ชายผู้เล่าเรื่องเทน้ำให้กับตัวเองก่อนที่จะเหยียดหลังและพูดขึ้น“สำนักเผิงไหลเป็นสำนักที่ไม่ค่อยจะมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกเท่าไหร่ เดิมทีพวกเขาสามารถโด่งดังขึ้นมาได้ก็เพราะเขตแดนพลังของเกาะลอยฟ้าที่พวกเขามี แต่เมื่อไม่นานมานี้มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เขตแดนพลังที่พวกเขามีได้รับความเสียหาย มันเป็นเขตแดนของเกาะลอยฟ้าใจกลางหลักของเกาะเผิงไหลนั่นเอง ที่เกาะนั้นมีความยาวกว่า 10,000 ฟุตและยังมีน้ำหนักมากมายเหนือจะจินตนาการได้ ที่มันลอยฟ้าได้ก็เพราะเขตแดนพลังที่เกาะทั้งห้ามี…ถ้าหากเกาะใจกลางจมสู่มหาสมุทร เกาะที่เหลือเองก็จะจมลงเช่นกัน” ชายคนนั้นหยุดพูดชั่วครู่ ตัวเขารู้แล้วว่าตอนนี้กำลังมีผู้สนใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อรู้แบบนั้นชายผู้เล่าเรื่องก็ยิ้มก่อนจะเล่าเรื่องต่อ “สำนักเผิงไหลช่างโชคร้าย พวกเขาไม่มีมิตรแท้ใกล้ตัวเลย เจ้าเกาะอย่างหวางซื่อเจียผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบพยายามเชื้อชวนสำนักต่างๆ ให้เข้ามาช่วยเหลือเกาะเผิงไหล แต่ชาวยุทธที่เขาเชิญมากลับกลายเป็นเพียงหมาป่าผู้หิวกระหายเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ฝึกยุทธผู้โลภมากรอฉกฉวยโอกาสในตอนที่เกาะลอยฟ้าทรุดตัว เมื่อเกาะใจกลางกำลังตกลงสู่ทะเล … เกาะทั้งสี่ก็จะตกอยู่ในความโกลาหลไปด้วย และช่างโชคร้ายที่หวางซื่อเจียผู้เป็นเจ้าเกาะไม่ได้อยู่ที่นั่น…”
ชายผู้เล่าเรื่องได้เปลี่ยนท่าทีในการพูด“ในตอนที่ชาวเกาะเผิงไหลกำลังสิ้นหวัง ในตอนนั้นเองปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็ได้สังหารเจียงหลี่จือของสถานศึกษาไท่ชูไปด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว และด้วยพลังที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ามีก็ทำให้เขายกเกาะลอยฟ้าทั้งเกาะด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวได้ ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยกเกาะขึ้นสูงกว่า 100 เมตร และก็เพราะแบบนั้นเกาะเผิงไหลก็เลยพ้นจากวิกฤตมาได้ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะหวาดกลัวในพลังอันยิ่งใหญ่แบบนั้น และในที่สุดเขาก็ได้รับกระจกทองคำไท่ชูและคัมภีร์สวรรค์เผิงไหลอันล้ำค่ากลับไป”
เมื่อเรื่องของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าถูกพูดถึงในโรงเตี๊ยมก็เริ่มคึกคักขึ้นมาในทันที
หลายคนเคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวยิ้มก่อนที่จะถามออกมา“สหาย แล้วเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดได้ยังไงกัน”
“ข้าน่ะติดตามศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอดข้าน่ะมักจะจับตาดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่เสมอ” ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มจางๆ
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวพยักหน้า
สายตาของชายผู้เล่าเรื่องจับจ้องไปที่ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียว“สหาย ดาบของท่านมีความคล้ายคลึงกับดาบของยู่ฉางตง ดาบปีศาจแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ”
“เป็นอย่างงั้นเหรอ”ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวมองกลับไปที่ดาบของตน
“แน่นอน…ข้าเพิ่งจะได้ยินมาว่าดาบปีศาจได้กลับมาพร้อมกับรายชื่อใหม่ตอนนี้เขาก็อยู่ในเมืองมณฑลยู่แห่งนี้…” ชายคนนั้นพูดต่อ
“เจ้ารู้จักเขาอย่างงั้นเหรอ”ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวยังคงพูดจายังอ่อนโยน
ชายคนนั้นวางถ้วยลงบนโต๊ะก่อนจะหัวเราะและตอบกลับมา“ข้าก็แค่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขาก็เท่านั้น”
“แล้วเจ้ารู้ไหมล่ะ…ว่าเจ้าเองก็อยู่ในรายชื่อของเขาเหมือนกัน”ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวยิ้มออกมาจางๆ
“หืม”
กึ๊ก!กึ๊ก! กึ๊ก!
ดาบในมือของชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวสั่นเล็กน้อย
ชายผู้เล่าเรื่องตกใจตัวเขาจ้องมองไปยังชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวด้วยความหวาดกลัว
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวพูดต่อ“ราชาหนูหลี่ชาง…ข้าต้องขอโทษด้วย แต่เวลาของเจ้ามันหมดแล้วล่ะ”
ราชาหนูหลี่ชางดวงตาเบิกกว้างในที่สุดตัวเขาก็รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ตัวเขาเหลือบมองไปชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวที่มีท่าทีสุภาพ “ดาบปีศาจ!”
ชิ๊ง!
ดาบยืนยาวถูกชักออกจากฝัก!
ทันทีที่ดาบถูกชักดาบพลังงานก็พุ่งเข้าใส่หลี่ชางด้วยความเร็วสูง
ชิ๊ง!
ดาบยืนยาวกลับคืนสู่ฝัก
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมันเร็วจนเกือบจะเป็นแค่ชั่วพริบตา และเพราะแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนยังไม่รู้ตัว
หลังจากที่ดาบยืนยาวกลับคืนสู่ฝักพลังงานอ่อนๆ ก็พุ่งเข้าสู่ฝักดาบเช่นกัน
ที่โรงเตี๊ยมยังคงมีชีวิตชีวาเช่นเคยผู้มาเยือนทั้งหลายต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นปกติ
ยู่ฉางตงยกถ้วยน้ำชาก่อนจะจิบมันตัวเขาได้วางถ้วยชาลงก่อนที่จะจากไป ยู่ฉางตงได้มองไปที่หลี่ชางที่นั่งตรงข้ามตัวเขา ยู่ฉางตงได้ยิ้มให้จางๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ลาก่อน”
หลังจากที่ยู่ฉางตงลงบันไดไปตัวเขาก็ได้หายไปจากโรงเตี๊ยมอย่างไร้ร่องรอย แต่ถึงแบบนั้นหลี่ชางก็ยังคงนิ่งเฉย ดวงตาของเขาเปิดเพียงครึ่งเดียวราวกับมันไม่ได้เปิดอย่างเต็มที่ ที่ใบหน้าของหลี่ชางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากของเขาแยกออกเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
ราชาแห่งหนูหลี่ชางเป็นหน่วยสอดแนมที่ดีที่สุดของแม่ทัพผู้รักษาเมืองมณฑลยู่ชายคนนี้เป็นผู้มีความชำนาญในการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร แทรกซึมในฐานศัตรู และสร้างโอกาสให้กับกองทัพหลวงมาแล้วหลายครั้ง ชายคนนี้เป็นลูกน้องผู้มีความสามารถของจี้ชิงชิง หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปด! ชายคนนี้มักจะรวบรวมข่าวสารต่างๆ อยู่ในโรงเตี๊ยม เขามักจะรับฟังสิ่งที่แขกผู้มาเยือนทั้งหลายคุยโวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ชางได้พูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมา ตัวเขาไม่คาดคิดเลยว่าผู้ที่รับฟังเรื่องราวก็คือยู่ฉางตง ดาบปีศาจแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า กว่าที่จะรู้ตัวหลี่ชางก็สายเกินแก้แล้ว
หลังจากที่ผ่านไปกว่าหลายชั่วโมงในที่สุดเสี่ยวเอ้อก็เข้ามาเก็บโต๊ะ
“นายท่าน…นายท่าน”
เมื่อเสี่ยวเอ้อเห็นหลี่ชางยังคงนิ่งเงียบเขาก็ได้โบกมือต่อหน้าหลี่ชาง
ยังคงไม่มีการตอบโต้อะไรกลับมา
พรึ๊บ!
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นหลี่ชางก็ล้มลง
ในตอนนั้นเองก็เผยให้เห็นรอยกรีดบนคอของหลี่ชางเลือดบนคอของเขาเริ่มไหลริน
“มีคนตาย!”
“มีคนตายในโรงเตี๊ยม!”
…
ภายในคฤหาสน์ณ มณฑลเจียง
ยู่เฉิงไห่กำลังหารือเกี่ยวกับแผนต่อไปกับสีวู่หยา
ฮั๊วจงหยางรีบเข้าห้องมาตัวเขาได้มาพร้อมกับข้อมูลอันสำคัญของสำนักแห่งความมืด “ท่านเจ้าสำนัก ท่านศิษย์คนที่เจ็ด ราชาหนูหลี่ชางถูกลอบสังหารแล้ว การตายของเขาถูกดาบฟันจากทางด้านหน้า…” ในขณะที่พูดฮั๊วจงหยางก็ชี้ไปยังคอของตัวเอง
“นี่มันกี่ครั้งกันแล้ว”ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมาในขณะที่เอามือไขว้หลัง
“นี่เป็นครั้งที่ห้าของเดือนนี้…แม่ทัพผู้ดูแลเมืองมณฑลยู่เป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จี้ชิงชิงได้สูญเสียลูกน้องของนางไปถึงห้าคนแล้ว” ฮั๊วจงหยางตอบกลับมา
ยู่เฉิงไห่พูดต่อ“แม่ทัพเหวินชูแห่งมณฑลจิงเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เท่ากับว่าในตอนนี้มีผู้สังหารไปกว่าหกคนแล้ว ผู้ที่ลงมือเป็นใครกันแน่ พวกเราเกี่ยวข้องอะไรกับเขากัน?”
ฮั๊วจงหยางส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อ“ชายคนนี้ได้ไล่สังหารเป้าหมายด้วยตัวเอง มันเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ศิษย์น้องรองของท่านทำ เขามักจะล่าสังหารในทุกๆ สองถึงสามวัน สิ่งที่ทำให้ไม่เหมือนกับศิษย์น้องรองของท่านก็คือสิ่งที่คนคนนี้ทำมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ทุกคนตกใจกลัว ผู้ที่ออกจากมณฑลยู่จะมีชีวิต แต่ผู้ที่ดื้อรั้นอยู่ต่อมีแต่จะต้องถูกฆ่าโดยที่ไม่มีข้อยกเว้น”
“น่าสนใจน่าสนใจจริงๆ …ถ้าหากข้าได้พบกับผู้ที่น่าสนใจแบบนี้ในอนาคต ข้าจะต้องเป็นมิตรกับเขาให้ได้!” ยู่เฉิงไห่พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
สีวู่หยาได้แสดงความคิดเห็นขึ้น“เป็นไปได้ไหมที่คนคนนี้จะเป็นศิษย์พี่รอง”
สีหน้าของยู่เฉิงไห่เปลี่ยนไป“เขาน่ะเหรอ”
“ภายในยุทธภพนี้ข้าเกรงว่าคงจะมีแต่ศิษย์พี่รองคนเดียวเท่านั้นที่สังหารศัตรูโดยตรงได้” หลังจากที่พูดจบสีวู่หยาก็รีบพูดเสริม “แน่นอนว่ารวมถึงท่านด้วยศิษย์พี่ใหญ่ อันที่จริงข้าคิดว่าฝีมือของท่านเหนือกว่าฝีมือของศิษย์พี่รองซะด้วยซ้ำ”
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้าเจ้าคิดว่าเป็นเจ้านั่นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ” ยู่เฉิงไห่หันกลับมามองสีวู่หยา
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นผงะตัวเขาได้ตอบกลับไปอย่างเร่งรีบ “บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ฮั๊วจงหยางเข้าใจสถานการณ์ดีเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร “ข้ามีเรื่องจะรายงานอีก”
“ว่ามา”
ฮั๊วจงหยางหยิบกระดาษขึ้น“มีเหตุการณ์ใหม่เพิ่งจะเกิดขึ้น ผู้อาวุโสจีสามารถยกเกาะทั้งเกาะด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวได้ ในตอนนี้ข่าวที่ว่ากำลังถูกเผยแพร่อยู่ จากสิ่งที่ข้าสืบมา ดูเหมือนว่าข่าวที่ได้ยินจะไม่ใช่ข่าวเท็จ”
ยู่เฉิงไห่หยิบเอกสารขึ้นมาดูข่าวที่ถูกเผยแพร่ส่วนใหญ่แล้วเป็นข่าวที่มาจากคนทั่วไปและวนิพกพเนจร
หลังจากที่อ่านเอกสารผ่านๆยู่เฉิงไห่ก็วางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเรา ด้วยชื่อเสียงที่เพิ่งมากขึ้นของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องทำให้ผู้ฝึกยุทธในดินแดนหยานต้องคิดทบทวนให้ดีแน่ จะต้องมีคนจำนวนมากที่ไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างสำนักอเวจีและเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม”
สีวู่หยาพูดเสริม“แต่ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ไม่ชอบให้ท่านใช้ชื่อของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแอบอ้างนิ…”
ยู่เฉิงไห่ส่ายหัว“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า…ถึงแม้ว่าเจ้าจะฉลาดหลักแหลมแต่เจ้าก็ยังตัดสินใจผิดพลาดได้”
สีวู่หยางุนงง
ยู่เฉิงไห่พูดออกมาอย่างมั่นใจ“ท่านอาจารย์แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาจะไม่ขวางทางข้า…ถ้าหากเป็นแบบนี้พวกเราก็จะสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้”
“…”
ยังซะยู่เฉิงไห่จะต้องถูกลงโทษอยู่ดีไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม และเพราะแบบนั้นยู่เฉิงไห่จึงเลือกจะใช้วิธีที่ได้ผลดีที่สุด
ฮั๊วจงหยางพูดต่อ“เมื่อเจ้าเกาะหวางซื่อเจียได้ยินว่าผู้อาวุโสจีได้ยกเกาะทั้งเกาะด้วยพลังฝ่ามือ ตัวเขาก็รีบกลับไปยังเกาะเผิงไหลในทันที”
ยู่เฉิงไห่หยักหน้า
หวางซื่อเจียเพิ่งจะช่วยเหลือสำนักอเวจีเมื่อไม่นานมานี้บัดนี้เกาะเผิงไหลกำลังตกอยู่ในอันตราย การที่เขาจะไม่อยู่ช่วยสำนักอเวจีต่อก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หวางซื่อเจียดูมีน้ำใจเกินพอแล้ว
“ดีมาก”แม้ว่าการจากไปของหวางซื่อเจียจะหมายความว่างยู่เฉิงไห่จะต้องสูญเสียกำลังพลไป แต่ก็เพราะยอดฝีมือที่คอยช่วยเหลือสำนักอเวจีจากเงามืด เพราะแบบนั้นจึงทำให้ยู่เฉิงไห่กดดันน้อยลง
…
ณห้วงลึกของป่าม่านหมอก
ที่แห่งนี้ไม่มีดวงตะวันที่จะทำให้ยี่เทียนซินนับวันเวลาได้สิ่งที่นางพอจะทำได้มีเพียงการประมาณเวลาเท่านั้น
หลังจากที่ดูเหมือนจะผ่านมาหลายวันยี่เทียนซินก็รู้สึกว่าจุดพลังลมปราณของนางเต็มไปด้วยพลังลมปราณที่อัดแน่น นางลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ