ยี่เทียนซินพยายามอย่างสุดความสามารถก็เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นรั่วของตัวเองสงบลงนางพยายามรักษาความสงบเอาไว้นั่นเอง จากสัญชาตญาณที่นางมีนางคิดว่าเฉินกวางไม่ได้เป็นศัตรูแน่ ถ้าหากมันเป็นศัตรูกับนางจริง จนถึงตอนนี้ยี่เทียนซินก็คงจะตายไปนานแล้ว
“เฉินกวาง”
เฉินกวางไม่ตอบอะไรมันขยับตาที่มีเท่านั้น
“เจ้ารู้จักข้าอย่างงั้นเหรอ”ยี่เทียนซินพยายามสื่อสารกับมัน
แต่อย่างไรก็ตามเฉิงกวางไม่สามารถโต้ตอบภาษาคนได้มันทำได้แค่มองนางอย่างเงียบๆ เท่านั้น
เมื่อยี่เทียนซินจะลองอีกครั้ง…
อู่วว!
เฉินกวางส่งเสียงร้องออกมามันได้ก้าวไปด้านหน้าก่อนที่เริ่มวิ่ง
ยี่เทียนซินเกือบลืมไปแล้วว่านางมีพลังวรยุทธนางรีบโคจรพลังลมปราณของตัวเองเพื่อให้ตัวนางที่นั่งอยู่บนหลังของเฉินกวางได้อย่างมั่นคง ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมา นางในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน นางรีบรวบรวมพลังลมปราณก่อนที่จะควบแน่นมันให้กลายเป็นม่านพลังจากทางด้านหน้า
ณป่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดนางมองเห็นสัตว์ปีกขนาดยักษ์จำนวนมากอยู่ด้านบน และรอบตัวนางเองก็ยังคงเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเช่นกัน
ยี่เทียนซินตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็นมาก
เฉินกวางได้กระโดดไปตามเส้นทางก่อนที่จะหยุดเดินมันนั่งลงก่อนที่จะเงยหัวขึ้น มันได้เปล่งเสียงร้องที่ชัดกว่าเดิม
อู่วว!
เสียงร้องของเฉินกวางที่ดังไปทั่วได้ทำให้สัตว์ร้ายที่อยู่ใกล้เคียงวิ่งหนีไปในทันที
ยี่เทียนซินมองลงมาจากบนท้องฟ้านางสังเกตเห็นรูปปั้นหินที่สูงกว่า 100 ฟุตอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ รูปปั้นที่นางเห็นมีรูปร่างเป็นหญิงสาว
ยี่เทียนซินตกตะลึงกับภาพที่เห็นนางได้บินใกล้เท้าของรูปปั้นที่เห็น ที่ใกล้ๆ เท้าของรูปปั้นนางเห็นคำว่า ‘มนุษย์เผือก’ ถูกสลักเอาไว้ ที่ใกล้ๆ นางเห็นอักษรที่ถูกปกป้องด้วยเขตแดนพลังไว้ อักษรที่ถูกสลักถูกกาลเวลากัดเซาะจนเสียหายไปหมดแล้ว เพราะแบบนั้นนางจึงไม่สามารถอ่านมันได้อีก ตอนนี้ที่ที่เคยมีอักษรเต็มไปด้วยรอยบุบและรูแทน
ยี่เทียนซินเองก็ไม่รู้สาเหตุทันทีที่นางมองเห็นคำว่ามนุษย์เผือก นางก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์และเริ่มร้องไห้ออกมา
ในตอนนั้นเองนางกำลังนึกถึงภาพในอดีต
ยี่เทียนซินมองเห็นภาพของชาวหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์กำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างก็จางหายไป
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่ความพยายามของนางก็ได้ผลสิ่งที่ยี่เทียนซินทำมาโดยตลอดมันคุ้มค่าแล้วนั่นเอง
เฉินกวางได้ร้องออกมาอีกครั้งเสียงของมันได้ดึงให้ยี่เทียนซินกลับมามีสติ
ยี่เทียนซินสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันหลังกลับนางยืนอยู่ที่เท้าของรูปปั้น เสื้อผ้าของนางล้วนเป็นสีขาวราวกับหิมะ สายตาของนางกลับมาดูเยือกเย็นราวกับหิมะขาวเช่นกัน สายตาของนางดูมั่นคงกว่าเมื่อก่อนมาก
“เฉินกวางข้า ยี่เทียนซินได้พบเจ้าแล้ว”
เฉินกวางลดศีรษะและลำตัวของมันลงมันได้เอาจมูกที่มีแตะไปที่พื้นของผิวทะเลสาบ
ที่ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดเล็ก
ยี่เทียนซินที่เห็นเฉินกวางทำแบบนั้นสับสน“เจ้าจะให้ข้าดื่มน้ำจากทะเลสาบอย่างงั้นเหรอ”
เฉินกวางส่ายหัว
“หรือจะเป็นอาบน้ำ”
เฉินกวางพยักหน้า
ยี่เทียนซินพูดไม่ออก
ยังไงซะนางก็ยังเป็นหญิงสาวอยู่ดีนางจะไม่รู้สึกอายได้ยังไงกันถ้าหากจะให้อาบน้ำในพื้นที่โล่งแบบนี้
พรึ๊บ!
เฉินกวางได้เหวี่ยงอุ้งเท้าของมันเข้าใส่นาง
ยี่เทียนซินเริ่มใช้พลังเพื่อปกป้องตัวเองในยามที่อาบน้ำ
ตู๊ม!
ยี่เทียนซินกระโดดลงไปในทะเลสาบ
ยี่เทียนซินที่โผล่พ้นน้ำมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เฉินกวางก้มศีรษะของมันลงก่อนที่จะมองดูยี่เทียนซินอย่างนิ่งเฉยมันได้ยกอุ้งเท้าออกมาก่อนที่จะหันกลับไป เมื่อสายลมได้พัดผ่านมา เฉินกวางก็ได้จากไปแล้ว
เมื่อทุกอย่างสงบลงเฉินกวางก็หายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ในขณะเดียวกันยี่เทียนซินก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากทะเลสาบ…น้ำที่มีพลังอันเป็นเอกลักษณ์ได้พุ่งเข้าหานางยี่เทียนซินที่สัมผัสกับน้ำรู้สึกสบายเป็นพิเศษ “ช่างเป็นทะเลสาบที่แปลกประหลาดอะไรแบบนี้!”
ยี่เทียนซินได้ดำน้ำลงไปนางประหลาดใจที่ได้เห็นเขตแดนพลังอยู่ที่ก้นบึ้งของทะเลสาบ
เขตแดนพลังได้ส่องแสงสว่างไปทั่วผืนน้ำ
พลังลมปราณที่อยู่ในเขตแดนพลังได้พุ่งเข้าใส่ร่างกายของยี่เทียนซินอย่างไม่ปรานียี่เทียนซินรู้สึกว่าทะเลสาบแห่งนี้กำลังเติมเต็มพลังลมปราณให้กับนางอยู่ ยี่เทียนซินแปลกใจมากที่พลังวรยุทธที่มีเพิ่มพูนขึ้นเพียงเพราะการแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ
พลังจากทะเลสาบยังคงพุ่งเข้าหานางอย่างต่อเนื่อง..
ยี่เทียนซินไม่กล้าที่จะปล่อยให้โอกาสดีๆหลุดลอยไป นางเลือกที่จะนั่งทำสมาธิก่อนที่จะหลับตาลง
เมื่อรวบรวมพลังลมปราณยี่เทียนซินก็ประหลาดใจมากขึ้นที่พลังลมปราณไหลมารวมที่ร่างกายของนางด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
…
วันต่อมา
ณห้องประชุมของสถานศึกษาไท่ชู
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นพวกชั่วช้าซะจริง!พวกมันสังหารสาวกของพวกเรา 100 คนที่แท่นบูชาสวรรค์และยังสังหารสาวกอีก 100 คนบนเกาะเผิงไหลอีกด้วย…เจียงเหรินยี่ เจียงหลี่จือ และหยวนชงต่างก็ถูกสังหารตาย กระจกทองคำไท่ชูเองก็ถูกชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ายึดไป ข้าจะปล่อยให้พวกมันทำกับพวกเราแบบนี้ไม่ได้!” เซียวซานผู้อาวุโสแห่งสถานศึกษาไท่ชูเป็นผู้พูดขึ้น
“ถูกต้องแล้ว…เจ้าพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ใจเกินไปแล้วท่านปรมาจารย์…พวกเราจะปล่อยให้พวกมันทำตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้”
ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสคนหนึ่งก็พูดขึ้น“แต่จีเทียนเด๋าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…แล้วเจ้าวางแผนที่จะแก้แค้นเขาว่ายังไงกัน”
ผู้คนที่เคยระบายความโกรธเคืองในก่อนหน้านี้ต่างนิ่งเงียบไม่มีใครตอบกลับ
หลินซินผู้ที่นั่งสูงกว่าคนอื่นๆ ได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ฆ่าได้หยามไม่ได้…สถานศึกษาไท่ชูมีสัมพันธ์อันดีกับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และไม่เคยคบค้ากับพวกชั่วช้ามาโดยตลอด ถ้าหากพวกเราขอให้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วยเหลือ บางทีพวกเราอาจจะใช้เขตแดนพลังทั้งสิบกำจัดผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็เป็นได้”
ในเวลานั้นเองเสียงของสาวกคนหนึ่งก็ได้ดังมาจากนอกห้องประชุม
“รายงาน!มีจดหมายมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์!”
“เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเหรอจดหมายจากใครกัน?”
สาวกคนนั้นได้เปิดจดหมายก่อนที่จะตอบกลับมา“มัน…ดูเหมือนว่ามันจะมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ทำไมจดหมายของศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงถูกส่งมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้หลี่ซินได้พูดออกมาอย่างร้อนใจ “อ่านซะสิ”
สาวกคนนั้นรีบอ่านเนื้อหาภายในจดหมายสีหน้าของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปบ่อยครั้งในขณะที่อ่านจดหมาย
เซียวซานขมวดคิ้ว“ข้าขอสั่งให้เจ้าอ่านจดหมาย อ่านมันซะ!”
สาวกคนนั้นกลืนน้ำลายก่อนที่จะอ่านออกเสียง“ข้าเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนแรกในใต้หล้านี้ ข้าก็คือปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ปรมาจารย์ผู้มีสาวกทั้งเก้า เจ้ากลัวข้าแล้วสินะ ข้าต้องการคำอธิบายจากหลินซินแห่งสถานศึกษาไท่ชูภายในเจ็ดวัน ถ้าหากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือแล้วล่ะก็ ข้าจะฆ่าครอบครัวของพวกเจ้าทั้งหมด! ฮาฮาฮ่า!”
ทุกๆคนต่างก็ขมวดคิ้ว พวกเขาเหลือบมองสาวกคนนั้นอย่างงุนงง
นี่เป็นคำพูดของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจีเทียนเด๋าจริงๆ อย่างงั้นเหรอ มันเป็นเหมือนกับคำพูดของพวกแอบอ้างที่พยายามเลียนแบบเขาซะมากกว่า แม้ว่าจะมีข้อสงสัยมากมายแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา
แคร๊ก!
หลินซินได้ทุบโต๊ะตรงหน้าโต๊ะที่ถูกทุบถูกทำลายไปในทันที “ไม่เพียงแต่เจ้านั่นจะมาระรานพวกเรา แต่มันยังกล้าข่มขู่พวกเราอีกด้วย คิดว่ามีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นสินะ”
เซียวซานที่นั่งอยู่ข้างหลินซินได้ลุกขึ้น“แล้วทำไมท่าน…ท่านปรมาจารย์ไม่…ไม่ขอโทษเขาซะล่ะ”
“หืม”หลินซินมองไปที่เซียวซาน
ผู้อาวุโสรอบๆหลินซินต่างก็ลุกขึ้นเพื่อคำนับเขาเช่นกัน
“ท่านปรมาจารย์บัดนี้สถานศึกษาไท่ชูได้รับความเดือดร้อนมากจนเกินพอแล้ว พวกเราไม่สามารถที่จะสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แน่”
“ถูกต้องแล้วปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถสังหารคนได้ในพริบตา สำนักใหญ่ทั้งสิบต่างก็พบกับจุดจบอันเลวร้าย สถานศึกษาไท่ชูได้ทำงานอย่างหนักก็เพื่อที่จะมีสถานะอย่างในปัจจุบัน พวกเราคงไม่อาจปล่อยให้สถานศึกษาถูกทำลายในชั่วข้ามคืนไม่ได้!”
“เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเมื่อนั้นการแก้แค้นก็ยังไม่สาย แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
ใบหน้าและเปลือกตาของหลินซินกระตุกเมื่อครู่นี้ทุกคนต่างก็ไม่พอใจกับสิ่งที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าทำไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ได้โกรธแค้นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเหมือนกับในก่อนหน้านี้อีก นี่มันคือ…การแสดงอย่างงั้นสินะ?
สายตาของหลินซินสิ้นหวังตัวเขาจ้องมองทุกคนอย่างไม่พอใจ หลินซินกัดฟันแน่นก่อนจะพูดขึ้น “ข้ายอมตายดีกว่าที่จะยอมจำนน! ข้าจะไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในวันพรุ่งนี้เอง! ข้าจะดูว่าใครกันจะสามารถทำอะไรกับข้าได้!”
“…”
…
ในขณะเดียวกันเรื่องของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ยกเกาะด้วยพลังฝ่ามือก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วยุทธภพมันเผยแพร่เร็วราวกับไฟป่า
ข่าวนี้เองได้แพร่ไปยังมณฑลยู่มันเป็นเรื่องเล่าในโรงเตี๊ยมได้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับเรียบเรียงเรื่องในครั้งนี้ให้กลายเป็นบทเพลงไป
“สหายข้าขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้า แต่เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้าให้ฟังอีกครั้งได้ไหม เรื่องของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ใช้พลังฝ่ามือยกเกาะลอยฟ้าทั้งเกาะได้น่ะ” ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวได้เดินไปหาผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกันข้ามของโรงเตี๊ยม
“ถ้าหากท่านต้องการฟังข้าก็จะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง…” ผู้ฝึกยุทธคนนั้นตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม