ตอนที่ 534 ไม่จ่ายมาห้าพันก็ไม่ต้องไป
หลังเสร็จงานฉลองแต่งงานที่บ้านของหลี่หมิงเฉิง หลินม่ายขอให้ฟางจั๋วหรานช่วยขับรถไปส่งเธอที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านสกุลหวัง เพื่อพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับการว่าจ้างให้คนในหมู่บ้านสกุลหวังทำการปลูกพริกในเรือนกระจก
ความจริงเรื่องที่หลินม่ายบอกให้ชาวบ้านในหมู่บ้านของหลี่หมิงเฉิงปลูกพริก ได้แพร่กระจายไปยังหมู่บ้านสกุลหวังก่อนแล้ว
ถึงหลินม่ายจะไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านสกุลหวังอีกต่อไป แต่เธอก็มาจากหมู่บ้านสกุลหวัง แน่นอนว่าเธอยังมีใจรักในถิ่นฐานบ้านเกิด
เพียงแต่ที่ผ่านมาเธอค่อนข้างจะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านอื่นมากกว่าหมู่บ้านสกุลหวัง ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านสกุลหวังรู้สึกเศร้าใจมากที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์แบบนั้น
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดตำหนิหลินม่าย เพราะรู้ดีว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าของหลินม่ายนั้นนิสัยเสียเพียงใด ไม่แปลกที่หลินม่ายจะหลีกเลี่ยงพวกเขา เมื่อเธอไม่กลับมาเหยียบบ้านตัวเอง เธอก็ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสทางอาชีพให้หมู่บ้านสกุลหวังเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายริเริ่มเข้ามาติดต่อกับหมู่บ้านสกุลหวังบ้างแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านถึงได้ตื่นเต้นมาก เขาให้สัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนเองยินดีทำในสิ่งที่เธอบอกทุกอย่าง
หลังจากพูดคุยกัน หลินม่ายและฟางจั๋วหรานกำลังจะออกไป หัวหน้าหมู่บ้านเดินตามมาส่งพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่แล้วกลับเห็นว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขามายืนอยู่นอกประตูบ้าน
เป็นไปไม่ได้ที่หลินม่ายกลับมาเยือนชนบททั้งที แล้วพวกเขาจะไม่ขอเงินจากเธอเลยสักแดง เขาจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
พวกเขาได้ยินมาว่าพี่สาวคนรองของหลี่หมิงเฉิงแต่งงานรอบนี้ หลินม่ายมอบอั่งเปาให้ถึงหนึ่งร้อยหยวนเลยทีเดียว ในฐานะที่เป็นลูก เธอควรให้เงินผู้เป็นพ่อและแม่หนึ่งพันหยวนก่อนกลับถึงจะถูก
นั่นเป็นสาเหตุที่ทั้งคู่มายืนขวางประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไว้
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านหวังเห็นพวกเขาก็หยุดชะงักฝีเท้า แล้วถามด้วยความโกรธ “พวกคุณมายืนทำอะไรกันที่นี่?”
หลินเจี้ยนกั๋วชี้ไปที่หลินม่าย “เราอยากพูดอะไรกับม่ายจื่อสักสองสามคำ”
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินม่ายและพ่อแม่ของเธอจะไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หัวหน้าหมู่บ้านสกุลหวังจึงไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาของเขา
แต่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานไม่ชายตาเหลียวมองคนทั้งคู่ด้วยซ้ำ พวกเขาเดินจ้ำอ้าวตรงไปที่รถจี๊ป
ซุนกุ้ยเซียงกับสามีรีบเข้าไปขวางพวกเขาโดยพลัน
หลินเจี้ยนกั๋วแสร้งทำเป็นพูดอย่างใจดี “ม่ายจื่อ เธอจะไปแล้วเหรอ? แม่ของเธอทำซุปไก่ไว้ที่บ้าน กำลังรอให้เธอและแฟนของเธอกลับไปกินข้าวอยู่นะ!”
ซุนกุ้ยเซียงพูดเสริมทันที “ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพาแฟนกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เธอไม่คิดจะพาเขากลับไปเยี่ยมพวกเราที่บ้านหน่อยหรือไง หรือเพราะกลัวว่าเขาจะรังเกียจครอบครัวยากจนของพ่อแม่เธอ? ทำเมินกันแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกไม่พอใจอย่างมากเมื่อรับรู้ว่าซุนกุ้ยเซียงซ่อนมีดไว้ในคำพูดคำจาเหล่านั้น
เขาตอบกลับอย่างเย็นชา “เป็นผมเองที่ไม่อยากไปเหยียบบ้านของคุณ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครทั้งนั้นที่ปฏิบัติต่อม่ายจื่อไม่ดี ดังนั้นอย่าเอาแต่เทสิ่งปฏิกูลราดหัวม่ายจื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมเลย ต่อให้พวกคุณเสแสร้งยังไง ผมก็ไม่หลงกลหรอก”
ซุนกุ้ยเซียงไม่สามารถปั้นสีหน้ายิ้มแย้มได้อีกต่อไป แต่หล่อนไม่กล้ากระทำตัวหยาบคายกับฟางจั๋วหรานที่เป็นถึงศาสตราจารย์!
หล่อนพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง แค่อยากเลี้ยงพวกเธอด้วยซุปไก่”
หลินม่ายเยาะเย้ย “ทำซุปไก่ไว้รอเลี้ยงพวกเรางั้นเหรอ? ฉันเกรงว่าพวกคุณคงเตรียมงานเลี้ยงหงเหมิน(1)รอฉันอยู่ล่ะสิไม่ว่า!”
ท้ายที่สุด เธอก็ดึงแขนฟางจั๋วหรานให้เดินอ้อมหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาไป ตั้งใจจะไปให้พ้นจากที่นี่
ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่ชาวบ้านกลับเข้ามามุงดูกันเป็นจำนวนมาก
หลินเพ่ยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มฝูงชน เมื่อเห็นว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาไม่สามารถหยุดหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเอาไว้ได้ หล่อนจึงสาปแช่งคนไร้ประโยชน์ทั้งสองอยู่ในใจ ก่อนจะก้าวออกไปจากกลุ่มฝูงชน
หล่อนขมวดคิ้วพลางพูดกับหลินม่าย “ม่ายจื่อ เธอเข้าใจเจตนาดีของพ่อแม่ตัวเองกลายเป็นเครื่องในลา(2)ไปได้ยังไงกัน?”
จากนั้นก็ชำเลืองมองไปที่ฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่ข้างหลินม่ายแล้วพูดต่อ “จิตใจเธอคับแคบขนาดนี้ อีกหน่อยจะเข้ากับครอบครัวของว่าที่สามีได้ยังไง?”
ผู้ยั่วยุอีกคนมาเสนอหน้าอีกจนได้
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง หันมองไปที่หลินเพ่ยอย่างรวดเร็ว
หัวใจของหลินเพ่ยเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
แฟนของนังหลินม่ายมองเห็นหล่อนแล้ว ในที่สุดเขาก็เห็นหล่อน! เขาต้องถูกเสน่ห์ของหล่อนดึงดูดเข้าแน่ ๆ!
ฟางจั๋วหรานตอกหน้ากลับด้วยความเย็นชา “คุณคงเป็นคนที่เคยคบชู้กับอู่เสี่ยวเจี๋ยนสินะ หลินเพ่ย พี่สาวของม่ายจื่อ หรือว่าชื่อหลินโกวไก้กันล่ะ?”
สีหน้าชื่นบานของหลินเพ่ยแข็งกระด้างไปทันที ก่อนที่สีหน้าประหลาดใจจะปรากฏขึ้นทดแทน เป็นไปได้อย่างไรกัน
หล่อนไม่คาดคิดมาก่อนว่าคำพูดแรกของฟางจั๋วหรานที่พูดกับตัวเองจะโหดร้ายขนาดนี้ จะให้หล่อนทำใจยอมรับได้อย่างไร?
ต้องเป็นนังตัวแสบนั่นแน่ ๆ ที่เล่าเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับหล่อนให้เขาฟัง ทำให้ศาสตราจารย์ฟางรังเกียจหล่อนอย่างออกนอกหน้า ชั่วช้าสิ้นดี!
ที่น่าโมโหยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คือการที่เขารู้ชื่อเก่าของหลินเพ่ย ชื่อแสนอัปลักษณ์ที่พ่อแม่ตั้งให้ ซึ่งหล่อนไม่เคยชอบมันเลย
พอหล่อนเลื่อนชั้นมาอยู่มัธยมต้น จึงจงใจเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นหลินเพ่ย
เหตุผลที่เลือกคำที่ไม่ธรรมดาอย่าง ‘เพ่ย’ ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าหล่อนมีรสนิยมที่ดี ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคำดังกล่าวจะย้อนกลับเข้าตัว แสดงให้เห็นว่าหล่อนไม่มีการศึกษา
(蓜 เพ่ย แปลว่าฝาหม้อ(โกวไก้) ที่ทำจากหญ้า)
ใครก็ตามที่มีการศึกษาและรู้ความหมายที่แท้จริงของคำคำนี้ จะไม่เลือกคำดังกล่าวมาตั้งชื่อเด็ดขาด
เมื่อถูกชายที่ตัวเองหมายปองเย้ยหยัน ไม่ว่าหลินเพ่ยจะไร้ยางอายแค่ไหน แต่ใบหน้าหล่อนก็ยังร้อนฉ่า
เมื่อเห็นว่าหลินเพ่ยไม่ยอมโต้ตอบ ชาวบ้านที่มาเฝ้าดูความตื่นเต้นก็โพล่งขึ้นด้วยความดูถูก “ไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใคร?”
ฟางจั๋วหรานเหยียดรอยยิ้มแฝงนัยบางอย่างบนใบหน้า “ถึงม่ายจื่อของผมจะมีจิตใจคับแคบแค่ไหน แต่หล่อนก็เป็นคนของตระกูลฟางแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานะของม่ายจื่อในตระกูลฟางหรอก ผมว่าคุณเอาเวลาไปห่วงตัวเองดีกว่า เมื่อกี้นี้พวกเราคุยกับชาวบ้าน หลายคนบอกว่าชีวิตหลังแต่งงานของคุณไม่มีความสุขเลยไม่ใช่หรือไง”
หลินเพ่ยทั้งรู้สึกขายหน้าและหงุดหงิดรำคาญในเวลาเดียวกัน
ที่น่ารำคาญคือฟางจั๋วหรานเอาแต่ปกป้องหลินม่าย ที่น่าขายหน้าคือเขาหยิบยกเอาสถานะของหล่อนในบ้านสามีมาแพร่งพรายในที่สาธารณะ
ฟางจั๋วหรานเปิดประตูที่นั่งผู้โดยสาร เพื่อให้หลินม่ายก้าวขึ้นไปนั่งในรถ
ซุนกุ้ยเซียงพุ่งเข้ามาราวกับลูกธนูถูกปล่อยจากสาย เอาตัวกระแทกประตูรถอย่างแรง ขัดขวางไม่ให้หลินม่ายขึ้นรถ
จากนั้นก็ข่มขู่เธออย่างหน้าด้าน ๆ “จะไปให้ได้เลยใช่ไหม? ได้! แกจ่ายเงินให้ฉันกับพ่อของแกมาก่อนห้าพันหยวน พี่ชายแกจะได้เอาเงินนี้ไปสร้างบ้าน จากนั้นแกจะไปไหนก็ไป! บ้านของพวกเราแทบจะพังแหล่มิพังแหล่ แกคงไม่ตาบอดจนมองไม่เห็นมันหรอกนะ”
ยิ่งนังลูกเนรคุณของหล่อนดื้อดึงแค่ไหน หล่อนก็ยิ่งต้องการเอาชนะอีกฝ่ายมากเท่านั้น
บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดนั้น ต่างพากันด่าทอว่าหล่อนโลภมาก เห็นหลินม่ายเป็นต้นไม้เขย่าเงิน(3)หรืออย่างไรกัน
ซุนกุ้ยเซียงยังยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา ลอยหน้าลอยตาเหมือนเป็นหมูตายไม่กลัวน้ำเดือด
หลินม่ายแก้ไขคำพูดของหล่อน “ฉันไม่ได้ตาบอด แต่มันไม่มีค่าคู่ควรพอกับสายตาฉัน ไม่ต้องพูดถึงว่าบ้านของพวกคุณกำลังจะพังมิพังแหล่ ต่อให้มันจะพังราบลงไปแล้ว ฉันก็ไม่มีวันควักเงินสักเฟินออกมาสร้างบ้านให้คุณ”
“กล้าดียังไง!” หลินเจี้ยนกั๋วตะคอกใส่อย่างดุเดือด ลบล้างไมตรีที่ก่อนหน้านี้พยายามเสแสร้งแสดงออกไปจนหมด “ฉันกับแม่แกเลี้ยงดูแกมาจนเติบใหญ่ ฉันมีสิทธิ์ขอเงินจากแกหลายพันหยวนเพื่อเอามาสร้างบ้าน แกกล้าดียังไงถึงไม่ยอมจ่ายให้ฉัน!”
“ฉันกล้าดีมาก ๆ เลยล่ะ ถ้าไม่เชื่อ งั้นก็ไปฟ้องเอาจากศาลก็แล้วกัน”
หลินม่ายมองเหยียดพวกเขา จากนั้นก็หันไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน “ลุงหวังเต๋อ เห็นหรือเปล่าคะว่าพวกเราออกไปไม่ได้”
หวังเต๋อเข้าใจทันที ยกแขนขึ้นสูง พร้อมกับตะโกนเรียกชายหนุ่มกลุ่มใหญ่
จากนั้นก็สั่งให้พวกเขามาลากหลินเจี้ยนกั๋ว ซุนกุ้ยเซียง และหลินเพ่ยออกไปให้พ้นทาง หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจึงสามารถขับรถจี๊ปออกไปได้
ทั้งสองกลับมาถึงเมืองซื่อเหม่ยตอนบ่ายสี่โมงพอดี
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกำลังทำความสะอาดบ้าน โดยมีเพื่อนบ้านในละแวกนั้นมาช่วยคนละไม้คนละมือ ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา
ทันทีที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาในบ้าน พวกเขาเป็นฝ่ายทักทายชาวบ้านก่อน
ชาวบ้านตอบรับอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน
ชาวบ้านคนหนึ่งถามหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ม่ายจื่อ ฉันได้ยินคุณปู่คุณย่าเล่าให้ฟังว่าเธอกลับมาที่ชนบทคราวนี้เพราะวางแผนจะจ้างคนไปปลูกผักในเรือนกระจก ผักเรือนกระจกคืออะไรเหรอ?”
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง สองสามีภรรยาชราเล่าว่าหลินม่ายกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดในครั้งนี้ เพราะเธอต้องการให้ชาวบ้านปลูกผักในโรงเรือน ซึ่งเป็นอาชีพสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ชาวบ้านจึงมีคำถามมากมาย
หลินม่ายยิ้มพร้อมพูดว่า “รบกวนพวกคุณไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสิบคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาที่นี่หน่อยได้ไหมคะ? ฉันวางแผนว่าจะจัดประชุมเรื่องการปลูกผักเรือนกระจกที่หมู่บ้านซื่อเหม่ยเวลาหกโมงเย็น จะได้อธิบายให้เข้าใจทั่วกันว่าผักเรือนกระจกคืออะไร แล้วมีใครอยากปลูกผักเรือนกระจกบ้าง ตราบใดที่คุณภาพของผลผลิตไม่แย่ ฉันยินดีรับซื้อไว้ทั้งหมด”
เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นและขอตัวจากไป เพื่อไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านของตนเอง รวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านจากอีกเก้าหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาร่วมประชุม
ในสวนหลังบ้านมีผักใบเขียว ไก่ และปลาเป็น ๆ ในครัวก็มีผักใบเขียวและกะหล่ำปลีดองที่ชาวบ้านเอามาฝาก
หลินม่ายเอาวัตถุดิบที่มีอยู่มาทำต้มปลาผักกาดดอง ไก่ยั่วน้ำลาย… และของกินเล่นนิดหน่อย
สำหรับอาหารมื้อเย็น คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วต่างก็เจริญอาหารมาก กินข้าวมากกว่าปกติหนึ่งชาม
หลังมื้ออาหารและล้างจานเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ไปยังที่ทำการของหมู่บ้านซื่อเหม่ยในเมืองซื่อเหม่ย เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องผักเรือนกระจกให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง
ฟางจั๋วหรานก็ไปกับเธอด้วย
สภาพอากาศในชนบทเดือนตุลาคม มีอุณหภูมิต่ำกว่าตัวเมืองเจียงเฉิงหลายองศา เมื่อสายลมเย็น ๆ พัดโชยมากระทบตัว ไม่สามารถบรรยายได้ว่ามันเย็นสบายแค่ไหน
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเดินจับมือกันไปตามถนนที่ปูด้วยแผ่นหินชนวน
เพื่อนบ้านในละแวกนั้นกำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จึงทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทั้งสองมาถึงที่ทำการของหมู่บ้านซื่อเหม่ย พบว่าไม่ได้มีแค่หัวหน้าหมู่บ้านหลายสิบคนนั่งคอยอยู่ที่นั่น แต่ยังมีชาวบ้านจากพื้นที่ใกล้เคียงมายืนรออยู่ทั้งในและนอกที่ทำการด้วย
หลินม่ายต้องการเชิญหัวหน้าหมู่บ้านใกล้เคียงมาแค่สิบคนก็จริง แต่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านคนอื่น ๆ ทราบข่าว พวกเขาก็สนใจเข้าร่วมประชุมด้วย ทำให้ภายในที่ทำการมีหัวหน้าหมู่บ้านมากกว่าสิบท่าน
ขณะที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานกำลังจะเข้าไปในที่ทำการ พวกเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยร้องเรียก “คุณอา คุณอาฟาง”
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานหันมองไปตามเสียง เห็นว่าฟู่เฉียงส่งยิ้มทักทายพวกเขา
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “เธอก็มาที่นี่เพื่อฟังบรรยายเกี่ยวกับการปลูกผักเรือนกระจกด้วยเหรอ?”
ฟู่เฉียงพยักหน้า
หลินม่ายถาม “พ่อแม่เธออาการดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
ฟู่เฉียงพยักหน้าอีกครั้ง “ตอนนี้ออกไปทำงานที่ทุ่งนาได้แล้วครับ”
ฟางจั๋วหรานไม่ลืมเตือน “อย่าลืมบอกให้พ่อแม่พักผ่อนให้มาก พวกเขายังอยู่ในระยะฟื้นตัว”
ฟู่เฉียงตอบรับ “ผมรู้ครับ”
หลังจากสนทนากันสักพัก หลินม่ายก็เดินเข้าไปในสำนักงาน ก่อนจะเผยแพร่ความรู้เรื่องการปลูกผักในเรือนกระจกให้ทุกคนที่มาร่วมประชุม
ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหรือชาวบ้านทั่วไป ต่างก็มีความคิดเหมือนกับชาวบ้านบนภูเขา พวกเขาไม่เชื่อว่าโรงเรือนที่ปกคลุมด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกจะช่วยให้สามารถปลูกผักนอกฤดูได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครตอบสนองนอกจากฟู่เฉียง
หลินม่ายจึงใช้วิธีการเดียวกันกับตอนที่ขึ้นไปคุยกับชาวบ้านบนเขา
เธอบอกว่าจะจ่ายค่าเช่าที่ดินให้ แล้วว่าจ้างชาวบ้านมาปลูกผักในโรงเรือนให้เธอ
อีกทั้งหลินม่ายยังว่าจ้างหัวหน้าหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งสิบคนให้เป็นผู้จัดการ เพื่อที่จะได้กระจายอำนาจ ให้พวกเขาจัดการเช่าที่ดินและว่าจ้างชาวบ้านกันเอง
บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการว่าจ้างต่างก็มาห้อมล้อมหลินม่าย เพราะอยากให้หลินม่ายว่าจ้างพวกเขาด้วยเช่นกัน เพื่อที่ชาวบ้านในหมู่บ้านของตัวเองจะได้มีรายได้จากการปลูกผักเรือนกระจกให้หลินม่าย
หลินม่ายยิ้มพลางขอโทษ “เกรงว่าคงไม่ได้ค่ะ ฉันมีตลาดสดแค่ที่เดียว ไม่สามารถรับซื้อผักในปริมาณที่มากไปกว่านี้ได้ หวังว่าในอนาคตเราคงได้ร่วมงานกัน”
ถึงใจจริงเธออยากช่วยเหลือทุกหมู่บ้านให้มีรายได้ทัดเทียมกัน แต่เธอก็รู้ตัวเองดี เธอสามารถทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้ว
เธอไม่มีทางทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงแบกรับภาระหนักเกินไป
หลังจากมอบหมายงานให้หัวหน้าหมู่บ้านที่ถูกว่าจ้างทั้งสิบคน พร้อมกับจ่ายค่าวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างเรือนกระจกเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ล่วงมาถึงสามทุ่มพอดี
วันนี้หลินม่ายเหนื่อยสายตัวแทบขาด เธออยากกลับไปอาบน้ำแล้วนอนหลับฝันดีโดยเร็ว
แต่ในขณะที่เธอและฟางจั๋วหรานเดินออกมาจากที่ทำการหมู่บ้านได้ไม่นาน ก็มีใครคนหนึ่งมายืนขวางเธอไว้
หลินม่ายเพ่งตามองท่ามกลางแสงจันทร์สลัวจนเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร ทันใดนั้นใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
………………………………………………………………………………………………………………………….
งานเลี้ยงหงเหมิน เปรียบการที่อีกฝ่ายจัดฉากลวงให้ใครบางคนไปตาย เรียกตัวให้ไปรับความผิด หรือการวางแผนเพื่อลอบสังหารโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางสู้
เจตนาดีกลายเป็นเครื่องในลา มีความหมายประมาณว่า เรามีเจตนาที่ดีช่วยเหลือผู้อื่น แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจผิดว่านี่คือเจตนาที่ไม่ดี (ซึ่งในเรื่องก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละ)
ต้นไม้เขย่าเงิน เปรียบเทียบคนหรือสิ่งของที่เป็นบ่อเงินบ่อทอง ,ตัวทำเงิน
สารจากผู้แปล
อย่าได้โต้วาทีกับพี่หมอเชียว ได้แรพทีเจ็บไปถึงตับไตไส้พุงทุกประโยค
ไหหม่า(海馬)