ตอนที่ 159-1 คืนดี จัดการเรื่องศิษย์น้องหญิง
นี่เป็นเตียงไม้กระดานแข็งๆ ของสือชี ด้านบนปูเพียงผ้าปูที่แทบไม่มีนุ่นหนึ่งชั้น ชั่วขณะที่ล้มลงบนเตียงไม้นั้น ศีรษะของเฉียวเวยแทบจะกระแทกจนมึนไปทีเดียว
เขาป่วยจนไม่มีสติแล้ว
ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ขีดเส้นกั้นแดนกันไว้แล้ว ไม่รู้ว่านางเป็นใคร เข้าอาจถึงขั้นไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร อีกทั้งกำลังทำอะไรอยู่
ตัวเขากำลังแผ่ไอดุร้ายและไอสังหารอย่างรุนแรงออกมาช้าๆ
นี่เขา… เดินลุยไฟกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือ
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เฉียวเวยยังกล่าวโทษเขาอยู่ ครานี้ในที่สุดนางก็สัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาบาดเจ็บภายใน ชีพจรสับสนวุ่นวายไปหมด ยุ่งเหยิงมากจริงๆ นี่ไม่ใช่ขอบเขตที่คนทั่วไปสามารถทานทนได้แล้ว
เขากำลังอดทนกับความทรมานอย่างรุนแรง
“หมิงซิว เจ้าได้สติที นี่ข้าเอง”
เฉียวเวยพยายามลองเรียกให้เขาได้สติ แต่กระนั้นเขาก็เป็นคล้ายอสุรกายที่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว
อีตานี่คงไม่ฆ่านางกระมัง
เฉียวเวยร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร “หมิงซิว”
เสียงที่เรียกชื่อหมิงซิว ยังเจือแววสะอื้นอยู่ด้วยซ้ำ
ตัวของจีหมิงซิวสั่นน้อยๆ ทีหนึ่ง
แค่เพียงทีเดียว เฉียวเวยฉวยจังหวะนั้นไว้ได้ทันที
ขาของเฉียวเวยผละออกจากขาของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว นางงอหัวเข่าแล้วถีบอีกฝ่ายตกลงไป!
ตัวจีหมิงซิวตีลังกาอยู่กลางอากาศรอบหนึ่ง ศีรษะกระแทกเข้ากับเก้าอี้ ตัวเกร็งก่อนจะสลบไป
เฉียวเวยวิ่งออกจากห้องไปอย่างเสียขวัญ จึงได้พบกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เข้ามาลอบสังเกตสถานการณ์เข้าพอดี
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองประเมินนางด้วยสายตาประหลาด “เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงวิ่งเร็วเพียงนี้ มีตัวอะไรไล่ตามเจ้าหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่าต่อขาน “ยังจะพูดอีก นายน้อยของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้มาตลอดหรือ ที่พร้อมจะคลุ่มคลั่งได้ทุกเมื่อน่ะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิ้วขมวด “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เจ้าบอกว่านายน้อย… ฟื้นแล้ว?”
เฉียวเวยเอ่ยทอดถอนใจ “เจ้าไปดูเอาเองเถิด!”
เฉียวเวยพอเจอซาลาเปาน้อยกับอีกสองตัวกำลังกินถังหูลู่กันอยู่อย่างเอร็ดอร่อยที่ห้องตะวันตก เสียงตั้งดังเพียงนี้ ยากที่ทั้งสี่จะไม่ได้ยิน เห็นได้ว่าถังหูลู่มีแรงดึงดูดมากมายเพียงใด
เฉียวเวยอุ้มบุตรสองคนขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป
จิ่งอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ท่านแม่ พวกเราจะไปที่ไหนหรือ”
“จะไปหาพี่สือชีแล้วหรือ” วั่งซูเลียถังหูลู่พลางเอ่ยถาม
“กลับบ้าน” เฉียวเวยบอก
“ทำไมกัน” ซาลาเปาทั้งสองถามอย่างพร้อมเพรียง พวกเขายังเล่นสนุกกันไม่พอเลย ในเรือนสี่ประสานมีของเล่นตั้งมากมาย แล้วยังมีถังหูลู่ที่กินไม่หมดอีกด้วย
“ก็เพราะพวกเจ้า…” เฉียวเวยพูดยังไม่ทันจบ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็พุ่งเข้ามาหา “เจ้าทำอะไรนายน้อยน่ะ เหตุใดศีรษะของเขา… เหตุใด…”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่สนใจว่า “เขาเป็นอะไรเจ้าไม่รู้หรือ ไม่ใช่เจ้าที่ล่อข้ามาให้เขา… ทำอะไรนั่นหรือ”
ยามอยู่ต่อหน้าเด็กๆ คำบางคำช่างยากที่จะพูดออกไป
“ข้าไปทำ…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมึนลงไปหมด พอคิดอะไรได้ก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง ครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมสีหน้าหนักอึ้ง “นายน้อยกลายเป็นปีศาจไปแล้ว”
“เจ้าเพิ่งรู้หรือ”
“ข้าย่อมต้องเพิ่งรู้สิ!”
เฉียวเวยอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เหมือนกำลังเสแสร้ง หรือว่าเขาไม่รู้ถึงอาการของหมิงซิวจริงๆ แล้วที่หลอกนางมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกัน
“ลี่ว์จู เจ้าพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเข้าไปกินน้ำในห้องก่อน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยสั่ง
ลี่ว์จูก้าวเข้ามา มองไปยังเฉียวเวยด้วยสายตาขอร้อง เฉียวเวยวางบุตรทั้งสองลงกับพื้น ลู่ว์จูจูงเด็กทั้งสองกลับไปทางห้องตะวันออก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินไปหน้าห้องของสือชี พอเห็นเฉียวเวยไม่ตามมา ใจก็รู้ว่านางคงนึกกลัว จึงเอ่ยว่า “ข้าสกัดจุดเขาไว้แล้ว เขาจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราว”
เฉียวเวยถึงได้เดินตามอีกฝ่ายเข้าห้องไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งลงบนเก้าอี้แล้วชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม เป็นสัญญาณให้เฉียวเวยนั่งลงด้วย
เฉียวเวยนั่งลง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนใจด้วยความเศร้าสลด “เดิมทีไม่ควรเอามาพูดกับเจ้า แต่หากไม่พูดให้ชัด ต่อไปเกรงว่าเจ้าคงจะไม่มาอีก”
เฉียวเวยมองหน้าอีกฝ่าย
เขาเอ่ยต่อไปว่า “นายน้อยเขา… บาดเจ็บหนักมาก ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะหวังว่าเจ้าจะเอ่ยปากบอกให้ปล่อยจีอู๋ซวงออกมาได้”
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาถึงบาดเจ็บหนักได้” วันนั้นตอนที่ออกมาจากเกาะโดดเดี่ยว ท่าทางเขายังดูเหมือนคนไม่เป็นอะไรอยู่เลย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงบอกว่า “เรื่องนี้คงต้องถามเจ้า ก่อนจะไปงานเลี้ยงทุกอย่างยังดีอยู่แท้ๆ เหตุใดพอกลับมาถึงดูไม่ปกติไปได้ ทั้งมีอาการแพ้ ทั้งบาดเจ็บภายใน วันนั้นเจ้าอยู่กับเขา เจ้าบอกมาทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา!”
เฉียวเวยอึ้งไป “เขา… มีอาการแพ้ขึ้นมาจริงๆ หรือ”
ท่าทางเขาดูไม่มีอะไรผิดปกติสักนิด นางยังคิดว่าเขากินลูกชิ้นกุ้งสับลงไปแล้วไม่เป็นอะไรเสียอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับความนัยในคำพูดของนางได้อย่างรวดเร็ว เขาบอกอีกฝ่ายด้วยสายตาอันตราย “เจ้ารู้ว่าเขาจะมีอาการแพ้?”
ขนตาเฉียวเวยขยับเล็กน้อย “อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ทำอย่างกับข้าบังคับให้เขาต้องแพ้อย่างนั้นแหละ อาหารจานนั้นเป็นศิษย์น้องหญิงที่ยกไปให้เขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นลูกชิ้นกุ้งสับ แต่ก็ยังกินลงไป เขาอยากจะเอาใจศิษย์น้องหญิง ข้าห้ามเขาได้หรือ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยก็นึกโกรธขึ้นมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ก็ยังกินลงไปอีก นี่ต้องถูกใจศิษย์น้องหญิงมากเพียงใดกัน
“เขาทำเพื่อเอาใจแม่นางน้อยของซู่ซินจง นี่เจ้าใช่…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดต่อไม่ออก ได้แต่เบือนหน้าหนีไป “ช่างเถิด ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เรื่องของพวกเจ้า พวกเจ้าจัดการกันเองก็แล้วกัน ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเข้าถึงได้รับบาดเจ็บ”
เฉียวเวยตอบไปตามจริงว่า “ถูกงูหลามยักษ์สะบัดหางใส่ งูหลามยักษ์สองตัวนั่นพละกำลังมหาศาลไม่แพ้ยอดฝีมือในยุทธภพคนใดเลย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจ “ด้วยฝีมือของเขา เหตุใดถึงถูกงูหลามตะหวัดหางใส่ได้”
เฉียวเวยก็แปลกใจเช่นกัน ทั้งๆ ที่หลบได้ แต่กลับยืนอยู่อย่างนั้นราวกับคนปัญญาอ่อน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจนใจ “หนทางที่ทำได้ในเวลานี้ คงมีแค่ต้องตามหาศิษย์สมาคมกระบี่แล้วเอาผลสองภพกลับมาให้ได้แล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทอดถอนใจเอ่ยว่า “ครานี้ที่นายน้อยไปร่วมงานเลี้ยงในจวนไท่ซือก็เพื่อเด็ดผลสองภพกลับมา ผลสองภพเป็นยาดีตัวเดียวที่สามารถรักษาอาการป่วยของนายน้อยได้ น่าเสียดายก็แต่ถูกศิษย์สมาคมกระบี่แย่งไปเสียแล้ว”
ร่องรอยที่จีหมิงซิวเหลือเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ล้วนชี้ชัดไปที่สมาคมกระบี่ แม้แต่ไห่สือซานยังคิดว่าเป็นฝีมือคนจากสมาคมกระบี่แล้วแย่งผลสองภพไป
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ศิษย์สมาคมกระบี่มาอีกแล้วหรือ”
“อีกแล้ว?” ครานี้เป็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ขมวดคิ้วมุ่น
เฉียวเวยตอบอื้อคำหนึ่ง “พวกเราไปพบกับศิษย์สมาคมกระบี่สองคนบนเกาะ พวกมันหาตำแหน่งที่ตั้งของผลสองภพเจอก่อนพวกเราก้าวหนึ่ง จนเกิดการต่อสู้พัวพันอยู่กับงูหลามยักษ์ สุดท้ายพวกเขาตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมืองูหลาม แต่งูหยามยักษ์เองก็บาดเจ็บเพราะพวกเขาเช่นกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอ้าปากกว้าง มองไปทางเฉียวเวยด้วยสายตาประหลาดระคนงุนงง “เจ้ากำลังบอกว่า…ศิษย์สมาคมกระบี่ตายตั้งแต่ก่อนจะได้ผลสองภพไปหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ หมิงซิวเอาศพกับเสื้อเกราะของพวกเขาโยนลงทะเลสาบไปด้วย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดฟัน “ไอสมองกลวงไห่สือซาน สืบข่าวมาผิดเสียได้!”
“อะไรกัน” เฉียวเวยฟังไม่เข้าใจ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่มีอะไร ข้าขอถามเจ้าหน่อย ในเมื่อศิษย์สมาคมกระบี่ไม่ได้เอาผลสองภพไป แล้วใครเป็นคนเอาไปกัน”
เฉียวเวยคิดแล้วบอกว่า “ผลที่อยู่กับเขานั้นข้าไม่แน่ใจ”
“ที่เขาไม่มี” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอก
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ เขาเด็ดมาสองลูก เขาลูกหนึ่ง ข้าลูกหนึ่ง”
“เจ้า… ลูกหนึ่ง?” สีหน้าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเปลี่ยนไปทันที
“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้าอย่างใสซื่อ
เช่นนี้แล้ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก เขาก็ว่า ด้วยฝีมือของนายน้อยกับอาวุธของเขา เหตุใดถึงเอาชนะสัตว์ดุร้ายไม่กี่ตัวไม่ได้ แท้จริงแล้วเจ้าบื้อนั่นเอาสมุนไพรที่ช่วยชีวิตตนเองได้ใส่พานถวายให้คนรักของตนนี่เอง ซ้ำยังคิดหาทางโบ้ยความผิดไปให้สมาคมกระบี่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่หมายใจในสิ่งนี้ สืบหาไปจนถึงแม่หนูผู้นี้ได้อีก
คาดไม่ถึงเลยจริงๆ!
“ผลสองภพเล่า ยังอยู่หรือไม่” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยความร้อนใจ
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่อยู่แล้ว ให้พ่อข้ากินไปแล้ว”
ไม่อยากจะเชื่อๆๆ!
ผลสองภพตั้งลูกใหญ่เพียงนี้ กลับให้พ่อเจ้ากินไปจนหมด!
เจ้าไม่คิดจะเก็บไว้สักหน่อยหรือ
กินล้างกินผลาญ!
“อ๊าก…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคำรามลั่น!
เฉียวเวยได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำรามจนใจสั่นไปหมด “ในเมื่อถูกศิษย์สมาคมกระบี่แย่งไปได้ ก็รีบไปตามกลับมาสิ”
แม่หนูนี่คิดจริงๆ เสียด้วยว่าถูกศิษย์สมาคมกระบี่แย่งเอาไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากจะร้องให้ “ผลสองภพมีเพียงลูกเดียว พอให้เจ้าไป เขาก็ไม่เหลือแล้ว ถูกศิษย์สมาคมกระบี่แย่งไปได้อะไรกัน เป็นเขาที่สละไปเองกับมือแท้ๆ หากเจ้าตายก็คือตายเพื่อเจ้า เจ้าคิดเอาเองก็แล้วกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดจบก็ไม่อาจอยู่ในห้องนี้ต่อได้อีก บางทีจีอู๋ซวงอาจจะเป็นฝ่ายถูก สตรีนางนี้ไม่ควรเก็บไว้ตั้งแต่แรก นางมีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้นายน้อย เป็นตัวถ่วงพวกเขาเท่านั้น เวลานี้คำพูดของจีอู๋ซวงได้พิสูจน์แล้วว่า นายน้อยกับพวกเขาทั้งเจ็ดคนล้วนต้องตายด้วยน้ำมือของสตรีนางนี้
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า เป็นนานก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
“ผลสองภพมีทั้งหมดกี่ลูก”
“ในเมื่อเป็นผลสองภพ ก็ย่อมต้องมีสองผลสิ ต้นไม้ชนิดนี้ยี่สิบปีถึงจะออกผลครั้งหนึ่ง หลายวันนี้เป็นช่วงที่มันออกผลและสุกพอดี หากศิษย์สมาคมกระบี่มาเด็ดเอาไปได้ เจ้าจะรอให้มันออกผลอีกที ก็ต้องรอไปอีกยี่สิบปีเชียวนะ”
“ก็ได้ ข้าจะไปเด็ดผลสองภพกับเจ้า แต่เจ้าต้องแบ่งให้ข้าผลหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้าจะช่วยศิษย์สมาคมกระบี่เล่นงานเจ้า…แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้าวไก่อน ข้ากับเจ้าแค่เพียงร่วมมือกันชั่วคราวเท่านั้น ไว้รอให้เก็บผลสองภพมาได้ เจ้าเชิญใช้ชีวิตอันแสนสุขของเจ้า ข้าจะเดินไปตามทางของข้า ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
“ตามใจเจ้า”
“แล้วลูกของเจ้าเล่า ขอข้าดูหน่อย”
“ทำไม กลัวว่าข้าจะเก็บลูกใหญ่ไว้แล้วเอาลูกเล็กให้เจ้าหรือ”
ทั้งๆ ที่อยู่ว่ามีแค่ลูกเดียว แต่กลับหลอกนางว่ามีสองลูก
เขาแอบซ่อนเอาไว้ไม่ยอมให้นางรู้ แต่นางกลับสงสัยว่าเขาจะเอาลูกใหญ่ไป
นางทำอะไรลงไปกันแน่…
…
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำลังนั่งคิดหนักอยู่ตรงบันไดใต้ชายคา
“ลุงเยี่ยน” เฉียวเวยเดินเข้าไปข้างหลังเขาเบาๆ
“หึ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกรอกตาขึ้นฟ้า
เฉียวเวยนั่งลงข้างกายอีกฝ่าย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินในสวน
เฉียวเวยเม้มปากแล้วเดินตามไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่อยากสนใจนาง ปัดก้นแล้วเดินกลับไปนั่งใต้ชายคาดังเดิม
เฉียวเวยลังเล ก่อนจะตามไปอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “นี่คนเช่นเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว เจ้าให้ข้าได้ตายอย่างสงบๆ ได้หรือไม่”
“ลุงเยี่ยน” วั่งซูเดินจับมือกับพี่ชายออกมาจากในห้อง ทั้งสองมองไปทางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างใสซื่อ วั่งซูเอ่ยขอร้องอย่างน่าสงสารว่า “ปู่เยี่ยน ท่านโกรธท่านแม่ข้าหรือ ท่านอย่าโกรธท่านแม่ข้าได้หรือไม่ ข้าให้ถังหูลู่ท่านกินนะ”
นางส่งถังหูลู่ที่กัดไปแล้วครึ่งอันส่งให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย
จิ่งอวิ๋นก็เอาของตัวเองยื่นไปให้ด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันรู้สึกแสบจมูก แม่เจ้า! คนแก่ทนอะไรเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดแล้ว!
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบาว่า “ปู่เยี่ยนไม่ได้โกรธ เขาแค่ล้อแล่นกับแม่เฉยๆ จ๊ะ”
“จริงหรือ ปู่เยี่ยน?” วั่งซูมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยตาแป๋ว สายตาไม่สบายใจของเขาทำให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับปวดหนึบในใจ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า
วั่งซูระบายยิ้มด้วยความสบายใจ แล้วจูงมือพี่ชายกลับห้องไป
ก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีประตู จิ่งอวิ๋นหันกลับมามองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยทีหนึ่ง สายตาเจือไอเย็นเล็กน้อย
เฉียวเวยนั่งลงข้างกายเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เอ่ยเสียงต่ำว่า “ลุงเยี่ยน ปล่อยจีอู๋ซวงออกมาเถิด ขอเพียงเขาสามารถรักษาหมิงซิวได้ เรื่องก่อนหน้านี้ ข้าจะถือว่าหายกันทั้งหมด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองเฉียวเวยด้วยหางตา เอ่ยเสียงกระซิบว่า “เขาวางยาพิษเจ้าเกือบตายเชียวนะ”
เฉียวเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้ แต่หากเขาสามารถรักษาหมิงซิวได้ ข้ายินดีให้อภัยเขา”
อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าเป็นคนสั่งให้ปล่อยตัวเขาออกมาเองนะ หากนายน้อยซักไซ้เรื่องนี้…”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าจะรับผิดชอบเอง”
…
ตกบ่าย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เอาตัวจีอู๋ซวงขึ้นมาจากสระเยือกแข็ง
จีอู๋ซวงที่แช่อยู่ในสระเยือกแข็งติดกันเป็นเวลาหลายวัน ได้รับความเจ็บปวดเข้าไปถึงกระดูก เนื้อตัวผ่ายผอมจนแทบจำไม่ได้ แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน ใต้ตาลึกโบ๋ ริมฝีปากม่วงคล้ำ
เขาแค่จะยืนยังลำบาก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถ่ายกำลังภายในให้เขาไปจำนวนมาก เขาถึงได้พอจะกลับมามีแรงบ้าง
ช่วงหลายวันที่อยู่ในสระเยือกแข็ง เขาไม่กล้าพูดว่าตนเองได้ไตร่ตรองจนสำนึกอะไรลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยเขาก็นึกกลัววิธีการของนายน้อยขึ้นมาแล้ว
เมื่อได้พบเฉียวเวย เขาดูสงบนิ่งอย่างประหลาด
“เรื่องผลสองภพ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเล่าให้ข้าฟังแล้ว ข้าเสียดายมากจริงๆ แต่ในเมื่อมันลงท้องบิดาเจ้าไปแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจบอกให้บิดาเจ้าอ้วกออกมาได้”
ผ่านมาสองวันแล้ว อ้วกออกมาก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว เฉียวเวยลอบพึมพำ
“ทว่าก็ใช่ว่าจะไร้สิ้นหนทางอื่น” จีอู๋ซวงเอ่ย
สายตาเฉียวเวยพลันเป็นประกาย “มีวิธีอะไร”
จีอู๋ซวงตอบว่า “พังพอนของเจ้า”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “เสี่ยวไป๋?”
จีอู๋ซวงจึงถามว่า “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามันไม่เหมือนพังพอนตัวอื่น”
รู้สึกสิ ตัวมันไม่โต โดนยาพิษก็ไม่ตาย ฉี่ออกมาเหมือนเม็ดสลอด
จีอู๋ซวงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “มันเป็นพังพอนวิเศษ ตัวของมันสามารถเอามาทำยาได้ทั้งหมด”
ม่านตาเฉียวเวยพลันหดตัว “เจ้าคงไม่ได้คิดจะฆ่าเสี่ยวไป๋หรอกกระมัง”
จีอู๋ซวงส่งเสียงเหอะเย็นๆ “ข้าก็คิดอยู่หรอก แต่เจ้ายอมหรือไม่เล่า”
เฉียวเวยส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด!