าเถ้าแก่รองของตนเข้าไปอยู่ในดงอันตรายมาอีกแล้ว จึงเอาแต่พูดกับเฉียวเวยว่าคนของจวนไท่ซือน้ำใจกว้างขวางเพียงใด ไม่เพียงจ่ายเงินค่างานเลี้ยง แต่ยังตกรางวัลให้ทุกคนคนละห้าสิบตำลึงอีกด้วย

เฉียวเวยเอาเงินห้าสิบตำลึงกลับขึ้นเขาไป

วันหนึ่งผ่านไปอีกแล้ว ซาลาเปาน้อยสองลูกรอมารดากลับมาจนง่วงงุนไปหมด พวกเขายกเก้าอี้ออกมานั่งที่หน้าประตู ศีรษะน้อยๆ เอนพิงเข้าหากัน สัพหงกหลับกันราวกับลูกไก่จิกอาหาร

เฉียวเวยกอดซาลาเปาสองลูกไว้ด้วยความสงสาร

ทั้งสองง่วงกันจะไม่ไหวแล้ว พอลืมตาขึ้นมาเห็นว่าเป็นมารดา ก็อ้าปาหาวแล้วซบลงนอนบนบ่าของเฉียวเวยด้วยความสบายใจ

เฉียวเวยวางทั้งสองลงบนเตียง พูดคุยกับป้าหลัวและปี้เอ๋อร์อยู่พักหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ต่างกลับไปพักผ่อน เฉียวเวยหยิบผลสองภพออกมา และเริ่มศึกษาว่าจะเอาไปใส่ในยาให้เฉียวเจิงกินได้อย่างไร

กินเข้าไปทั้งอย่างนี้ หรือว่าจะต้องใช่ร่วมกับยาตัวอื่น

เฉียวเวยพลิกอ่านสมุดบันทึกของเฉียวเจิง หวังว่าจะได้พบอะไรเกี่ยวกับผลสองภพบ้าง แต่สิ่งที่เฉียวเจิงจดบันทึกไว้มีแต่การรักษาที่ตนทำมาตลอดหลายปีนี้ เขาไม่เคยใช้ผลสองภพมาก่อน ตัวเขาจึงไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมันเลย

“เฮ่อ” เฉียวเวยถอนหายใจ

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีอุ้งมือน้อยค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาจากใต้โต๊ะ

หมายใจคิดจะเข้าไปเอาผลสองภพที่อยู่ในถาด เฉียวเวยคว้าตำราเล่มหนึ่งมาแล้วฟาดลงบนอุ้งมือนั้นทันที!

“เจี๊ยกๆ…”

จูเอ๋อร์เจ็บจนร้องลั่น!

เฉียวเวยจับหางมันยกขึ้นมา “เจ้าลิงเกเร คิดจะขโมยของข้าอีกแล้ว!”

จูเอ๋อร์สูดจมูกอย่างน่าสงสาร น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา สีหน้ามันเต็มไปด้วยการต่อว่าต่อขานว่าข้าไม่ได้คิดจะขโมยของของเจ้า แค่จะจับดูให้รู้สักหน่อยแล้วจะคืนให้ แต่เจ้ากลับเอาแต่โทษข้าอย่างไม่มีเหตุผล รังแกข้า ซ้ำยังทำข้าเจ็บๆ อีก

การที่นางสามารถอ่านสีหน้าของลิงตัวหนึ่งออกมาได้มากเพียงนี้ เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเก่งมากทีเดียว

เฉียวเวยจับจูเอ๋อร์โยนออกไปนอกหน้าต่าง

ไม่นาน อุ้งมือเล็กๆ อีกข้างหนึ่งก็ยื่นมาทางผลสองภพอีก

“เอาอีกแล้ว?!” เฉียวเวยหันไปคว้าหมับแล้วยกขึ้นมาดู เอ๋ เป็นเสี่ยวไป๋หรือนี่!

เสี่ยวไป๋นี่ไม่รู้ไปเอาผ้าสีดำจากที่ไหนมาพันไว้ที่กรงเล็บ หากไม่ดูให้ดียังคิดว่าเป็นมือของจูเอ๋อร์เสียอีก

รู้จักโบ้ยไปให้ลิงเสียแล้ว เก่งเหลือเกินนะเจ้าพังพอน

เฉียวเวยจับมันยกขึ้นมา “เรื่องดีๆ ไม่รู้จักเอาอย่าง กลับมาเลียนแบบทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้หรือ! ห้ามเจ้าลงจากเตียงเป็นเวลาสามวัน!”

อุ้งมือของเสี่ยวไป๋เลื่อนไปจับที่หน้าอก

เฉียวเวย “…”

ท่าไม้ตายเช่นนี้ของจูเอ๋อร์ คือท่าหญิงงามช้ำใจหรือนี่

พังพอนตัวนี้เหตุใดถึงได้ท่าทางเหมือนลิงเข้าไปทุกวัน

ผลสองภพมีแรงดึงดูดอย่างใหญ่หลวงต่อสัตว์ทั้งหลาย ไม่เพียงสัญชาตญาณของจูเอ๋อร์กับเสี่ยวไป๋ที่คิดอยากได้ผลไม้ประเภทนี้ แม้แต่งูสุดรักที่เสี่ยวไป๋เลี้ยงเอาไว้ ก็ยังมีความเคลื่อนไหวกับเขาด้วย

ของสิ่งนี้จะวางไว้นานไม่ได้ หากนานกว่านี้อีกหน่อย ไม่แน่ว่าเสือสิงโตที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงคงถูกล่อมาที่นี่กันหมด

วันต่อมาหลังจากส่งบุตรทั้งสองไปยังสถานศึกษาแล้ว เฉียวเวยก็นั่งรถลาของหลัวหย่งจื้อไปเข้าเมือง จากนั้นก็ว่าจ้างรถม้าของสารถีกวนมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงต่อ

“ข้ากำลังคิดจะไปหาเจ้าทีเดียว หลันย่วนมีเครื่องเรือนบางชิ้นที่ซ่อมแซมไม่ได้ ข้ากำลังคิดว่าจะหาซื้อชุดใหม่ เลยจะถามเจ้าว่าอยากได้แบบใด” ฮูหยินสี่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้า ก็เห็นเฉียวเวยลงมาจากรถม้าอีกคันหนึ่งพอดี

เฉียวเวยเอ่ยว่า “เรื่องหลันย่วนเอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ ข้ามีเรื่องอื่นจะคุยกับเจ้า”

“เรื่องอะไรหรือ” ฮูหยินสี่ถาม

เฉียวเวยจึงบอกว่า “ในจวนมีตำราแพทย์อะไรดีๆ หรือไม่”

ฮูหยินสี่นิ่งคิดก่อนบอกว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจ แต่ว่าหลายวันนี้ข้าเก็บข้าวของในหลันย่วน เลยเจอหีบหนังสืออยู่หลายหีบ น่าจะเป็นของที่ท่านพ่อท่านแม่เจ้าทิ้งเอาไว้ เจ้าอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่”

“อื้ม” เฉียวเวยพยักหน้า แล้วเดินไปทางห้องหนังสือของหลันย่วนพร้อมกับฮูหยินสี่

ฮูหยินสี่ให้สาวใช้เปิดหีบให้ดู “ท่านพ่อเจ้าชอบอ่านหนังสือ หีบหนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่เขาอ่านเป็นประจำ ท่านแม่เจ้าทิ้งสูตรยาจำนวนหนึ่งไว้ในห้องเก็บของ เพียงแต่ถูกนายท่านรองเอาไปแล้ว หากเจ้าอยากได้ ข้าจะไปเอาคืนมาจากเขาให้”

“เอาก็แล้วกัน” ถึงแม้จะคิดว่าในสูตรยาเหล่านั้นไม่น่ามีบันทึกเกี่ยวกับผลสองภพ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นของของเรือนใหญ่ หากไม่เอาคงเสียไปเปล่าๆ

เฉียวเวยลองค้นดูในหีบ หากไม่ใช่ตำราแพทย์ที่หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด ก็เป็นบันทึกการรักษาของเฉียวเจิงเอง ไม่ใช่เคล็ดฝีมือทางการแพทย์ที่ล้ำค่าอะไร จึงยังไม่อาจตอบคำถามเรื่องผลสองภพได้

“ฮูหยิน กล่องนี้ให้เก็บไว้ที่ไหนเจ้าคะ” สาวใช้หอบกล่องไม้หน้าตาเก่าแก่กล่องหนึ่งเข้ามาถาม

เฉียวเวยหันไปมอง “สิ่งนี้คืออะไร”

ฮูหยินสี่ตอบยิ้มๆ ว่า “เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ เหล่านี้ล้วนเป็นภาพวาดยามเด็กของเจ้าทั้งสิ้น ท่านแม่เจ้าเก็บเอาไว้น่ะ”

“ขอข้าดูที”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ยื่นกล่องส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยเปิดออก มีแต่ภาพวาดอะไรก็ไม่รู้จริงๆ แต่เหตุใดถึงหนักเพียงนี้

เฉียวเวยลองกะน้ำหนัก ทั้งลองเคาะดู นางขมวดคิ้ว ออกแรงยกดู จึงเปิดมาเจอช่องลับที่อยู่ข้างใต้ ด้านในมีหนังสือสีทองเล่มเล็กวางอยู่

“นี่คืออะไร” ฮูหยินสี่ถามด้วยความงุนงง

เฉียวเวยส่งกล่องไปให้ฮูหยินสี่ ส่วนตนพลิกสมุดออกดู “คงเป็นหนังสือที่ท่านแม่ข้าทิ้งเอาไว้กระมัง”

หนังสือที่ทำด้วยกระดาษทอง จึ๊ๆ ท่านแม่นางต้องร่ำรวยเพียงใดหนอ

ฮูหยินสี่เหลือบมองทีหนึ่ง ไม่ได้ดูโดยละเอียด นางยังถือว่ารู้อะไรควรไม่ควร ไม่คิดถามไถ่ในสิ่งที่ไม่ควรถาม เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่อยๆ ดูนะ ข้าให้คนมาเก็บข้าวของที่นี่ก่อน”

“ขอบคุณอาสะใภ้สี่มาก” เฉียวเวยตอบ

ฮูหยินสี่ตบมืออีกฝ่ายเบาๆ “คนกันเองทั้งนั้นจะเกรงใจไปไย”

เฉียวเวยเดินถือสมุดทองคำไปนั่งอ่านในสวน นางอ่านพลางส่งเสียงจึ๊ๆ แล้วส่ายหน้าไปด้วย ท่านแม่ของนางจะต้องใช้เงินเป็นเบี้ยแน่นอน ไม่ใช่แค่กระดาษที่เป็นกระดาษทอง แต่ภาพที่อยู่ด้านบนยังทำจากเงินและทองคำแท้อีกด้วย

หากเอาสมุดเล่มนี้ไปขายที่ตลาด คงซื้อบ้านมีบริเวณหลังเล็กๆ ได้เลยกระมัง

“หญ้าอวี้หลันคืออะไรกัน ฝางเฟิงเจี้ยงยิ่งคืออะไรเข้าไปใหญ่”

สิ่งที่จดบันทึกอยู่ภายในมีแต่สิ่งที่เฉียวเวยไม่รู้จักทั้งสิ้น

เฉียวเวยคิดว่าตนเองอ่านตำราแพทย์มาแล้วมากมาย ไม่ต้องพูดถึงว่าวิชาความรู้ของนางล้ำลึกเพียงใด สมุนไพรโดยมากนางสามารถแยกออกทั้งสิ้น แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มนี้ นางกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

คงไม่ใช่ว่ามารดาของนางอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เลยคิดขึ้นมาเองเล่นๆ หรอกกระมัง

ไม่นานเฉียวเวยก็พลิกไปจนเจอผลไม้อันหนึ่งที่คุ้นตา ผลสีขาวขนาดประมาณเท่ากำปั้น ตามผลมีจุดเล็กๆ กระจายอยู่

นี่ไม่ใช่ผลสองภพหรอกหรือ

ดูท่าคงจะไม่ได้คิดขึ้นมาเองแล้วกระมัง

“รักษาอาการบาดเจ็บภายใน หั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากให้แห้ง ต้มไปกับขิงสด… รักษาอาการบาดเจ็บ บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำค้างยามเช้าจากต้นหอมหมื่นลี้สี่ฤดู แล้วกินลงไป ง่ายเช่นนี้เลยหรือ คงไม่ได้หลอกกันกระมัง” เฉียวเวยลูบคาง ตัดสินใจเชื่อมารดาที่ยังไม่ได้เคยได้พบหน้าผู้นี้สักครั้ง

ดอกหอมหมื่นลี้สี่ฤดูไม่ใช่ของมากค่าราคาแพงอะไร ในภัตตาคารหรงจี้ก็มีปลูกอยู่ต้นหนึ่ง

วันต่อมาเฉียวเวยตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อไปแขวนขวดเก็บน้ำค้างยามเช้าที่ต้นหอมหมื่นลี้สี่ฤดูที่หรงจี้ นางทำตามสูตรยาที่จดบันทึกเอาไว้ บดเนื้อผลสองภพจนแหลกแล้วใส่ลงในน้ำค้างยามเช้า ก่อนจะป้อนทีละช้อนเล็กๆ ให้เฉียวเจิงกิน

สิ่งที่ควรทำก็ทำหมดแล้ว จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่คงต้องแล้วแต่บุญกรรมของเฉียวเจิงแล้ว

เมื่อเทียบกับเฉียวเจิงที่ได้สมุนไพรช่วยชีวิตมาในที่สุด จีหมิงซิวกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น

พอกลับมาจากจวนไท่ซือ คืนนั้นเขาก็ถึงกับล้มพับไปทันที

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปเชิญหมอหลวงจางมา หมอหลวงจางต่อว่าพวกเขาว่าให้จีหมิงซิวกินอะไรที่ไม่ควรกิน จึงมีอาการแพ้หนักเช่นนี้แล้วยังไม่รีบรักษา หนำซ้ำยังบาดเจ็บภายใน ทำเช่นนี้เรียกว่ารนหาที่ตายโดยแท้

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้แต่ทำหน้าลำบากใจ เขากับสือชีล้วนเคยมีเรื่องขัดแย้งที่ไม่อาจบอกได้กับเจ้าสำนักซู่ซินจง จึงไม่สะดวกที่จะพบหน้ากับคนของซู่ซินจง ครั้งนี้จึงให้จีหมิงซิวออกไปคนเดียว แต่เขากล้ารับประกันว่า เดิมทีจีหมิงซิวไม่ควรจะบาดเจ็บ อาวุธที่เขาให้จีหมิงซิวไป เพียงพอที่จะสังหารงูหลามตัวเขื่องสิบตัวได้ด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่ไปทำอะไรเอาไว้อีก

หมอหลวงจางเขียนใบยาให้จีหมิงซิว โชคดีที่อาการแพ้รักษาไว้ได้แล้ว แต่อาการบาดเจ็บภายในนี้จนปัญญาจริงๆ

ตอนที่ไห่สือซานเข้ามาในห้องนั้น หมอหลวงจางกำลังจะกลับพอดี ไห่สือซานเอ่ยด้วยความกังวลว่า “นายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังจะอย่างไรได้อีก ให้ตายเถอะ! อายุตั้งเท่าไรแล้ว! แค่คลาดสายตาไปครั้งเดียว เขาก็ทำจนตัวเองจะตายแหล่มิตายแหล่!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดฟันกรอด “เจ้าไปสืบเป็นอย่างไรบ้าง นายน้อยไปทำอะไรมากันแน่”

ไห่สือซานเล่าให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟังว่า เฉียวเวยได้รับเชิญไปทำอาหารที่จวนไท่ซือแล้วถูกศิษย์พี่หญิงรองทำร้ายได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งเฉียวเวยยังทำร้ายศิษย์พี่หญิงรองกลับ จากนั้นก็กระโดดลงไปในทะเลสาบที่เลี้ยงปลากินคนไว้ ไม่นานหลังจากนั้นนายน้อยก็กระโดดตามลงไป ก่อนทั้งสองจะออกมาจากเกาะ แล้วขึ้นเรือออกจากเกาะกันมาก่อน

ข้อมูลที่ได้ออกจะมากอยู่สักหน่อย สมองของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มากพอจะย่อยได้

“ดังนั้น แม่เด็กนั่นเลยมีเรื่องกับคนของซู่ซินจง?”

“จากนั้น แม่เด็กนั่นจะกระโดดทะเลสาบจะฆ่าตัวตาย”

“จากนั้นอีก แม่เด็กนั่นถูกนายน้อยช่วยเอาไว้ได้”

“สุดท้าย พวกเขาสองได้ผลสองภพและกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดแอปเปิลไปคำหนึ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกันนี่”

ไห่สือซานก่ายหน้าผาก “ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ซู่ซินจง แต่อยู่ที่ว่าผลสองภพไม่อยู่แล้ว”

“อะไรนะ ผลสองภพไม่อยู่แล้ว” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขนลุกไปหมด ผลสองภพไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นชีวิตของนายน้อยยังจะรักษาไว้ได้หรือ!

ผลสองภพยี่สิบปีจะออกผลสักครั้งหนึ่ง มีเพียงครั้งละหนึ่งผล เมื่อพลาดผลนี้ ก็ต้องรอผลต่อไป นั่นก็ต้องอีกยี่สิบปี ใครจะกล้ารับประกันว่ากำลังภายในในตัวนายน้อยจะไม่แผลงฤทธิ์ไปยี่สิบปี

ไม่ต้องรอถึงยี่สิบปีหรอก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกว่าครั้งนี้นายน้อยอาการหนักมากแล้ว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “ข้าเพิ่งอยู่มาได้สี่สิบปีเท่านั้น ยังใช้ชีวิตได้ไม่พอเลย”

ไห่สือซานเอ่ยทอดถอนใจว่า “เวลานี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ปล่อยจีอู๋ซวงออกมาเถิด มีแค่เขาเท่านั้นที่มีวิธีระงับอาการบาดเจ็บของนายน้อยได้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งเสียงเชอะทีหนึ่ง “ไอสารเลวนั้นเจ้าใช่ว่าไม่รู้จักมันเสียหน่อย หากไม่มีคำสั่งจากนายน้อย ใครปล่อยจีอู๋ซวงออกมา คนนั้นก็ต้องตายแน่ ถึงอย่างไรก็ตายเหมือนกัน ข้าคร้านจะไป จะไปเจ้าไปเองก็แล้วกัน”

ไห่สือซานก็ไม่กล้า

หากอี้เชียนอินอยู่ก็ดีหรอก เขารู้ใจนายน้อยที่สุดแล้ว น่าเสียดายก็แต่เจ้านั่นใช้วิชาแปลงโฉมติดต่อกันสองครั้ง เลยเจอวิชาสะท้อนกลับอย่างรุนแรง เวลานี้จึงกลับไปเก็บตัวอยู่

ทั้งสองมองไปยังสือชีที่ยืนเหม่อกอดกระบี่ล้ำค่า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอมเบาๆ “สือชี นายน้อยให้เจ้าไปปล่อยจีอู๋ซวงออกมาแหนะ”

สือชีไม่ขยับตัว

ไห่สือซานพูดต่อว่า “สือชีเอ๋ย ไปปล่อยจีอู๋ซวงออกมา เดี๋ยวจะซื้อถังหูลู่ให้กิน”

สือชียังคงจมอยู่ในโลกของตนเอง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อสิ่งที่พวกเขาพูดสักนิด

“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ย

ไห่สือซานถามว่า “วิธีอะไร”

เฉียวเวยป้อนยาให้เฉียวเจิงเสร็จ กำลังจะกลับไปพักที่ห้อง ก็ถูกเงาดำเงาหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้ แขนข้างหนึ่งของนางพลันขยับ คิดจะคว้าเอากริชออกมา แต่พอเห็นสีหน้าอีกฝ่ายชัดๆ นางกลับดูชะงักไป “อาเยี่ยน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยความหนักใจ “แม่หนู ข้าตามหาเจ้าแทบแย่”

“หาข้า… มีเรื่องอะไรหรือ” ไม่รอให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยปาก เฉียวเวยก็พูดขึ้นก่อนว่า “หากเป็นเรื่องของนายน้อยเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว”

เอ่อ…

สิ่งที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากจะเอ่ยพลันค้างอยู่ที่ลำคอ

รู้อยู่แล้วเชียวว่าเป็นเรื่องของอีตานั่น เฉียวเวยระบายยิ้ม “เช่นนั้นเวลานี้อาเยี่ยนคงไม่มีเรื่องอะไรแล้วกระมัง”

ดวงตาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย มองดูซาลาเปาน้อยที่กำลังเล่นตุ๊กตาผ้าอยู่ในห้องแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “สือชีได้รับบาดเจ็บ! อาการหนักมาก หนักมากๆ! ใกล้ตายเต็มที!”

วั่งซูรีบวิ่งตึกๆๆ ออกมา “พี่สือชีได้รับบาดเจ็บหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสีหน้าทุกข์ระทม “ใช่น่ะสิ ถูกแทงเข้าที่ท้อง ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ข้ามาเรียกให้พวกเจ้าไปพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

วั่งซูหันไปมองมารดาพร้อมขอบตาแดงก่ำ “ท่านแม่ พวกเราไปหาพี่สือชีได้หรือไม่”

ด้วยประการฉะนี้ แม่ลูกทั้งสามจึงถูกเฟยเยี่ยนเจวี๋ย “พาไป” ยังเรือนสี่ประสาน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนำเฉียวเวยเข้าไปในห้องสือชี “เจ้าเข้าไปดูเขาเถิด”

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นก็จะเข้าไปด้วย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มพวกเขาไว้ข้างละคน “มารดาพวกเจ้ารู้วิชาการแพทย์ ให้นางช่วยรักษาบาดแผลให้พี่สือซีเสียก่อน ไว้รักษาหายแล้วพวกเจ้าค่อยเข้าไป”

ทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่าย

เฉียวเวยเข้าไปในห้อง เดินไปที่เตียง นางคิดจริงๆ ว่าเป็นสือชี แต่พอได้เห็นใบหน้าคุ้นตาที่นอนอยู่บนเตียง ถึงได้พลันรู้ตัวว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว นางจึงจะหมุนตัวเดินออกเสียเดี๋ยวนั้น!

แต่คนบนเตียงกลับยื่นมือมาคว้าข้อมือนางไว้

เฉียวเวยเกลียดการทำเช่นนี้ของเขามากที่สุด อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะจับมือ นางยินยอมแล้วหรือ แล้วยังให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลอกนางมาที่นี่อีก เกินไปแล้วจริงๆ!

“ปล่อยนะ!”

หัวไหล่ของเฉียวเวยไม่เป็นอะไรมากแล้ว พละกำลังจึงกลับมาเหมือนยามปกติ พอนางออกแรงสะบัดมือ ก็ควรจะสะบัดหลุดออกมาได้ถึงจะถูก แต่กระนั้นสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แรงที่มือของเขามากกว่ายามปกติอยู่หลายเท่า ราวกับเป็นกรงเล็บเหล็กก็ไม่ปาน จับแน่นจนแขนนางขยับเขยื้อนไม่ได้เลย

“เจ้าคิดจะ…”

พูดไปยังไม่ทันจบ เฉียวเวยหันไปมองก็ถึงกับตกใจเมื่อสบเข้ากับดวงตาดำสนิทที่คล้ายมองไม่เห็นตาขาวคู่นั้น มืดมิดจนไร้ขอบเขต ไอปีศาจพวยพุ่ง

ม่านตาเฉียวเวยพลันหดตัว “หมิงซิว?”

จีหมิงซิวไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด เพียงจับจ้องนางอย่างดุดัน สายตาเช่นนั้นประหนึ่งพายุที่พร้อมพัดให้ทุกอย่างกระจุยกระจาย

เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล อีตานี่ขายวิญญาณให้ปีศาจไปแล้วหรือไร

“อาเยี่ยน! เจ้ามาดูที! อาเยี่ยน! อา…อื้อ…”