บทที่ 397 เสียวจิ่วเหยี่ยวแสนรู้
คืนนี้พระจันทร์สว่างและมีดาวไม่กี่ดวง
จิ้งไท่เฟยและคนอื่นๆ ก็ได้เดินทางมาถึงศาลาพักม้าแห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ ความโกลาหลทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่เมืองหลวง ขณะที่นอกเมืองนั้นไร้ซึ่งความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่ที่ศาลาพักม้าคงไม่คาดคิดว่านี่คือพระพันปีองค์ปัจจุบันพร้อมกับพวกหลบหนีความผิด
เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าแล้ว คนที่น่าจะเป็นเจ้านายดูเหมือนเป็นหญิงชราจากครอบครัวที่ร่ำรวย และผู้คนรอบตัวนางดูเหมือนคนรับใช้ของนาง
แต่เมื่อลองพิจารณาจากท่าทางและรูปลักษณ์ คนที่ดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้คนนี้กลับมีท่าทางสง่าผ่าเผยมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
…นี่มันครอบครัวอะไรกันนี่
จิ้งไท่เฟยต้องการเพียงห้องเดียวและมียามสี่คนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก พร้อมกับองครักษ์มือดีหลายคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด
ขณะที่รถม้าของแม่นมไช่เลือกที่จะไปอีกทางหนึ่ง จะได้หลอกล่อได้ทันเผื่อว่าคนของฮ่องเต้ติดตามมาที่นี่
ห้องพักที่นี่ทั้งทรุดโทรมและมีขนาดเล็ก
“ข้ารู้สึกผิดนัก ที่ให้เจ้ามาอาศัยอยู่ในห้องที่ทรุดโทรมเช่นนี้” จิ้งไท่เฟยเอ่ยพลางยิ้มเยาะอย่างสะใจ “ข้าอยู่ในสำนักแม่ชีมาตลอดทั้งปี ก็เลยคุ้นเคยกับความเรียบง่ายแบบนี้ ห้องนี้อาจจะไม่น่านอนนัก แต่ไม่เป็นไร เส้นทางจากที่นี่ไปยังชายแดนยังอีกยาวไกล และเจ้าจะชินกับมันได้เอง”
จวงไทเฮาไม่สนใจคำพูดของจิ้งไท่เฟย แล้วเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าต่าง
ห้องที่นี่ทั้งอับชื้นทั้งมืด
จึงต้องเปิดหน้าต่าง พอเปิดออกไป ก็สะดุดตาเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
จิ้งไท่เฟยเย้ยหยัน “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าพยายามหนีจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะนำเถ้ากระดูกของเจ้าไปพบหนิงอัน”
จวงไทเฮาถอนสายตาจากต้นไม้ใหญ่ ปิดหน้าต่างและพูดอย่างเย็นชา “เจ้าจะพอได้หรือยัง ถ้าเจ้าต้องการไปที่ชายแดนเพื่อยกทัพก่อกบฏ ก็พูดไปเถอะ อย่าใช้หนิงอันเป็นข้ออ้าง อย่างน้อยนางก็เป็นลูกของเจ้า”
สีหน้าของจิ้งไท่เฟยเริ่มเปลี่ยน
นางบีบผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะไปบอกคนในครัวให้ทำให้”
จวงไทเฮา “ไก่เผ็ด เนื้อแกะผัดกับต้นหอม และซุปรากบัวกับกระดูกงูหนึ่งหม้อ”
จิ้งไท่เฟยเย้ยหยันและพูดว่า “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้น่ะสิ เดี๋ยวข้าออกไปดูก่อนว่ามีอะไรกินบ้าง”
พูดจบก็เดินออกไป
หลังจากที่เดินออกมาจากห้อง จิ้งไท่เฟยก็รีบกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง
“จับตาดูไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หนีไปเด็ดขาด”
“ขอรับ!”
จากนั้น จิ้งไท่เฟยสวมหมวกคลุมหน้าและเดินออกจากจุดพัก
และในเวลาเดียวกัน จู่ๆ มีนกตัวใหญ่กระพือปีกและร่อนลงบนขอบหน้าต่างของห้องที่จวงไทเฮาอยู่
พอนางเปิดหน้าต่างออก ก็เจอกับเจ้าเสียวจิ่ว
เจ้าตามหาข้าจนเจอหรือนี่
ไม่รู้เป็นเพราะเสียวจิ่วเข้าใจแววตาของไทเฮาหรือไม่ เสียวจิ่วถึงกับกระพือปีกแล้วร้องเสียงดังออกมา “วี้วววว”
จวงไทเฮายิ้มมุมปาก
เจ้าไม่ใช่แม่ไก่แก่ แต่เจ้าเป็นเหยี่ยวจริงๆ สินะ!
โชคดีที่พวกทหารทั้งหลายไม่ได้ใส่ใจที่จะไล่เจ้าแม่ไก่แก่ออกไป จากนั้นจวงไทเฮาก็อุ้มเจ้าเสียวจิ่วเข้ามาในห้อง
ขณะที่นางกำลังจะปิดหน้าต่างลง ก็เหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มลงมาจากฟ้า ร่อนมาปรากฏตรงด้านนอกหน้าต่าง
โชคดีที่จวงไทเฮาไม่ตื่นตระหนก มิฉะนั้นนางอาจถูกทำให้ตกใจจนโยนเจ้าเสียวจิ่วออกไป
อีกฝ่ายสวมหน้ากากเขี้ยวซึ่งดูน่าขนลุกเป็นพิเศษในเวลากลางคืน
เขาทำท่าถวายบังคม ก่อนจะถอดหน้ากากออก
จวงไทเฮาเลิกคิ้วขึ้น
อ๋อ พี่ชายคนรองของเจียวเจียวที่เคยรับบทแกล้งตายนี่เอง
ระดับกู้เฉิงเฟิงที่เคยเอาตัวรอดจากองครักษ์หลงอิ่งได้ การหลบสายตาทหารเฝ้ายามคนอื่นๆ ที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แต่หากถูกจับได้แล้วก็แน่นอนว่าเขาคงสู้คนพวกนั้นไม่ไหว
กู้เฉิงเฟิงใช้ภาษามือสื่อสารกับไทเฮา
พอเข้าใจกันแล้ว ก็ย้ายเก้าอี้มาใกล้หน้าต่าง
ขณะที่ไทเฮากำลังเหยียบบนเก้าอี้ ดันเกิดเสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นดังขึ้นพอดี
จวงไทเฮาพอรู้ตัวก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการคว้าถ้วยชาเขวี้ยงลงกับพื้น พลางตะโกนบ่น “ไหนบอกจะไปหาข้าวปลามาให้กินไง ไม่เห็นจะเอามาให้เลย! ข้าหิวเจียนตายแล้วนะ!”
ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพอได้ยินเข้าก็เบะปากไม่สนใจ
แน่นอนว่าพวกเขาถูกสั่งมาแค่ให้เฝ้ายาม ไม่ได้ให้ไปต่อปากต่อคำกับนาง
กู้เฉิงเฟิงยกนิ้วโป้งให้ไทเฮา
สมกับเป็นพระพันปีหลวงจริงๆ
เจ้าเสียวจิ่วบินออกไปเองได้ ไม่ต้องให้จวงไทเฮาช่วยอุ้ม
จากนั้นไทเฮาก็ปีนออกมาทางหน้าต่างโดยมีกู้เฉิงเฟิงคอยช่วยรอรับ พอเสร็จนางก็ขี่หลังของเขา และหายตัวไปในเงามืด
หลังจากที่จิ้งไท่เฟยกลับมายังที่ห้องพัก ทหารยามทั้งหมดก็แหวกทางให้นาง
“นางได้ส่งเสียเอะอะบ้างไหม” จิ้งไท่เฟยเอ่ยถาม
หนึ่งในนั้นเอ่ย “เมื่อครู่นี้นางโกรธและโยนกาน้ำชาทิ้ง บอกว่าท่านไม่ยอมเอาอาหารไปให้ จะปล่อยให้นางหิวตายใช่ไหม อะไรทำนองนี้พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดเหล่านี้อาจฟังดูธรรมดาสำหรับทหารเฝ้ายาม แต่สำหรับสำหรับจิ้งไท่เฟย นางจับได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
จิ้งไท่เฟยรู้ว่าแม้จวงไทเฮาเป็นคนนิสัยน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นโวยวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่นา…
จิ้งไท่เฟยรีบผลักประตูอย่างสุดแรงเกิด และพบว่า ภายในกลับมีแต่ความว่างเปล่า
“เฮ้ย!” เหล่าทหารยามถึงกับตกใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อกครู่ยังได้ยินเสียงโวยวายอยู่เลยนี่นา!
ก็ไม่ยักเห็นนางออกมาข้างนอกเลยนี่นา!
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ปล่อยให้นางหนีไปได้อย่างไร นี่ไม่ได้เฝ้ากันเลยหรืออย่างไร! นางไม่ใช่คนมีวรยุทธ์ด้วยซ้ำ…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ จิ้งไท่เฟยก็นิ่งลง
ใช่แล้วล่ะ จวงจิ่นเซ่อไม่มีทางหนีไปเองได้แน่ๆ
ต้องมีคนช่วยนางแม่นอน
แล้วจิ้งไทเฟยก็พลันนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ที่มีคนชุดดำสองคนแอบเข้าไปในสำนักแม่ชี นางแน่ใจมากว่าหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นกู้เจียวอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าอีกคนเป็นใคร
จิ้งไท่เฟยพึมพำอย่างเย็นชา “สาวน้อยแห่งตระกูลกู้ เจ้าหนีข้ามาหลายครั้งแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะโชคดีได้ทุกครั้งจริงๆ เหรอ พวกเจ้า แยกย้ายกันตามหาพวกมันเดี๋ยวนี้ คงยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอก! ”
“ขอรับ!”
ท่ามกลางเงาจากแสงจันทร์ที่สาดส่อง
กู่เฉิงเฟิงกำลังวิ่งไปตามทางโดยแบกจวงไทเฮาไว้บนหลัง โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล รถม้าของพวกเขาจึงจอดห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้พวกมันไหวตัวทัน
เพื่อที่จะไปที่รถม้าก่อนที่พวกเขาจะพบ กู้เฉิงเฟิงจึงต้องเร่งกำลังให้เร็วขึ้น แต่อีกใจเขาก็กังวลว่าร่างกายของไทเฮาจะรับไม่ไหว “ไทเฮาขอรับ โปรดอดใจรอสักครู่ พวกเราจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้า”
ไร้เสียงตอบรับ
อย่าบอกนะว่า เขาวิ่งเร็วเกินจนนางสลบไปแล้ว
…ไม่เป็นไร ถ้าเวียนหัวก็ต้องรอขึ้นรถม้า ไม่งั้นหากคนพวกนั้นตามทันล่ะก็คงหนีไปไหนไม่ได้แล้ว!
เสียวจิ่วบินไปถึงรถม้าก่อนใคร
พอกู้เจียวเห็นเสียวจิ่ว นางรู้ในทันทีว่ากู้เฉิงเฟิงทำสำเร็จ จากนั้นก็รีบกระโดดออกจากรถม้าเพื่อไปรับช่วงต่อ
และไม่นาน กู้เจียวก็ได้เจอกู้เฉิงเฟิงที่กำลังวิ่งมาพร้อมกับยายเฒ่าที่อยู่บนหลังของเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ถูกจับได้ใช่ไหม”
กู้เจียวรีบเข้าไปถาม
กู้เฉิงเฟิงหยุดหายใจ ไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อย แต่เพราะเขากลัว “…ข้าไม่ถูกจับได้หรอก…แต่…ดูเหมือนไทเฮาจะไม่ค่อยสบาย…เจ้าช่วยดูให้ที…”
ทันทีที่สิ้นเสียง บรรยากาศโดยรอบก็เงียบลง
หลังจากนั้น เขาและกู้เจียวก็ได้ยินเสียงกรนอย่างชัดเจน
กู้เฉิงเฟิง “…”
นอน หลับ ลง ได้ อย่าง ไร กัน เนี่ย!
และแล้ว กู้เจียวก็ได้ยินความเคลื่อนไหวบางอย่าง “พวกมันมาแล้ว!”
“รีบไปกันเถอะ”
แต่กลับสายเสียแล้ว
จู่ๆ มีดาบพุ่งมาทางพวกเขาทั้งสอง แม้จะหลบดาบได้ แต่ดาบนั้นกลับพุ่งไปที่รถม้าแทน
ตัวรถแตกเป็นเสี่ยงๆ บังเหียนหัก ส่วนม้าเกิดตกใจจนวิ่งหนีออกไป!
ด้วยความที่พวกทหารแยกกันตามหา จึงมีกำลังไม่มาก กู้เจียวจึงใช้วิธีโยนลูกระเบิดไปทางทหารสามคนที่กำลังจู่โจมเข้ามา
ทหารสามคนนั้นถึงกับแตกกระเจิง!
“รีบไปกัน!” พวกเขามุ่งหน้าไปยังป่าที่อยู่ไม่ไกล
เสียวจิ่วเองก็รีบบินตามพวกเขาไป
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม “อาวุธอันนั้นของเจ้ามันคืออะไร เหตุใดเสียงของมันถึงดังราวกับประทัด!”
“มันไม่ใช่ประทัดนะ ไว้กลับไปข้าจะอธิบายให้ฟัง”
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
แต่กลับเกิดอยากรู้อยากเห็นเสียอย่างนั้น!
“พวกมันตามมาแล้ว!”
กู้เจียวเอ่ย
“ไม่ใช่หรอกมั้ง นี่เจ้าหูดีขนาดนั้นเลยรึ!”
เขาไม่เห็นจะได้ยินเลย!
ทว่า คนที่ไล่ตามพวกเขาไม่ใช่สามคนนั้น แต่เป็นมือสังหารอีกกลุ่มหนึ่ง
“รีบหาที่หลบเร็ว!”
“จะให้หลบที่ไหนล่ะ ที่นี่ก็ไม่ใช่ภูเขาเสียด้วย ไม่มีถ้ำให้หลบเลย”
“ปีนต้นไม้!”
กู้เจียวพูดขณะที่กำลังวิ่ง อย่างไรก็ตาม เกือบจะในทันทีที่นางพูดจบ นางก็ถอดเข็มขัดออกแล้วโยนไปที่ลำต้นของต้นไม้ ปลายอีกด้านหนึ่งของเข็มขัดห้อยลงมา จากนั้นก็จับปลายเข็มขัดทั้งสองข้างแน่นแล้วรีบไต้ขึ้นไปบนต้นไม้!
กู่เฉิงเฟิงหลับตาลง พลางนึก นี่นางคิดว่าปลดเข็มขัดต่อหน้าผู้ชายเป็นสิ่งที่ดีแล้วหรือ!
เขากระดกปลายเท้าและใช้วิชาตัวเบาปีนขึ้นไปบนต้นไม้
เสียวจิ่วเองก็บินลงมาเกาะต้นไม้ต้นเดียวกัน
ทั้งสองกลั้นหายใจพร้อมกัน และเสียงเดียวที่เหลืออยู่ในป่าอันเงียบสงบคือเสียงกรนของจวงไทเฮา
แม้เสียงกรนจะไม่ดังมาก แต่พวกนั้นต้องได้ยินแน่ๆ !
“แล้วนี่ ควรทำอย่างไรดีล่ะ ต้องเขย่าร่างไทเฮาให้ตื่นไหม! แต่เจ้าทำนะ! ข้าไม่ทำ!”
กู้เจียวเอนตัวกระซิบเบาๆ กับจวงไทเฮา “นี่ ท่านย่า ถ้าขืนยังกรนอีก ข้าจะริบผลไม้เชื่อมนะ”
และแล้ว เสียงกรนนั้นก็เงียบหายไป!
กู้เฉิงเฟิง “…”
บะ แบบ…แบบนี้มีเหรอ!