ตอนที่ 515 ขลุ่ยที่ถูกบรรเลง

My Disciples Are All Villains

ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายเพิ่มเติมอะไรเกี่ยวกับความหายากของหยกหลานเทียนผู้ที่ได้รับหยกหลานเทียนมาย่อมเป็นผู้ที่โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
  ครั้งหนึ่งเคยมีคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเดินทางข้ามมหาสมุทรก็เพื่อจับสัตว์ร้ายต่างๆคนคนนั้นได้สังหารพวกมันเพียงเพื่อจะหาหยกหลานเทียน หยกหลานเทียนจึงกลายเป็นสมบัติที่แสนหายากที่มีอยู่ในตลาดมืดของโลกยุทธภพไป สัตว์ร้ายตามท้องทะเลเป็นสัตว์ร้ายที่ดุร้าย และก็เพราะแบบนั้นจึงทำให้ผู้ฝึกยุทธระดับล่างทั้งหลายไม่ได้สนใจที่จะตามหาหยกหลานเทียน ด้วยเหตุนี้เองความหายากของหยกหลานเทียนจึงเพิ่มสูงขึ้น
  ในตอนนี้ดูเหมือนว่าหยกหลานเทียนกำลังยอมรับเจ้านายคนใหม่ของมันแล้ว
  ไม่ว่าจะอิจฉาหรือไม่ก็แล้วแต่แต่ทุกคนก็อยากที่จะเห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์อยู่ดี
  หยดเลือดที่ไหลออกมาจากเรียวนิ้วหอยสังข์ได้เปิดใช้งานหยกหลานเทียนหยกหลานเทียนได้ปล่อยควันสีเขียวจำนวนมากออกมา ในตอนนั้นเองหยกหลานเทียนก็ได้กลายเป็นของเหลวที่ไร้รูปร่างไป มันกำลังลอยอยู่บนกลางอากาศ
  “เจ้าต้องการให้มันเป็นรูปร่างแบบไหนกันล่ะ”
  ไม่ว่าจะเป็นจี้หยก,สร้อยข้อมือ, กำไล…ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว
  ลู่โจวนึกถึงเครื่องประดับที่สาวๆจะต้องชอบ ตัวเขาพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหยกหลานเทียนด้วยพลังลมปราณแล้ว
  ธิดาหอยสังข์มองดูหยกหลานเทียนที่ลอยอยู่อย่างมีความสุขนางได้ตอบคำถามลู่โจวอย่างไม่ลังเล “ขลุ่ย”
  “ขลุ่ย”
  ทุกๆคนต่างก็สับสน ที่จริงแล้วการสวมใส่เครื่องประดับมันเหมาะกับการเสริมพลังให้กับเส้นพลังลมปราณทั้งแปดมากกว่า นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ทุกคนได้ยินหญิงสาวต้องการเปลี่ยนหยกหลานเทียนให้กลายเป็นขลุ่ย
  รูปร่างของหยกหลานเทียนบัดนี้ได้ขึ้นอยู่กับหอยสังข์ไม่ว่าหยกหลานเทียนจะมีคุณสมบัติดีแค่ไหน แต่ถ้าหากผู้ใช้อย่างนางไม่ชอบ มันก็ไร้ประโยชน์ซะเปล่าๆ
  ลู่โจวรู้ดีว่าธิดาหอยสังข์มีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีบางทีขลุ่ยอาจจะเป็นสิ่งที่นางต้องการมากที่สุดแล้ว ขลุ่ยสั้นที่สาวน้อยพกกลับมาเป็นเพียงขลุ่ยธรรมดาเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ขลุ่ยทั่วไปจะไม่คงทนเหมือนกับขลุ่ยที่ทำจากหยก เพราะแบบนั้นขลุ่ยใหม่จึงเหมาะสมแล้วกับสาวน้อยผู้ชื่นชอบเสียงเพลง
  “เอาล่ะ”ลู่โจวโบกมือของตัวเอง พลังลมปราณที่ตัวเขามีได้ห่อหุ้มหยกหลานเทียนเอาไว้
  ภายใต้แสงของดวงตะวันหยกหลานเทียนค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นควันทั้งหมดที่มีก็จางหายไป หยกหลานเทียนที่เคยเป็นของเหลวบัดนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นขลุ่ยหยกเรียบร้อยแล้ว มันเป็นขลุ่ยหยกหลานเทียนที่มีสีโปร่งแสงแวววาว
  แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้เป็นประกายแวววาวบนขลุ่ยหยกดูชัดเจนยิ่งขึ้นผิวที่เรียบเนียนของมันเรียบพอที่จะสะท้อนภาพของผู้ที่จ้องมองมันได้ ขลุ่ยหยกที่อยู่ตรงหน้าดูสวยงามและประณีตเกินคำบรรยาย
  ไม่นานนักขลุ่ยหยกหลานเทียนก็ลอยสู่มือสาวน้อยธิดาหอยสังข์ที่รับขลุ่ยรู้สึกเย็นยะเยือก แต่หลังจากที่ถือได้พักหนึ่งขลุ่ยหยกหลานเทียนก็เริ่มอบอุ่น
  “ถ้าหากเป็นข้าข้าจะต้องเลือกดาบแน่…ดาบหยกหลานเทียน แม้ว่าจะต้องใช้อายุขัย 10 ปีเพื่อแลกมันมาแต่มันก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี…” เจียงอาเฉียนพึมพำออกมาด้วยความเสียดาย ตัวเขาจ้องมองไปยังขลุ่ยหยกหลานเทียนในขณะที่หักห้ามใจไปด้วย ยิ่งคิดทบทวนในสิ่งที่เห็นมากเท่าไหร่ เจียงอาเฉียนก็เริ่มรู้สึกว่าดาบคีตะมังกรของเขามันดูด้อยค่ามากขึ้นเท่านั้น
  ธิดาหอยสังข์ที่ได้รับขลุ่ยหยกได้แต่มองมันด้วยความชื่นชมนี่คือสิ่งที่นางต้องการนั่นเอง หลังจากได้เป่าขลุ่ยไปชั่วครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้ามองลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ”
  เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นได้ถามออกมา“เจ้ารู้จักวิธีการเล่นขลุ่ยอย่างงั้นสินะ”
  ธิดาหอยสังข์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานางได้นำขลุ่ยหยกหลานเทียนมาทาบที่ริมฝีปากของนางแทน ไม่นานนักท่วงทำนองจากขลุ่ยก็ดังขึ้น ท่วงทำนองที่ดังไม่ได้ดังเป็นท่วงทำนอง มันแตกต่างจากท่วงทำนองที่นางเคยเล่น เมื่อเสียงขลุ่ยของสาวน้อยถึงผิวน้ำ ฝูงมากน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ได้กระโจนออกจากผิวท้องทะเล พวกมันกระโจนเรียงตัวกันอย่างสวยงาม!
  ธิดาหอยสังข์ได้เป่าขลุ่ยไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแต่ถึงแบบนั้นมันก็เพียงพอแล้วที่นางจะพิสูจน์ความสามารถลึกลับที่นางมีได้
  ปากของเจียงอาเฉียนอ้าค้างอีกครั้งในขณะที่จ้องมองไปยังรอบเกาะทั้งสี่“ยินดีด้วยผู้อาวุโส ดูเหมือนว่าท่านจะได้เด็กที่มีพรสวรรค์เป็นสาวกซะแล้ว”
  ธิดาหอยสังข์หันไปมองเจียงอาเฉียนก่อนจะพูดทวนออกมาด้วยความสงสัย“เด็กที่มีพรสวรรค์”
  “อย่าไปสนใจเจ้านั่นเลยไม่มีวันที่งาช้างจะออกมาจากปากของสุนัขได้หรอก” หยวนเอ๋อได้พูดในขณะที่จับแขนของหอยสังข์เอาไว้
  “ค่ะ”สาวน้อยพยักหน้า..
  ลู่โจวลูบเคราของตัวเองอย่างพึงพอใจดูเหมือนว่าขลุ่ยหยกหลานเทียนจะเป็นอาวุธที่น่าเกรงขามมากเมื่อเทียบกับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ทั่วๆ ไป ถ้าหากธิดาหอยสังข์สามารถฝึกฝนตัวเองจนแข็งแกร่งกว่านี้ ในอนาคตนางจะต้องสามารถควบคุมสัตว์ร้ายที่ทรงพลังกว่านี้ได้แน่
  ลู่โจวสั่งเกตเห็นธิดาหอยสังข์ดูดีขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้รับขลุ่ยหยกหลานเทียนไป“แล้วเจ้ารู้สึกยังไงบ้าง”
  ธิดาหอยสังข์มองดูขลุ่ยหยกก่อนที่จะตอบกลับมา“ข้าชอบมัน”
  “ส่งมือของเจ้ามา”
  ธิดาหอยสังข์ยื่นแขนออกมาอย่างเชื่อฟัง
  ลู่โจววางนิ้วทั้งสองลงบนข้อมือของนางตัวเขาสัมผัสได้ว่าเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของนางได้รับพลังหล่อเลี้ยงจางๆ ตัวเขาที่สัมผัสได้แบบนั้นตกใจ “นี่มันเป็นผลของหยกหลานเทียนสินะ”
  ลู่โจวสัมผัสได้ว่าเส้นพลังลมปราณทั้งห้าของหอยสังข์ถูกเปิดถ้าหากตัวเขาพูดแบบนั้นไปจะมีใครกันที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้
  ในบันทึกจากประวัติศาสตร์ที่เคยมีว่ากันว่าผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะคนหนึ่งสามารถเปิดเส้นพลังลมปราณเส้นแรกในช่วงเช้าได้ และเขาคนนั้นก็ได้เปิดเส้นพลังลมปราณอีก 5 เส้นได้ในช่วงบ่าย และท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูอย่างรวดเร็ว นี่มันถือเป็นขีดจำกัดที่มนุษย์จะมีแล้ว
  แม้ว่าธิดาหอยสังข์จะข้ามขั้นตอนทุกอย่างมาแต่นางก็ไม่เคยได้ฝึกฝนวรยุทธแม้แต่น้อย นางยังไม่เคยนั่งสมาธิหรือฝึกฝนตัวเองอย่างตั้งใจเลยด้วยซ้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นมันดูเหลือเชื่อจนเกินไป
  ลู่โจวตัดสินใจจะรอจนกว่าธิดาหอยสังข์สามารถควบคุมพลังของหยกหลานเทียนได้อย่างเต็มที่เมื่อนางสามารถฝึกฝนพลังวรยุทธได้ เมื่อนั้นลู่โจวก็จะยอมรับนางให้กลายเป็นศิษย์คนใหม่
  …
  หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเกือบหมดลู่โจวก็หันไปมองเจียงอาเฉียน “เจียงอาเฉียน”
  เจียงอาเฉียนยกมือขึ้นมาอีกครั้งตัวเขารีบโต้ตอบในทันที “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว…”
  “บอกหลินซินแห่งสถานศึกษาไท่ชูให้อธิบายเรื่องทุกอย่างกับข้าในเจ็ดวันซะ”
  เจียงอาเฉียนตกตะลึงกับคำพูดของลู่โจวแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็นออกมา เจียงอาเฉียนทำได้แค่เพียงโค้งคำนับรับฟังคำสั่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”
  ในตอนนั้นเองลู่โจวก็นึกถึงโลงศพลึกลับ“นอกจากนี้เรื่องของแม่นางแซ่หลัว…บางทีนางอาจจะมาจากที่อื่นก็เป็นได้”
  เนื่องจากเจ้าของโลงศพเป็นผู้ที่รู้ของการมีอยู่ของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบและพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบอยู่แล้วเป็นไปได้สูงที่เขาอาจจะมาจากที่เดียวกันกับแม่นางแซ่หลัว
  ‘นี่มันน่าปวดหัวจริงๆแล้วฉันจะไปหานางได้จากที่ไหน’ มันไม่มีความหมายสำหรับลู่โจวที่จะไตร่ตรองเรื่องนี้ ยังไงซะลู่โจวก็ทำได้เพียงตามหานางต่อไป
  “ข้าจะตามหานางอย่างสุดความสามารถ”เจียงอาเฉียนตอบกลับมา
  ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกจากตำหนักไป
  หยวนเอ๋อและธิดาหอยสังข์เองก็เดินตามเขาไปเช่นกัน
  เมื่อเจียงอาเฉียนเห็นแบบนั้นตัวเขาก็รู้ดีว่าพวกของลู่โจวกำลังจะจากไป ตัวเขาได้ออกมาจากตำหนักพร้อมๆ กับนายหญิงหวางก่อนที่จะโค้งคำนับให้ “เดินทางปลอดภัย ผู้อาวุโส”
  ที่ลานด้านหน้าตำหนักเองสาวกกว่า2,800 คนก็พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “เดินทางปลอดภัย ผู้อาวุโส”
  ลู่โจวและทุกๆคนต่างก็ขึ้นไปบนหลังของวิซซาร์ด ทั้งหมดได้จากไปในเวลาเพียงแค่ครู่เดียว
  หลังจากที่ลู่โจวจากไปเจียงอาเฉียนก็ได้ถือดาบของตัวเองเอาไว้ ตัวเขาได้กระแอมก่อนที่จะพูดออกมาอย่างหลงตัวเอง “พวกเจ้าไม่คิดที่จะทักทายศิษย์พี่ใหญ่ผู้หล่อเหลาของพวกเจ้าเลยอย่างงั้นเหรอ”
  เหล่าสาวกต่างก็ก้าวไปที่ด้านหน้า
  “ศิษย์พี่ใหญ่…ท่านรู้จักผู้อาวุโสจีได้ยังไงกัน”
  “ศิษย์พี่ใหญ่ผู้อาวุโสจีมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ อย่างงั้นเหรอ น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้เห็นพลังนั้นกับตา!”
  “ศิษย์พี่ใหญ่ข้าชื่นชอบศิษย์คนรองของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างดาบปีศาจยู่ฉางตงมากที่สุดแล้ว เขาคงจะหล่อเหลามากเลยใช่ไหม ตอบข้าทีเถอะ! ศิษย์พี่ใหญ่ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
  เจียงอาเฉียนพูดไม่ออก
  หลี่จิงยี่อดไม่ได้ที่จะเอามือปิดปากก่อนที่จะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้นางเคยชินกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้แล้ว นางเดินไปคนเดียวก่อนที่จะจ้องมองท้องฟ้า
  พระอาทิตย์กำลังส่องแสงลงบนเกาะเผิงไหลและเพราะแบบนั้นจึงทำให้บรรยากาศในตอนนี้มันช่างดูงดงาม
  “มนุษย์คนเดียวจะสามารถยกเกาะทั้งเกาะได้จริงๆอย่างงั้นเหรอ”
  …
  ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่าที่ปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ป่าม่านหมอก
  ณก้นบึ้งหุบเหวลึก
  หยดน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับได้หลุดออกจากใบไม้ก่อนที่จะตกลงสู่ใบหน้าของยี่เทียนซิน
  นางที่หมดสติไปลืมตาขึ้น‘เกิดอะไรขึ้นกัน ข้าฝันไปสินะ?’
  นางได้นึกย้อนไปกับภาพที่ได้เห็นภาพของเถาวัลย์ที่มีอยู่ทั่วทุกที่และสัตว์ร้ายนาๆ ชนิดที่กำลังโบยบินกันอย่างอิสระ ขนาดของพวกมันมีตั้งแต่ใหญ่เท่ากับภูเขาจนถึงขนาดที่เล็กเท่ากับผีเสื้อ
  ยี่เทียนซินที่ลุกขึ้นนั่งสั่นไปทั้งตัว“แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”
  ทันทีที่นางลุกขึ้นในตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้นาง
  ยี่เทียนซินเผลออุทานออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ“เฉินกวาง!”
  ความทรงจำทั้งหมดได้กลับมาหายี่เทียนซินอีกครั้งนางไม่ได้ฝันไป! นี่เป็นเรื่องจริง! สิ่งมีชีวิตที่พานางกระโดดลงหน้าผาก็คือเฉินกวาง สัตว์ร้ายที่นางพยายามตามหามาโดยตลอด ยี่เทียนซินได้สำรวจไปทั่วดินแดนหยาง, ป่าเขาหรือแม้แต่ผืนหญ้าจนมาถึงชนเผ่าอื่น นางได้เดินทางมากว่าพันไมล์เพียงเพื่อตามหามัน
  พรึ๊บ!
  เฉินกวางลุกขึ้นก่อนที่จะหันมามองที่ด้านหลัง
  เมื่อตาของเฉินกวางและยี่เทียนซฺนได้สบตากันยี่เทียนซินมองเห็นดวงตาสีเหลืองของมันได้อย่างชัดเจน