บทที่ 487 เป็นญาติกันหรือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 487 เป็นญาติกันหรือ?

บทที่ 487 เป็นญาติกันหรือ?

ดีที่ฉืออวี้เลี่ยงไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนคิดอะไร ไม่งั้นได้ตกใจเป็นแน่

ท่านรัฐมนตรีจะไปเทียบกับหัวไชเท้าและผักกาดขาวได้ยังไง? แต่เพราะไม่รู้นั่นแหละ ถึงได้คิดว่าเสี่ยวเถียนไม่เหมือนปกติ

บรรยากาศรอบตัวเธอสงบมาก!

รู้ทั้งรู้ว่าท่านผู้นำจากเบื้องบนกำลังจะมา แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีที่สงบเอาไว้ได้ คุ้มค่าพอให้เขาได้เรียนรู้ตาม!

เขานี่เป็นผู้อำนวยการโรงงานขนาดใหญ่ที่เสียเปล่าเสียจริง! หลังจากนั้นผู้อำนวยการฉือก็สงบลงโดยพลัน

ขณะที่เสี่ยวเถียนกำลังคิด รัฐมนตรีเฉียนผู้เป็นหัวไชเท้าและผักกาดขาวก็เข้ามา

แต่อีกฝ่ายไม่ได้มาตัวคนเดียว แต่ยังพาคนจากกระทรวงพาณิชย์มาด้วยอีกหลายคนเลย เรียกได้ว่ายกโขยงกันมาเลยทีเดียว

บรรยากาศภายในโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่พลันตึงเครียดอีกครั้ง

รัฐมนตรีเฉียนประหลาดใจที่เห็นฉืออวี้เลี่ยงมีท่าทีสงบนิ่ง

คนกันเองทั้งนั้น รู้จักกันหมดแล้ว

ภาพในหัวเขาคือ ผู้อำนวยการฉือประหม่าจนพูดไม่รู้เรื่อง

หรือปกติอาจจะไม่ประหม่าก็ได้

แต่ตอนนี้แขกจากเมืองตะวันออกยังนอนอยู่โรงพยาบาลนะ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีท่าทีว่าจะเครียดเลย แถมบนใบหน้ายังไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมาให้เห็นด้วย

“วันนี้ผู้อำนวยการฉืออยู่ในสภาพที่พร้อมเชียวนะครับ เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย” รัฐมนตรีเฉียนยิ้ม

ทางเบื้องบนยังกังวลกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวพันกับนักธุรกิจต่างชาติ ของโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่อยู่

ทุกคนได้แต่สงสัยว่าแขกจากเมืองตะวันออกล้วนประสบโชคร้ายโดยไม่มีเหตุผล

คนลงมือต้องเป็นนักธุรกิจต่างชาติพวกนั้นแน่ ไม่แน่อาจจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ได้

เพราะแบบนี้รัฐมนตรีเฉียนเลยต้องทิ้งงานที่ทำ แล้วเดินทางมาที่นี่เป็นพิเศษ

ฉืออวี้เลี่ยงยิ้มอย่างละอายใจ

“ท่านรัฐมนตรีก็ว่าไป ผมจะไม่ได้รับผลกระทบได้ยังไงกันครับ? ถึงยังไงก็เป็นธุรกิจมูลค่าหลายล้านนะครับ!”

ถึงจะมีคนสอดมือเข้ามาจุ้นเรื่องอาหาร แต่ฉืออวี้เลี่ยงก็ยังภูมิใจในธุรกิจที่ไปเจรจามา

“ผมเองก็คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าโรงงานของคุณจะได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากขนาดนี้!”

ตอนเขาได้ยินจำนวนตัวเลขก็ได้แต่ตกใจ ก่อนหน้านี้แม้ทางโรงงานได้รับคำสั่งซื้อจากนักธุรกิจต่างชาติ แต่จำนวนมันก็ไม่ได้มาก มากสุดคือสามแสนกว่าหยวน แต่คราวนี้มากกว่าล้านเสียอีก!

“รัฐมนตรีเฉียนครับ คราวนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของโรงงานผ้าไหมของเรา…”

ฉืออวี้เลี่ยงสนทนากับอีกฝ่ายเรื่องการเจรจาในรอบนี้

ตอนนั้นเองคนข้างกายรัฐมนตรีเฉียนเหลือบเห็นเสี่ยวเถียนโดยบังเอิญ

ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียไปจากฟ่านชูฟาง

เพราะตัวรัฐมนตรีเฉียนไม่เข้าใจภาษาเยอรมัน เขาจึงเชิญฟ่านชูฟางซึ่งเป็นคนรู้จักเก่าจากแผนกการแปลมาเป็นล่ามชั่วคราว

เธอเคยทำงานที่แผนกการแปล แต่เพราะต่งหยวนจงต้องย้ายไปฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เธอจึงจำต้องตามไปด้วย

และคราวนี้เธอก็ได้กลับมาเมืองหลวงพร้อมกับสามี ด้วยความช่วยเหลือของทางหัวหน้า จึงได้กลับมาทำงานที่เดิม

แต่เพราะเธออายุเยอะแล้ว อีกสองสามปีจะเกษียณ เลยมีงานให้ทำไม่ค่อยเยอะ

และวันนี้ก็ไม่มีงานอะไร จึงตอบตกลงที่จะมา

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำฟ่านชูฟางไม่คาดคิดคือ เธอจะได้พบกับเสี่ยวเถียนในโอกาสเช่นนี้

ตอนเห็นเด็กหญิงครั้งแรกก็คิดว่าหูตาฝ้าฟางไปเอง แต่หลังจากสังเกตดี ๆ ก็แน่ใจว่าคือซูเสี่ยวเถียนจริง ๆ

แม้การแต่งตัวจะทำให้ดูโตกว่าปกติหลายปี แต่เธอแน่ใจว่านี่คือเสี่ยวเถียนแน่นอน

ฟ่านชูฟางเห็นว่ารัฐมนตรีเฉียนกับฉืออวี้เลี่ยงกำลังคุยกันอย่างอบอุ่น เธอจึงเลือกเดินไปหาหลานสาว

เสี่ยวเถียนประหลาดใจมากที่พบหญิงชรา

ย่ารองมาได้ยังไงกัน?

จำได้ว่าแกไม่ได้ทำงานที่กระทรวงพาณิชย์นะ

“เสี่ยวเถียนจริง ๆ หรือเนี่ย? ย่าคิดว่าจำผิดเสียอีก เสี่ยวเถียนของเราแต่งตัวแบบนี้แล้วดูดีจริง ๆ เลย!”

ฟ่านชูฟางเอ่ย ก่อนจะเริ่มคิดเลยว่าพรุ่งนี้จะไปห้างโหย่วอี้กับห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อชุดให้เสี่ยวเถียนใส่

“ย่ารอง มาได้ยังไงคะเนี่ย?”

หญิงชรามองด้วยสายตาคาดโทษ

เธอเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน เป็นปกติอยู่แล้วที่จะมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้

แต่เสี่ยวเถียนเป็นนักเรียน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะไปเรียนเสียล่ะ?

วันนี้วันอังคารนะ!

“ย่ารอง หนูมาเป็นล่าม!”

เสี่ยวเถียนรีบอธิบายให้ฟังว่าเธอมาเป็นล่ามในงานประชุมคราวนี้!

ได้ยินเช่นนั้น ฟ่านชูฟางก็ตกอกตกใจ

เด็กคนนี้ใจกล้าหรือเก่งกันเนี่ย? แต่เดี๋ยวก่อน เธอสับสนไปหมดแล้ว

เสี่ยวเถียนมาเป็นล่ามในงานประชุมธุรกิจครั้งนี้ และตอนนี้เราก็กำลังลงนามความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายอยู่ ซึ่งหมายถึงว่างานของเสี่ยวเถียนใกล้เสร็จแล้ว

พรสวรรค์จริง ๆ หรือเนี่ย?

หลานของเธอเก่งจริงด้วย!

“เจ้าหน้าที่ฟ่าน รู้จักเสี่ยวเถียนด้วยหรือครับ?”

หลี่ว์หรูหยาเห็นฟ่านชูฟางเข้าไปใกล้เสี่ยวเถียนก็รีบเข้าไปหา

แต่ฟ่านชูฟางไม่รู้จักอีกฝ่าย

เขาจึงรีบแนะนำตัวทันที “ผมชื่อหลี่ว์หรูหยาครับ เป็นรองผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ เจ้าหน้าที่ฟ่าน เราเคยพบกันในงานประชุมแลกเปลี่ยนเมื่อหกเดือนที่แล้วครับ!”

“ที่แท้ก็รองผู้อำนวยการหลี่ว์นี่เอง ขอโทษจริง ๆ ค่ะที่จำคุณไม่ได้!” ฟ่านชูฟางเอ่ยด้วยความสุภาพแต่ก็ห่างเหิน

ปกติเธอไม่ใช่คนแบบนั้น

เพราะหลายปีมานี้ สถานะของสามีขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอด เลยทำให้นิสัยของเธอเย็นชาขึ้นมาก

โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาเมืองหลวง ตำแหน่งของสามีก็สูงขึ้น เธอจึงต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพและห่างเหินมากขึ้น

นอกจากนี้เธอยังโดนลอบกัดมาเป็นสิบปี กลัวว่าความประมาทเลินเล่อของตนจะสร้างปัญหาให้เหล่าต่ง

“เจ้าหน้าที่ฟ่าน สหายเสี่ยวเถียนเป็นล่ามของเราที่มาทำงานให้กับงานนี้ครับ ความร่วมมือในครั้งนี้จึงราบรื่นมาก ต้องขอบคุณเธอเลย!”

พอเห็นฟ่านชูฟางปฏิบัติต่อเสี่ยวเถียนไม่เหมือนปกติ จึงรีบชมเชยเด็กสาวทันที

หญิงชรายิ่งประหลาดใจ

“เสี่ยวเถียน ความสามารถด้านภาษาของหลานถึงระดับนี้แล้วหรือ?”

“เจ้าหน้าที่ฟ่านคงไม่รู้ว่าระดับภาษาเยอรมันของสหายเสี่ยวเถียนสูงมากเลยครับ แถมยังรู้ภาษาฝรั่งเศสด้วย เธอก็เป็นนักแปลให้กับโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ นี่เองครับ” หลี่ว์หรูหยาเอ่ยสิ่งที่รู้ออกไป

คราวนี้เป็นหญิงชราที่ต้องรู้สึกหัวหมุน

เสี่ยวเถียนกลัวจะทำให้ย่ารองตกใจ จึงรีบตอบด้วยรอยยิ้ม “ย่ารอง หนูเพิ่งเรียนมาจากปู่ฉือค่ะ แค่เรียนไว้ใช้!”

สี่คำก็พอให้ฟ่านชูฟางไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

คิด ๆ ดูก็ไม่เห็นผิดปกติตรงไหน

ในฐานะที่เสี่ยวเถียนเป็นศิษย์ของฉือเก๋อ การจะพูดได้สองภาษามันก็ปกติไม่ใช่หรือไง?

“เสี่ยวเถียน เด็กคนนี้นี่!”

กลับเป็นหลี่ว์หรูหยาที่ตกใจกับบทสนทนาของพวกเธอมากกว่า

เจ้าหน้าที่ฟ่านหมายถึงอะไร?

แล้วเรียกย่ารองนี่คือ?

สายตาเขามองกลับไปกลับมาระหว่างสองฝ่าย

“เจ้าหน้าที่ฟ่าน คุณกับสหายเสี่ยวเถียนเป็นญาติกันหรือครับ?”