ตอนที่ 533 ให้ความรู้เรื่องผักเรือนกระจก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 533 ให้ความรู้เรื่องผักเรือนกระจก

สิบโมงตรง ได้เวลาฤกษ์มงคลแล้ว ญาติ ๆ และมิตรสหายต่างให้การต้อนรับกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

รถที่ใช้ในพิธีแต่งงานเป็นรถแทรกเตอร์ที่มีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ประดับอยู่ สำหรับชนบทแล้วมันเป็นอะไรที่เท่มาก

ถ้าหลี่หมิงเฉิงไม่ใช่คนที่มีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้านนี้ พี่เขยรองของเขาคงไม่ลงทุนถึงขนาดเช่ารถแทรกเตอร์เพื่อใช้ในการแต่งงานกับเจ้าสาว

หลังจากยื่นซองอั่งเปาให้คนคั่นประตู และเจ้าบ่าวเจ้าสาวยกน้ำชาแล้ว หลี่หมิงเฉิงก็อุ้มพี่สาวคนรองขึ้นไปนั่งบนหลังรถแทรกเตอร์ จบด้วยงานกินดื่มฉลองแต่งงาน

ขณะที่หลี่หมิงเฉิงยืนอยู่บนรถแทรกเตอร์ เขาขอให้หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานตามไปด้วยกัน

หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ

ธรรมเนียมของที่นี่ คือญาติผู้ใหญ่จะติดตามขบวนแห่เจ้าสาวไปดื่มสุรามงคลกันกับแขกของฝ่ายชาย ส่วนญาติ ๆ และมิตรสหายของฝ่ายหญิง จะกินดื่มฉลองกันที่บ้านของเจ้าสาว

หลินม่ายตั้งใจว่าจะอยู่ฉลองงานแต่งที่บ้านของพ่อแม่หลี่หมิงเฉิงของ จากนั้นค่อยขอตัวไปทำเรื่องผักเรือนกระจกต่อไป

สองชั่วโมงก่อนออกจากงานเลี้ยง ชาวบ้านที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายต่างพูดคุยกันในประเด็นสนทนาต่าง ๆ

ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนก็หันมาถามฟางจั๋วหรานว่าการผ่าตัดน่ากลัวหรือเปล่า หลังเข้ารับการผ่าตัดแล้วจะกินเนื้อสัตว์ไม่ได้อีกจริงไหม

จบเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็หันมาถามหลินม่ายว่าเธอเปิดกิจการอะไรในเมืองบ้าง

ชาวบ้านคนหนึ่งที่อายุสี่สิบถึงห้าสิบปี เปลี่ยนสีหน้าท่าทีทันใดเมื่อได้ยินหลินม่ายบอกว่าเธอเปิดตลาดสดและทำโรงงานตัดเสื้อ

เขาถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอพอจะรับลูกสาวคนเล็กของเขาเข้าไปทำงานในโรงงานของเธอได้ไหม ต่อให้ได้ค่าแรงน้อยก็ไม่เป็นไร

ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ ทุกคนต่างเงียบลงทันที ก่อนจะมองไปที่หลินม่ายด้วยความคาดหวัง

พวกเขาเองก็อยากส่งลูก ๆ ที่โตพอจะถึงวัยทำงานแล้วไปทำงานในโรงงานของหลินม่ายเหมือนกัน

ไม่ว่างานในโรงงานจะหนักหนาแค่ไหน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทำสวนทำไร่ แถมยังได้รับค่าจ้างทุกเดือน

ทว่าพวกเขากลับอับอายที่จะร้องขอแบบนั้น เพราะพวกเขาไม่เคยแสดงน้ำใจหรือมีบุญคุณต่อหลินม่ายมาก่อน

เมื่อได้ยินใครคนหนึ่งกล้าถาม พวกเขาจึงรอคอยคำตอบของหลินม่ายอย่างจดจ่อ

ถ้าหลินม่ายเห็นด้วย พวกเขาก็จะขอร้องเธอบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าเธอไม่เห็นด้วย อย่างนั้นก็ลืมมันไปเสีย

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “โรงงานฉันเป็นโรงงานขนาดเล็กค่ะ เรายังไม่ต้องการคนงานเพิ่ม”

ทุกคนไม่แสดงท่าทางผิดหวัง เนื่องจากคาดเดาไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าเธอต้องปฏิเสธ

พวกเขาพอเข้าใจอยู่บ้าง ไม่มีใครอยากให้คนรู้จักเข้ามาทำงานในโรงงานของตัวเองหรอก เพราะในอนาคตอาจควบคุมได้ยาก

หลินม่ายดื่มชาไปสองจิบ ก่อนจะพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ถึงโรงงานของฉันจะยังไม่ต้องการรับคนงานเพิ่มในตอนนี้ แต่ฉันพอมีทางเสริมสร้างรายได้ให้ทุกคนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพวกคุณจะเต็มใจทำหรือเปล่า”

ชาวบ้านต่างกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ทำสิ! ทำไมจะไม่ทำล่ะ!”

“แต่งานอาจหนักสักหน่อยนะคะ”

ชาวบ้านหัวเราะร่วน “พวกเราชาวชนบทไม่กลัวงานหนักอยู่แล้ว”

หลินม่ายจึงเล่าแผนการให้ชาวบ้านฟังว่าตัวเองอยากให้ชาวบ้านปลูกพริกขี้หนูในโรงเรือนกระจกสักสองสามเดือน โดยเริ่มจากเดือนนี้เป็นต้นไป

นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอนึกอยากทำซอสพริกเป็นแบรนด์ของตัวเอง เธอนึกถึงพริกบนภูเขาซึ่งปลูกโดยฝีมือของชาวบ้านเหล่านี้เป็นอันดับแรก

พริกบนภูเขาของพวกเขาแตกต่างจากพริกที่ปลูกในแหล่งอื่น ๆ เพราะมีกลิ่นหอม อีกทั้งความเผ็ดร้อนยังไม่ด้อยไปกว่าพริกอวิ๋นกุ้ยที่เหล่ามาม่าใช้ทำซอสพริกในชาติที่แล้ว

เธอวางแผนจะใช้พริกอวิ๋นกุ้ยในภายหลัง ตราบใดที่ใช้พริกบนภูเขาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตซอสพริกไปก่อน ก็สามารถรับประกันคุณภาพของซอสพริกได้

ชาวบ้านต่างหันมองหน้ากัน ผักเรือนกระจก? มันคืออะไรกัน ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย

ยุคสมัยนี้ ในเจียงเฉิงยังไม่มีใครเคยปลูกผักในเรือนกระจกมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่รู้หนังสือ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผักเรือนกระจกคืออะไร แม้แต่ฟางจั๋วหรานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลินม่ายก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

หลินม่ายใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดในการให้ความรู้เกี่ยวกับผักเรือนกระจก

เธออธิบายว่ามันคือการปลูกผักนอกฤดูกาล โดยสร้างโรงเรือนจากฟิล์มพลาสติกครอบแปลงผักเอาไว้

ผู้คนได้ยินแบบนั้นก็พอจะร้องอ๋ออยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ผุดคำถามขึ้นมาเต็มไปหมด

ชาวบ้านถามว่า “เราสามารถปลูกผักในโรงแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? แสงแดดส่องผ่านไม่ได้ อุณหภูมิยังไม่เพียงพออีก”

ชาวบ้านชำนาญการทำไร่ไถนาทุกวัน ทุกคนรู้ดีว่าการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตงามจะต้องบำรุงด้วยแสง อุณหภูมิ น้ำ และปุ๋ยไม่ได้ขาด

น้ำและปุ๋ยยังสามารถใส่ปุ๋ยเทียมหรือใช้วิธีทดน้ำได้ แค่ลงแรงทำงานให้หนักขึ้นก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว

แต่ถ้าเป็นแสงและอุณหภูมิ ปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำงานให้หนักขึ้น

หากปราศจากปัจจัยทั้งสองอย่างก็ไม่สามารถปลูกพืชผลได้ การปลูกพริกก็เช่นเดียวกัน

หลินม่ายพยักหน้า จากนั้นพูดด้วยความมั่นใจ “ได้สิคะ ฟิล์มพลาสติกที่ใช้คลุมเรือนกระจกมีลักษณะโปร่งแสง ตราบใดที่อากาศถ่ายเทดี แสงแดดก็สามารถส่องผ่านแผ่นฟิล์มลงมายังพืชผลในเรือนกระจกได้ ดังนั้นแสงจึงไม่ใช่ปัญหาเลย ส่วนเรื่องอุณหภูมิ เนื่องจากเราสร้างเรือนกระจกขึ้นโดยใช้แผ่นฟิล์มคลุมอย่างมิดชิด แผ่นฟิล์มจะเป็นฉนวนกักเก็บความร้อนอย่างดี อุณหภูมิภายในโรงเรือนจึงสูงกว่าอากาศด้านนอกสิบองศาเสมอแม้ในช่วงกลางดึก ซึ่งเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของผัก ดังนั้นทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องการปลูกพริกในเรือนกระจกเลยค่ะ ตราบใดที่ผลิตผลมีคุณภาพดี พวกคุณปลูกได้เท่าไหร่ ฉันยินดีจ่ายเท่านั้น ราคาชั่งละสามเหมา”

ทุกคนตื่นเต้นกันยกใหญ่ ชั่งละสามเหมา ถือเป็นราคาการรับซื้อที่สูงมาก

ถึงอย่างนั้นทุกคนกลับลังเล ไม่มีใครกล้ารับอาสาว่าตัวเองยินดีปลูกพริกขี้หนูในโรงเรือน

เนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อว่าแสงแดดสามารถส่องผ่านลงมายังพืชผลผ่านแผ่นฟิล์มได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่แผ่นฟิล์มเป็นฉนวนความร้อนที่แข็งแกร่ง ถึงขนาดสามารถเพิ่มอุณหภูมิจากสภาพอากาศปกติสองถึงสามองศา และในฤดูหนาวอย่างต่ำสิบองศา

ไม่มีใครกล้าปลูกพริกในโรงเรือน เพราะเกรงว่าตัวเองอาจสูญเงินเปล่า กลัวว่าตัวเองทุ่มเทแรงกายแรงใจแล้วอาจไม่ได้อะไรกลับมา

เมื่อเห็นแบบนั้น หลินม่ายก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขากลัวความเสี่ยง

เธอส่งยิ้มให้ทุกคนอีกครั้ง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะหาเช่าที่ดินเป็นเวลาสักสองสามเดือน จากนั้นพวกคุณก็ช่วยทำงานปลูกพริกขี้หนูในเรือนกระจกให้ฉัน ไม่สำคัญว่าพริกจะเจริญเติบโตได้ดีหรือเปล่า ไม่ว่ายังไงพวกคุณก็ได้รับค่าจ้างอยู่ดี”

พอทุกคนได้ยินแบบนั้น ท่าทางก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นกระตือรือร้นเหมือนในตอนแรก ถามว่าเธอจะคำนวณค่าจ้างอย่างไร

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เงินเดือนพื้นฐานต่อเดือนอยู่ที่สามสิบหยวน หลังจากการเก็บเกี่ยว พอตรวจสอบปริมาณผลผลิตและคุณภาพของพริกแล้วจะจ่ายโบนัสให้เพิ่ม พวกคุณว่าแบบนี้เป็นไงคะ?”

ไม่ต้องลงทุนเสี่ยงด้วยตัวเอง นอกจากจะได้เงินเดือนแล้ว ยังได้โบนัสอีกถ้าผลผลิตออกมาคุณภาพดี ใครจะปล่อยให้ผลประโยชน์ดี ๆ แบบนี้หลุดมือกัน?

ทุกคนส่งเสียงตอบรับ รีบขอสมัครทำงานทันที

หลินม่ายโบกมือ “ทุกคนอย่าเพิ่งรีบร้อนสมัครงานกับฉัน ฉันจะจ้างหัวหน้าหมู่บ้านให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ในภายหลัง ตอนบ่ายพวกคุณค่อยไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อสมัครงานแล้วกันค่ะ”

หลังจากนั้นบรรยากาศก็กลับมาสงบอีกครั้ง

หลินม่ายเดินทางไปพบหัวหน้าหมู่บ้านทันที ติดต่อว่าจ้างเขาให้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการ โดยจะจ่ายค่าจ้างให้เดือนละห้าสิบหยวน

หลังจากนั้นก็มอบหมายให้เขาหาเช่าที่ดิน แล้วว่าจ้างคนให้มาทำงานโดยพิจารณาจากสภาพที่ดินและแรงงานของแต่ละครัวเรือน

นอกจากนี้ เธอยังฝากเงินก้อนหนึ่งไว้ที่หัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วย

ให้เขานำเงินส่วนนี้ไปซื้อวัสดุอุปกรณ์สำหรับสร้างเรือนกระจกภายในช่วงบ่ายของวันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้เธอจะมาที่นี่แต่เช้าตรู่ เพื่ออธิบายวิธีการสร้างเรือนกระจกให้ชาวบ้าน

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม

พ่อหลี่และแม่หลี่ยึดถือฤกษ์งามยามดี จัดงานกินดื่มฉลองแต่งงานในเวลา 12.08 น.

ทันทีที่ฤกษ์มงคลมาถึง ก็จัดแจงเปิดโต๊ะอย่างตรงเวลา

ถึงหลี่หมิงเฉิงจะทำงานเป็นพนักงานขนส่งอยู่ที่ตลาดสดฝูตัวตัวผัก แต่เงินเดือนของเขาก็ไม่น้อยเลย

เขาส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านเป็นจำนวนมากทุกเดือน ชีวิตความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่จึงดีกว่าใครในหมู่บ้าน

แน่นอนว่าในงานฉลองแต่งงานครั้งนี้ ครอบครัวหลี่ตั้งโต๊ะจีนไว้หน้าบ้านประมาณสิบสองโต๊ะ พวกเขาไม่ได้เชิญแค่ญาติ ๆ และมิตรสหายของตัวเองมาร่วมงาน แต่ยังเชิญคนในหมู่บ้านมาด้วย น่าประทับใจมากทีเดียว

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานถูกจัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับพ่อหลี่และแม่หลี่

แต่ทั้งสองคนไม่ใช่คนประเภทไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาท่าเดียว

ท้ายที่สุดที่นั่งดังกล่าวก็ตกเป็นของหัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสในตระกูลหลี่

สภาพทางการเงินของครอบครัวหลี่อยู่ในเกณฑ์ดี อาหารในงานฉลองแต่งงานจึงเต็มไปด้วยไก่ เป็ด และปลามากมายหลายอย่าง แขกเหรื่อทุกคนต่างกินกันจนอิ่มหนำสำราญ

ทันใดนั้น เสียงร้อง “โอ๊ย” ของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองตามเสียงโดยสัญชาตญาณ เห็นว่าหลินเพ่ยที่เดินผ่านมาทางนี้บังเอิญเดินไปสะดุดกับกะละมังล้างรากบัวที่ตระกูลหลี่วางไว้นอกตัวบ้าน

รากบัวหกกระจายไปทั่วพื้น แม่หลี่โกรธมากจนเหมือนร่างชาไปซีกหนึ่ง

แต่เพราะอยู่ในงานฉลองแต่งงานที่ควรเต็มไปด้วยความสุข ในงานมงคลจะด่าทอคนอื่นไม่ได้

แม่หลี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บรากบัวขึ้นมาด้วยใบหน้ามืดมน จากนั้นก็เดินไปกะละมังเพื่อเปิดน้ำล้างมันอีกครั้ง

เหตุการณ์ผ่านไปหลายอย่าง แต่หลินเพ่ยที่ล้มแล้วยังไม่ยอมลุกขึ้น เปิดเปลือยเนินอกให้เผยอออกมาจากเสื้อผ้าครึ่งหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายวาววับ มองไปที่ฟางจั๋วหรานซึ่งอยู่ห่างจากหล่อนแค่สามเมตรราวกับจะยั่วยวน

ท่าทางของหล่อนดูจงใจเกินไป เหมือนกับสุนัขที่รอการผสมพันธุ์อย่างไรอย่างนั้น ทำให้หลายคนที่เห็นรู้สึกขยะแขยง

ฟางจั๋วหรานจดจ่ออยู่กับการตักซุปไก่ให้หลินม่าย ไม่ยอมละสายตาจากเธอเลยสักนาทีเดียว

ในใจของหลินเพ่ยทั้งรู้สึกผิดหวัง ทั้งโมโห และเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอย่างสุดพรรณนา

เมื่อกี้นี้หล่อนอุตส่าห์วิ่งกลับไปที่บ้านผู้เป็นแม่ เปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด แล้วแกล้งวิ่งไปสะดุดล้มต่อหน้าฟางจั๋วหราน หวังว่าจะดึงดูดความสนใจจากเขาได้

หล่อนหลงใหลและมั่นใจในเรือนร่างของตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าผู้ชายคนไหนหันมามอง หล่อนก็พร้อมจะทำให้เขากลายเป็นหมารับใช้ใต้กระโปรงตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ปัญหาก็คือฟางจั๋วหรานไม่ชายตามาแยแสหล่อนแม้แต่น้อย

หลินเพ่ยกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธ นังตัวแสบนั่นไม่ได้พิการแขนด้วนซะหน่อย ทำไมถึงต้องตักซุปไก่บริการหล่อนขนาดนั้น!

คุณป้าคนหนึ่งในตระกูลหลี่ไม่คุ้นชินกับอากัปกิริยายั่วยวนทางเพศของหลินเพ่ย จึงหันไปพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาล่ะ ม่านการแสดงปิดฉากแล้วย่ะ รีบไสหัวไปซะ อย่ามัวทำตัวไร้ยางอายอยู่ที่นี่”

หลิยเพ่ยอับอายขายหน้ายิ่งกว่าอะไร หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นแล้วเดินจากไป โดยที่บรรดาแขกด้านหลังต่างหัวเราะเยาะและดูถูกเหยียดหยาม

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

งานดีอยู่นะ จ้างปลูกพริกได้เดือนละสามสิบหยวนแบบไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ ใครจะไม่เอาล่ะ

ลูกไม้ตื้นๆ ของเธอมันใช้กับพี่หมอไม่ได้หรอกยัยเพ่ย ไม่เจียมตัวเลย ทำตัวเองขายหน้าเปล่าๆ

ไหหม่า(海馬)