บทที่ 486 พวกรัฐมนตรีไม่ต่างไปจากหัวไชเท้ากับผักกาดขาวหรอก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 486 พวกรัฐมนตรีไม่ต่างไปจากหัวไชเท้ากับผักกาดขาวหรอก

บทที่ 486 พวกรัฐมนตรีไม่ต่างไปจากหัวไชเท้ากับผักกาดขาวหรอก

ประโยคนี้เฟลิกซ์ที่เป็นล่ามของออกัสแปลให้

ฉืออวี้เลี่ยงมองเสี่ยวเถียนแล้วคลี่ยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและซาบซึ้งอย่างไม่คิดปิดบัง! เข้าใจแล้วว่าออกัสหมายถึงอะไร และรู้ด้วยว่าการเจรจาในครั้งนี้ต้องยกผลงานให้เสี่ยวเถียน

“ขอบคุณคุณออกัสที่ให้การยืนยัน เสี่ยวเถียนเป็นเด็กเก่ง ผมไม่ปิดบังคุณหรอกนะ แต่แค่เห็นเธอ ผมก็รู้เลยว่า นี่แหละความสามารถของเด็กรุ่นใหม่ในประเทศจีน!”

ออกัสไม่เข้าใจคำพูดสุภาพพวกนั้นสักนิด ทำไมพูดแต่น้ำไม่มีเนื้อเลยล่ะ? คนแบบนี้เราควรจะดูแลและปฏิบัติให้ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ?

เสี่ยวเถียนกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ

“คุณซู ไว้คิดดีเมื่อไรค่อยมาหาฉันแล้วกันนะ ฉันยินดีต้อนรับการมาของคุณเสมอ!”

จนถึงตอนนี้ออกัสยังไม่ล้มเลิกแผนการขุดตีนกำแพง

แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพ!

เย็นวันนั้นพวกเขายังกินข้าวที่หออีหมิงเช่นเคย ตอนนั้นฉืออวี้เลี่ยงได้ทำการตัดสินใจแล้วว่า เราจะเปลี่ยนจากร้านอาหารรัฐมาใช้ร้านแห่งนี้ไว้รับรองแขกของโรงงานผ้าไหมของพวกเรา

ถึงหออีหมิงจะไม่ใช่ร้านอาหารรัฐ แต่คุณภาพดีกว่าทุกด้านอย่างแน่นอน

ส่วนเสี่ยวเถียนไม่ได้รู้เลยว่า ผู้อำนวยการฉือได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว เธอยังเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงออกัสและคนอื่น ๆ ส่วนคุณย่าซูไม่ได้มีความกังวลที่จะต้องทำอาหารต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติแบบวันก่อนอีกต่อไป

เธอบอกว่าชาวต่างชาติก็ไม่ต่างจากคนจีน เพียงแค่พูดกันคนละภาษาเท่านั้น ก็มีหนึ่งจมูกสองตาไม่ใช่หรือไง? แค่จมูกโด่งกว่าปกติ แล้วก็ไม่ได้มีลูกตาสีดำเท่านั้นเอง

เสี่ยวเถียนได้ยินก็ตกใจ คุณย่าซูแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่หงซินเสียอีก! แค่วันเดียวแกก็เปลี่ยนไปมาก

ทั้งยังจดรายการอาหารบางอย่างให้เสี่ยวเถียนเลือกด้วย เมื่อเทียบกับสไตล์อาหารในวังนั้น เธอเลือกอาหารที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

อาหารในวันนี้เป็นอาหารพื้นบ้านทั่ว ๆ ไป

คุณย่าซูสงสัยว่า ชาวต่างชาติพวกนี้จะชอบหรือเปล่า แต่ก็ยังเสิร์ฟตามที่เสี่ยวเถียนบอกไว้

แต่ที่ทำให้เด็กสาวไม่คาดคิดคือ อาหารในวันนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบกว่าอาหารของเมื่อวานเสียอีก

โดยเฉพาะกงเป่าจีติง*[1] และเนื้อสันในผัดเปรี้ยวหวาน

อาหารสองจานนี้เป็นที่ชื่นชอบของแขกชาวต่างชาติ เกินความคาดหมายที่เธอคิดไปเยอะเลย

“ที่รัก อาหารจานนี้ของร้านเธออร่อยจริง ๆ นะ อร่อยเหมือนเธอเลย…” คริสติน่าเอ่ยขึ้นขณะกิน

แต่เสี่ยวเถียนที่ได้ยินกลับตกใจกลัว อีกฝ่ายหมายความว่ายังไง อาหารอร่อยเหมือนเธอ?

“ที่รัก ที่รัก…”

เสี่ยวเถียนไม่คิดฟังต่อ เธอทนฟังไม่ไหวหรอกนะ อย่าพูดอีกเลยนะ!

ตัดบทไปเลยดีกว่า!

คริสติน่าไม่รู้ว่าโดนเมินไปเสียแล้ว เธอเอาแต่จดจ่อเรื่องกินและพูดไม่หยุด ในท้ายที่สุด คุณย่าซูทำเกี๊ยวมาเสิร์ฟให้โต๊ะนี้โดยเฉพาะ

บนโต๊ะมีเกี๊ยวอยู่สองจาน จานหนึ่งไส้เนื้อหมูกับต้นหอม และอีกจานไส้เนื้อวัว

เมื่อเห็นเกี๊ยวก้อนอ้วนขาวนวล คริสติน่าก็สงสัยและทำการสำรวจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถาม “ที่รัก มันคืออะไรน่ะ?”

เธอไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนน่ะ

“คุณคริสติน่าคะ นี่คือเกี๊ยวค่ะ! อร่อยมากและมีหลายรสชาติเลยค่ะ วันนี้ฉันเตรียมไว้ให้สองแบบสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน หวังว่าจะชอบกันนะคะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มอยางอ่อนโยน

“อาหารของเธออร่อยจริง ๆ นะ!” คริสติน่าชม

ดีใช่ไหม?

เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

เสี่ยวเถียนชวนให้ทุกคนได้ลองชิมกันอย่างอบอุ่น ก่อนแนะนำความแตกต่างของอาหารทั้งสองแบบให้ฟัง

ทำไมต้องทำมาสองรสชาติ?

เพราะเสี่ยวเถียนชอบไง

เธอชอบกินเกี๊ยวไส้ไข่และกุยช่าย เกี๊ยวไส้เนื้อหมูและต้นหอม เกี๊ยวไส้เนื้อวัว

แต่รสชาติเกี๊ยวไส้ไข่และกุยช่ายค่อนข้างแรง จึงกลัวว่าแขกต่างชาติจะกินไม่ได้เลยเลือกอีกสองอย่างมาแทน

คริสติน่าใช้ส้อมจิ้มเกี๊ยวและกำลังจะเอาเข้าปาก แต่เสี่ยวเถียนรีบเตือนทันทีว่ามันจิ้มกินกับน้ำจิ้มได้ จากนั้นก็เริ่มสาธิตวิธีการกินให้ดู

แน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อหญิงสาวคนนี้เท่านั้น แต่ยังทำให้ชาวต่างชาติคนอื่น ๆ ดูด้วย

แน่นอนว่ากับเรื่องกินพวกเขาพร้อมจะเรียนรู้ ถึงจะไม่รู้วิธีใช้ตะเกียบ แต่เราใช้ส้อมกินได้ ทว่าเหมือนออกัสจะไม่ชอบรสชาติของกระเทียมสับ

เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยุดจิ้มน้ำจิ้มตั้งแต่ชิ้นที่สอง

กลับกันเป็นคริสติน่าที่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เธอทำได้ดีมาก ใบหน้าสวยอิ่มเอมใจมากเวลาจิ้มกับน้ำจิ้มกระเทียมสับ แน่นอนว่าระหว่างกินเธอก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากชมอีกด้วย ถึงกับพูดว่าเวลาที่อยู่ประเทศจีนก็ต้องมากินข้าวที่หออีหมิงเท่านั้น

เพราะแบบนี้เสี่ยวเถียนเลยมีความสุขมาก

แต่ในยุคนี้เรื่องการประชาสัมพันธ์ยังน้อยเกินไป บ่อยครั้งที่ต้องพึ่งพาการบอกปากต่อปาก

ค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรพิเศษ

วันต่อมา ณ หอประชุมของโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่

ฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยาสั่งให้คนตกแต่งหอประชุมเป็นพิเศษ ทำให้ดูเป็นทางการ และมีความรื่นเริงเล็กน้อย

พิธีลงนามเลยนะ มันก็ต้องเฉลิมฉลองกันหน่อยสิ

แต่ทำไมต้องจริงจังงั้นหรือ?

เพราะเหล่าผู้นำให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงจัดให้กับพวกท่านที่มาร่วมงานนี้เป็นพิเศษ ทั้งหมดก็เพื่อให้พวกท่านได้พอใจ จะไม่จริงจังได้ยังไง?

ทางโรงงานผ้าไหมเองก็ประหลาดใจที่ได้ยินข่าวว่าจะมีผู้นำมาเข้าร่วมด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เลยนะ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง?

เพราะไม่คิดว่าคนระดับรัฐมนตรีจะมาร่วมพิธีลงนามน่ะสิ

โรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ของเราเป็นโรงงานที่มีชื่อเสียงของรัฐในเมืองหลวง

แต่ก็ไม่ใช่โรงงานที่สำคัญขนาดนั้น

เพราะเราไม่ได้ร่วมมือกับทางบริษัทต่างชาติมากนัก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีผู้นำระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย

ระยะเวลาเพียงสองวัน ทางโรงงานเหมือนกับไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน*[2] เพราะต้องต้อนรับนักธุรกิจชาวต่างชาติ

มันทำให้ฉืออวี้เลี่ยงเครียดกว่าเดิมเสียอีก

พวกผู้นำมาทำไมน่ะหรือ? นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง?

เป็นเพราะอุบัติเหตุในโรงงานของเรา เลยทำให้พวกเขาต้องมารับผิดชอบน่ะสิ

หลังจากคิดออก ใบหน้าเหี่ยวย่นยิ่งขมขื่นกว่าเดิม

เขาออกคำสั่งเด็ดขาดทันที พิธีลงนามในวันพรุ่งนี้จะต้องไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ใครที่ออกมาสร้างปัญหาก็ให้ส่งตัวไปเลี้ยงไหมที่ชนบทเลย

ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ร่วมถึงทุก ๆ คนในโรงงานต่างก็กังวลใจ

กระทั่งเสี่ยวเถียนมาถึง ก็ต้องตกใจกับท่าทางเตรียมพร้อมของผู้อำนวยการฉือ เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลย ผ่านไปคืนเดียว ความกระวนกระวายใจนี้กลับมาอีกครั้งได้ยังไง

แต่พอรู้ว่ารัฐมนตรีเฉียนจากกระทรวงพาณิชย์จะมา เธอก็คร้านจะสนใจ

ทำไมถึงไม่สนใจน่ะหรือ? สำหรับเธอ พวกรัฐมนตรีไม่ต่างไปจากหัวไชเท้ากับผักกาดขาว*[3] หรอก

เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเธอคือใคร เราก็ไม่จำเป็นต้องประหม่า

*[1] เนื้อไก่หั่นเต๋าผัดใส่ถั่วลิสงและพริกแห้ง

*[2] เป็นการพูดถึงเหตุการณ์วุ่นวายจนไก่หมาวิ่งหนีกระเจิง

*[3] สิ่งที่คิดว่าดี กลับไม่ได้มีค่าสำหรับคนอื่น

สันในผัดเปรี้ยวหวาน