บทที่ 398 เจ้าเวหาสุดหล่อ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 398 เจ้าเวหาสุดหล่อ

มือสังหารอีกกลุ่มหนึ่งมีจำนวนค่อนข้างเยอะ กู้เจียวนับดูแล้วมีทั้งหมดหกคน แต่ละคนดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้กู้เจียวรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

สามคนกับนกอีกหนึ่งตัวซ่อนตัวอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงรวบรวมสติเพ่งมอง กู้เจียวใช้มือปิดจมูกของหญิงชราเอาไว้ ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการเก็บเสียงก็เท่านั้น

เสี่ยวจิ่วเห็นกู้เจียวอุดปากอีกคน ดวงตาเจ้านกน้อยก็มองล่อกแล่ก สยายปีกออกมาแล้วปิดหัวของมันเอง

กู้เฉิงเฟิงที่อยู่ข้างกัน …ไม่สิ เจ้าเป็นแค่นกนะ เจ้าจะปิดปากตัวเองทำไม

คนพวกนั้นไม่รู้ว่ากู้เจียวและพวกอยู่บนต้นไม้ เมื่ออีกฝ่ายพากันเดินผ่านไป พวกเขาก็ใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไป

เมื่อมั่นใจว่าคนพวกนั้นออกไปไกลแล้ว กู้เฉิงเฟิงจึงได้เอ่ยปากขึ้น “แล้วตอนนี้จะทำเช่นไร”

รถม้าก็ไม่มี ม้าก็วิ่งเตลิดไปแล้ว พวกเขาคงเดินเท้ากลับเมืองหลวงไม่ได้หรอกนะ

ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างไกล ต่อให้ควบม้าเร็วฟาดแส้ไม่หยุดก็ยังใช้เวลากว่าหลายชั่วยาม หากต้องเดินกลับจริงๆ มีหวังขาขาดเป็นแน่

“รอฟ้าสว่างค่อยว่ากัน” กู้เจียวเอ่ย

แม้เดินทางตอนกลางคืนจะง่ายต่อการพรางตัว แต่หากจู่ๆ มีคนปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันกลางดึกแบบนี้ก็คงน่าสงสัยเหมือนกัน เพียงแค่ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอันยิ่งใหญ่ได้

ยามกลางวัน บนถนนมีผู้คนมากมาย หากพวกเขาปะปนไปกับฝูงชนคงไม่ถูกจับได้ง่ายๆ

“เช่นนั้น…จะรออยู่บนต้นไม้แบบนี้หรือ” กู้เฉิงเฟิงถาม

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น งูพิษตัวหน่ำลังก็แลบลิ้น ค่อยๆ เลื้อยเข้ามาใกล้พวกเขา

งูพิษอยู่ใกล้กู้เจียวมากที่สุด

ขณะที่มันกำลังจะอ้าปากงับคมเขี้ยวลงบนลำคอของกู้เจียว เสี่ยวจิ่วก็สยายปีกกว้างจนเจ้างูร้ายตกใจเลื้อยหนีไป

จะให้อยู่บนต้นไม้ทั้งคืนคงเป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงงูพิษหรือแมลงพิษ หากเผลอหลับไปแล้วร่วงตกลงมาจากต้นไม้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“เอ๊ะ เมื่อครู่ฝั่งโน้นเหมือนจะมีถ้ำ” กู้เจียวเหลียวไปทางตีนเขาทางทิศใต้พลางเอ่ย “ไป ไปดูกัน!”

ทั้งสามมุ่งหน้ายังตีเขาของป่าทางทิศใต้ แล้วก็พบถ้ำอย่างที่คิดไว้จริงๆ

“มีคนเคยอยู่ที่นี่มาก่อน” กู้เจียวถือคบเพลิง มองไปยังฟืนไฟและหญ้าฟางบนพื้น

“ที่แบบนี้ก็มีคนอยู่หรือ” กู้เซิงเฟิงเบ้ปาก

“เคยอยู่เมื่อนานมาแล้ว เป็นไปได้ว่าแค่ผ่านทางมา” กู้เจียวเก็บกวาดถ้ำอย่างง่ายๆ โกยหญ้าฝากให้เป็นกอง ก่อนจะเอ่ยกับกู้เฉิงเฟิง “ให้ท่านย่านั่งบนนี้”

ภายในถ้ำเย็นยะเยือก อายุอานามอย่างจวงไทเฮาหากนั่งลงพื้นโดยตรงมีหวังจับไข้เป็นแน่ โชคดีที่คนก่อนหน้าทิ้งกองฟางเอาไว้

“อืม” กู้เฉิงเฟิงวางร่างของจวงไทเฮาที่ใกล้จะผล็อยหลับไปแล้ว ให้นางค่อยๆ นั่งลงบนกองหญ้า กู้เจียวขยับมานั่งข้างๆ ให้ท่านย่าซบไหล่ของตน

ชายโฉดอย่างกู้เฉิงเฟิงทำได้เพียงนั่งนิง แม้จะเป็นจอมโจรอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่ก็โจรเศรษฐี ลำบากก็แค่กาย แต่ชีวิตมิได้ลำบากแต่อย่างใด

สำหรับเขาแล้วสภาพแวดล้อมแบบนี้นับว่าลำบากไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่มีทางเลือกก็เท่านั้น

เสี่ยวจิ่วเองก็เลือกหลับบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

กู้เจียวดับฟืนไฟ ภายในถ้ำมืดลงอีกครั้ง แสงจันทร์สีเงินสาดส่องเข้ามา สะท้านความเงียบสงบภายในห้อง

กู้เฉิงเฟิงทำลายความเงียบภายในถ้ำ เขาหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาจากพื้น ขีดเขียนบนพื้นอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าว่า…เหตุใดจิ้งไท่เฟยถึงทำเช่นนั้น เหตุใดนางถึงได้จองล้างจองผลาญไทเฮานัก เพียงเพราะว่านางไม่ได้เป็นไทเฮาอย่างนั้นหรือ แต่หากตอนนั้นนางไม่แตกหักกับไทเฮา ไทเฮาย่อมให้นางขึ้นเป็นไทเฮาเช่นเดียวกันกระมัง”

มีไทเฮาสองคนพร้อมกันใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น คนหนึ่งเป็นเสด็จแม่ตามกฎมณเฑียรบาล อีกคนหนึ่งคือแม่บังเกิดเกล้าของฮ่องเต้ จ้าวไทเฮากับซวิ่นไทเฮายามก่อตั้งแคว้นก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

กู้เจียวครุ่นคิด “เพราะอิจฉากระมัง”

ความอิจฉาทำให้คนบ้าคลั่ง เจ้าคงไม่รู้ว่าหญิงที่มีแต่ความอิจฉาริษยาในจิตใจนั้นสามารถทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายใดได้บ้าง

“เพราะเคียดแค้น”

น้ำเสียงของจวงไทเฮาดังขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วนัก

กู้เจียวเหลียวไปมอง “ท่านย่าตื่นแล้วหรือ”

“อืม” จวงไทเฮาค่อยๆ ลุกยืนขึ้น ภายในความมืดมิด นางหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความเย็นชา “นางคือกบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อน”

แคร่ก!

กู้เฉิงเฟิงออกแรง กิ่งไม้ในมือหลักเผาะ เขาถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “กะ…กบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อนอย่างนั้นหรือ”

ราชวงศ์ก่อนมอดไหม้ล่มสลายไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนแล้ว แต่กลับยังมีกบฏหลงเหลืออยู่หรือนี่ น่ากลัวเกินไปแล้ว!

“ท่านย่ารู้มานานแล้วหรือ” กู้เจียวถาม

จวงไทเฮาส่ายหน้า “เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน”

บนรถม้า จิ้งไทเฟยอวดกำไลกับนาง จึงเลิกแขนเสื้อขึ้นสูง นางบังเอิญเหลือบไปเห็นรอยสักสีแดงเลือดนกบนท่อนแขนของจิ้งไท่เฟย

บนท่อนแขนของนางมีรอยสักมาตั้งนานแล้ว แต่ก่อนเป็นดอกโบตั๋นดอกหนึ่ง พอมาเห็นวันนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นรูปเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์

มาคิดดูแล้วดอกโบตั๋นดอกนั้นคงสักเพื่อปกปิดเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ มิน่าล่ะตอนที่หนิงอันหกล้มจนใบหน้าถลอก นางก็รีบจัดกัดการวาดดอกไห่ถังบนบาดแผล ที่แท้ก็เป็นกลอุบายที่ตนคุ้นเคย

จวงไทเฮาเอ่ย “สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นเครื่องหมายของทหารพลีชีพในราชวงศ์ก่อน คล้ายกลับรอยสักเสวียนอู่บนหน้าขององครักษ์หลงอิ่ง”

แม้จะเป็นทหารพลีชีพเช่นเดียวกัน แต่ทหารพลีชีพในราชวงศ์ก่อนไม่ใช่อาวุธสังหารคนที่ไร้จิตใจเหมือนดั่งองครักษ์หลงอิ่ง พวกเขาเหมือนยอดฝีมือของวังหลวงเสียมากกว่าฉลาดทั้งทางบู๊และบุ๋น

กู้เจียวพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง “มิน่าล่ะนางถึงได้ฝีมือดีขนาดนี้” ที่แท้ก็เป็นทหารพลีชีพ

จวงไทเฮาพูดต่อ “ยามนี้ทหารพลีชีพของราชวงศ์ตัวจริงนั้นไม่มีอีกต่อไป ว่ากันตามตรงพวกเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังของทหารพลีชีพของราชวงศ์ก่อน ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนซื้อตัวทหารพลีชีพจากแคว้นเยียนมาฝึกปรือให้เป็นองครักษ์หลงอิ่ง ก็มีเป้าหมายเพื่อสังหารทหารพลีชีพของราชวงศ์ก่อน เก็บกวาดได้แทบจะหมดแล้ว ผู้ใดจะไปคาดคิดกันว่าใกล้ตัวยังเหลือรอดมาหนึ่งชีวิต”

กู้เฉิงเฟิงอ้าปากพะงาบ “เช่นนั้น…หย่งเอินป๋อ”

หย่งเอินป๋อคือหลายชายของจิ้งไท่เฟย

จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าผู้ใดก็เป็นกบฏได้อย่างนั้นหรือ กองกำลังของราชวงศ์ก่อนไม่มีทางสะดุดตาคนกระจอกอย่างหย่งเอินป๋อหรอก พี่ชายแท้ๆ ของจิ้งไท่เฟยต่างหากที่เรียกว่าม้ามืด น่าเสียดายที่เขาป่วยแล้วตายก่อนวันอันควรไปเสียก่อน”

ไม่เช่นนั้นคนพูดกันให้ทั่วหรือว่าเมืองหลวงไม่มีทางราชครูจวงคนที่สอง

กู้เฉิงเฟิงเหมือนถูกฟ้าผ่าจนสติหลุดลอย หากไม่ใช่จวงไทเฮาเป็นคนเอ่ยจากปากของตัวเอง ใครจะไปคาดคิดกันว่าเบื้องหลังของจิ้งไท่เฟยเพียงคนเดียวจะข้องเกี่ยวกับสายสัมพันธ์อันน่ากลัวเช่นนี้

เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง!

“เช่น…เช่นนั้นที่นางพาท่านไปชายแดนครั้งนี้ เพราะที่นั่นมีกบฏที่รอดชีวิตอย่างนั้นหรือ นางกำลังจะรวมกับคนพวกนั้นหรือ เพราะไม่สามารถอยู่ในวังหลวงได้อีกต่อไป จึงรีบหนีออกมา นาง…นางจะ…”

คำว่าก่อกบฏนั้นจุกอยู่ที่ลำคอของกู้เฉิงเฟิง

เขาไม่น่าถามเรื่องการเมืองราชสำนักตั้งแต่แรก

ทว่าจวงไทเฮากลับเอ่ยออกมาอย่างไม่ปกปิด “ยามนี้คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้น ชายแดนเป็นถิ่นทุรกันดาร ราชสำนักมิได้กวดขันที่นั่นมากนัก หากต้องการรวบรวมกองกำลัง ที่นั่นย่อมเหมาะสมที่สุด”

พอกู้เฉิงเฟิงได้ยินข่าววงในที่แม้แต่ท่านปู่หรือพี่ใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ ในก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “แต่ว่า…นางติดต่อกับชายแดนมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่มีผู้ใดสงสัยเลยหรือ นาง…” กู้เฉิงเฟิงเสียงตะกุกตะกัก

เขานึกออกแล้ว องค์หญิงหนิงอันแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ทางชายแดนนี่

เขาถอนหายใจ “นางวางแผนมาอย่างดีแล้วสินะ”

เรื่องการแต่งงานขององค์หญิงหนิงอันคงเป็นแผนการของนางมาตั้งแต่แรก เช่นนั้นชายที่ทำให้องค์หญิงหนิงอันตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ชายที่ถวายชีวิตเพื่อปกป้ององค์หญิงหนิงอัน ก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานของจิ้งไท่เฟย

“มีคนเลือดเย็นเช่นนี้ด้วยหรือ องค์หญิงหนิงอันน่าสงสารนัก” กู้เฉิงเฟิงแทบจะไม่พูดออก

จวงไทเฮาหลับตาลง แพขนตาสะท้อนหยดน้ำ

เสี่ยวจิ่วสยายปีกบินถลามา ก่อนจะเกาะบนท่อนขาของกู้เจียว

กู้เจียวเข้าใจความหมาย แววตาพลันเยือกเย็น “พวกมันตามมาแล้ว!”

สีหน้าของกู้เฉิงเฟิงพลันเปลี่ยน “เร็วปานนั้น!”

“หนีเร็ว” กู้เจียวพยุงหญิงชราขึ้นมา

กู้เฉิงเฟิงหันหลังก่อนจะแบกหญิงชราขึ้นหลังของตัวเอง เพื่อให้เขาเคลื่อนไหวได้ถนัด กู้เจียวจึงให้ผ้าคาดเอวของตัวเองมัดท่านย่าไว้กับตัวของเขา

กู้เฉิงเฟิงเห็นการกระทำของนางก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ย “ทำอะไรของเจ้า”

กู้เจียวตอบ “ข้าจะล่อพวกมันไปอีกทาง เจ้าพาท่านย่าหนีไป”

“ไม่ได้! หากจะล่อ…”

เขาอยากจะพูดว่าเขาเป็นตัวล่อเอง แต่ใครจะไปคิดว่ากู้เจียวกลับพุ่งตัวออกไปแล้ว

อันที่จริงเขาก็เข้าใจดีว่านี่คือทางที่ดีที่สุดแล้ว เขามีวิชาตัวเบา พาคนหนีได้อย่างรวดเร็ว กู้เจียวฝีมือเก่งกล้า สามารถยื้อเวลาให้พวกเขาได้นาน

กู้เฉิงเฟิงไม่ใช่คนลังเล หากเขายังชักช้าอยู่ คงไม่มีใครหนีรอดออกไปได้สักคนเป็นแน่

เขาแบกหญิงชราขึ้นหลัง ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าออกไปอีกทาง ก่อนหายวับไปกับความมืดมิด

กลางป่าทึบ กู้เจียวเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น

ในที่สุดกู้เจียวก็รู้แล้วว่าความรู้สึกคุ้ยเคยนั้นมาจากที่ใด กระบวนท่าและรังสีสังหารของคนเหล่านี้เหมือนองครักษ์หลงอิ่งไม่มีผิด

หลังจากจิ้งไท่เฟยได้องครักษ์หลงอิ่งมาอยู่ในมือ ก็สั่งให้องครักษ์หลงอิ่งประลองกับเหล่ายอดฝีมือใต้ดิน ทั้งยังหาคนมาวิเคราะห์กระบวนท่าต่อสู้ขององครักษ์หลงอิ่ง จากนั้นก็ฝึกฝน “องครักษ์หลงอิ่ง” ของนางเอง

แต่หากเทียบกันแล้วก็ย่อมห่างชั้นจากองครักษ์หลงอิ่งตัวจริงอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับยอดฝีมือของวังหลวงแล้ว นับว่าเหนือกว่าอยู่หลายเท่า

ไม่นานกู้เจียวก็ได้แผล เลือดสดไหลไปตามท่อนแขน

เป้าหมายของนางไม่ได้มาเพื่อเดิมพันชีวิตกับคนเหล่านี้ ถ่วงเวลามานานเพียงนี้แล้ว เจ้าพวกนี้คงไล่ตามกู้เฉิงเฟิงไม่ทันแล้ว

กู้เจียวใช้ลูกแก้วเพลิงดำระเบิดจนเลือดสาด ก่อนจะวิ่งเขาไปในป่าลึก

หนึ่งในชายชุดดำฝืนทนความเจ็บปวด ง้างคันธนูก่อนจะเล็งเป้ายิงไปที่ขั้วหัวใจของกู้เจียว

เสี่ยวจิ่วสยายปีกบินถลาเข้ามาพร้อมกับความดุดันและว่องไวของเจ้าเวหา ใช้กงเล็บเท้าขย่ำธนูดอกนั้นเอาไว้!