บทที่ 484 เผ่าบรรพกาลบุก สองหมัดสังหาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 484 เผ่าบรรพกาลบุก สองหมัดสังหาร

หลังจากที่หลี่มู่อีกลับไปแล้ว หานเจวี๋ยคิดว่าฉิวซีไหลจะเรียกหาเขาแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉิวซีไหลกลายเป็นสิ่งเปราะบาง

หากในอนาคตฉิวซีไหลไม่มาขอให้ศิษย์ของเขาเข้าร่วมสำนักพุทธอีก ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองขาดสะบั้นลงแล้ว เขาจำต้องระวังไม่ให้ฉิวซีไหลหันกลับมาเล่นงานเขาด้วย

อริยะพันคนก็มีพันหน้า แม้จะมีอาณาเขตเต๋าคุ้มกัน แต่หานเจวี๋ยก็ต้องระวังตัวอยู่ดี

แม้ว่าหลี่มู่อีจะจากไปแล้ว แต่สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่อยู่นอกเขตเซียนร้อยคีรีก็ยังไม่ไปไหน ดูเหมือนว่าพวกมันตั้งใจจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้านับวันจำนวนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไม่หยุด

แปดสิบปีต่อมา

โจวหมิงเยวี่ยมาเคารพหานเจวี๋ย ยังมีหานตั้วเทียนที่ตามมาด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่หานตั้วเทียนได้มาเยือนอารามเต๋าของหานเจวี๋ย

ศิษย์หลานสองคนนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

หานเจวี๋ยไม่ได้ถามขึ้นก่อน เขารอจนกระทั่งทั้งสองเอ่ยปากออกมา

โจวหมิงเยวี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ปู่ขอรับ จะจัดการกับสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าข้างนอกอย่างไรดีขอรับ”

หานเจวี๋ยถามกลับ “พวกเจ้าจะรับเลี้ยงไว้หรือ”

หานตั้วเทียนเงยหน้าขึ้นถาม “เขตเซียนร้อยคีรีกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ ในเมื่อพวกสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าพวกนั้นไม่ยอมไปไหน เหตุใดถึงรับเข้ามาไม่ได้ล่ะขอรับ ข้าได้ยินมาจากเหล่าศิษย์พี่คนอื่นว่า ถ้าหากสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้ ภายภาคหน้าจะกลายเป็นผู้ทรงพลังแห่งโลกาสวรรค์”

หานเจวี๋ยจ้องเขม็งไปที่หานตั้วเทียน จนเขาต้องก้มหัวลงด้วยความตกใจ

แม้ว่าหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราจะบดบังใบหน้าของหานเจวี๋ยเอาไว้ ทว่าแววตาที่จ้องมองมาอย่างกดข่มก็ทำให้หานตั้วเทียนรู้สึกหนาวสะท้าน

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็ตระหนักได้ว่าความทะเยอทะยานของหานตั้วเทียนนั้นยิ่งใหญ่เกินไป

ความทะเยอทะยานเช่นนี้มีติดตัวมาแต่กำเนิด

และไม่อาจรู้ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่

โจวหมิงเยวี่ยคล้ายจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยออกมา “อาจารย์ปู่ ท่านวางใจได้เลยขอรับ ตั้วเทียนแค่จะรับเข้ามาเลี้ยงเท่านั้น ไม่มีทางพาสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าพวกนี้ออกไปก่อเรื่องอย่างแน่นอนขอรับ”

หานตั้วเทียนรีบรับปากทันที “ใช่แล้วขอรับ อาจารย์ปู่ ข้าเพียงแต่หวังดีกับสำนักซ่อนเร้นเท่านั้น สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งมากก็จริง ทว่าคนส่วนใหญ่เอาแต่วุ่นกับการปิดด่านฝึกฝน ขาดคนคอยจัดการเหล่าสรรพสัตว์นอกเขตเซียนร้อยคีรี แม้ว่าข้าจะเด็กที่สุดในสำนัก แต่ข้าก็สามารถช่วยเหลือเป็นธุระได้นะขอรับ”

หานเจวี๋ยไม่คลางแคลงในความภักดีของหานตั้วเทียนแต่อย่างใด ผ่านมาหลายปี ตอนนี้ระดับความประทับใจของหานตั้วเทียนที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นเป็นหกดาวแล้ว

โจวหมิงเยวี่ยถลึงตามองหานตั้วเทียน แล้วตวาดลั่น “เจ้าพูดอะไรของเจ้า!”

หานตั้วเทียนรู้สึกผิด ไม่กล้าพูดขึ้นมาอีก

โจวหมิงเยวี่ยตกใจมาก เหตุใดคำพูดนี้จึงฟังดูเหมือนต้องการจะชิงอำนาจอย่างไรอย่างนั้น

แม้ว่าหานเจวี๋ยจะดีต่อศิษย์ทั้งหลาย และเหล่าศิษย์เองไม่เคยสงสัยในฝีมือของหานเจวี๋ยเลย แต่หากทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกเป็นภัย หานเจวี๋ยไม่มีทางปรานีอย่างแน่นอน

หานเจวี๋ยตรวจสอบสิ่งมีชีวิตรอบนอกอาณาเขตเต๋า ไม่พบแม้แต่เงาของหลี่มู่อี เขาจึงใช้จิตรับรู้เคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้านอกอาณาเขตเต๋าเข้ามาภายในเขตเซียนร้อยคีรี

“ไปเถอะ พวกมันเข้ามาแล้ว”

หานเจวี๋ยพูดจบก็หลับตาลง

โจวหมิงเยวี่ยและหานตั้วเทียนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ รีบคำนับขอบคุณและจากไปทันที

เมื่อเข้ามาสู่เขตเซียนร้อยคีรี เหล่าสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าต่างก็รู้สึกตื่นตระหนก จนทำให้ทั่วเขตเซียนร้อยคีรีมีแต่เสียงร้องระงม แต่ไม่นานพวกมันก็สงบลง

เต้าจื้อจุนลงมือแล้ว!

หานเจวี๋ยไม่คาดหวังอะไรกับสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเหล่านี้มากนัก

หากสมมติว่าเผ่าเอกาหมื่นคนสามารถฝึกบำเพ็ญจนไปถึงระดับครึ่งอริยะได้ สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเหล่านี้ก็ไร้ความหมาย

แต่มีอยู่ข้อหนึ่ง!

ตราบใดที่เข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรีแล้ว ก็อย่าหวังจะได้ออกไปอีก!

เว้นเสียแต่จะฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับครึ่งอริยะ!

หลังจากผ่านการวิวัฒนาการนับพันๆ ปี บวกกับสำนักดวงชะตาที่แสดงธรรมอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าหรือสัตว์อสูรล้วนแต่ชอบพุ่งเข้าไปหาแหล่งที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ

บริเวณรอบข้างของเขตเซียนร้อยคีรี เนื่องมาจากอาณาเขตเต๋า พลังวิญญาณรอบด้านจึงเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุดส่งผลให้สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผันผ่านไปราวกับติดปีก ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี

ถูหลิงเอ๋อร์เข้าสู่ระดับเทพ อู้เต้าเจี้ยน ฉู่ซื่อเหริน และมู่หรงฉี่ก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ระดับเทพเช่นกัน

จ้าวเซวียนหยวนเข้าใกล้ระดับต้าหลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าภายในเขตเซียนร้อยคีรีมีจำนวนเกินหลักพันแล้ว เริ่มมีการแบ่งระดับ จัดการคัดสรรอย่างเข้มงวด ภายใต้การดูแลของหานตั้วเทียน

อยู่มาวันหนึ่ง

ภายนอกเขตเซียนร้อยคีรีก็มีกลุ่มสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าจำนวนมากกรูกันเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน

ยักษ์ร่างกำยำปรากฏตัวขึ้น ณ ปลายขอบฟ้า สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ตรงหน้าของเขาเป็นดั่งก้อนหินเล็กจ้อย ตัวของเขาสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาลูกใดในเขตเซียนร้อยคีรี

เขาคือกู่จั๋วอิน ผู้นำเผ่าบรรพกาล!

หลังจากผ่านไปหลายปี เผ่าบรรพกาลของกู่จั๋วอินก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าจำนวนมหาศาล และกระจายตัวไปทั่วดินแดน

กู่จั๋วอินได้ยินมาจากพวกลูกน้องเมื่อไม่นานมานี้ว่า บริเวณนี้มีสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เขาจึงนำทัพบุกมา หมายจะขยายเผ่าบรรพกาล

กู่จั๋วอินทอดสายตาไปยังเขตเซียนร้อยคีรี สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ คล้ายจะถูกตัดขาดโดยพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก และยังมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยที่เกาะอยู่ในบริเวณรอบค่ายกล มองผ่านๆ เหมือนว่าร่างกายครึ่งหนึ่งของพวกมันลอยคว้างอยู่ในอากาศ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

กู่จั๋วอินกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่อ่อนแอบางตัวก็ถูกลมพัดจนลอยละลิ่วไป

ตู้ม!

กู่จั๋วอินชนเข้ากับค่ายกลอาณาเขตเต๋าอย่างแรง และถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้

เส้นผมยาวเหยียดของเขาสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับถูกสัตว์อสูรสิงร่าง เขาเริ่มรัวหมัดสองข้างใส่ค่ายกล แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำลายมันได้

ศิษย์สำนักซ่อนเร้นค่อยๆ เดินออกจากที่พักของตนทีละคน และมองดูร่างสูงเสียดฟ้าที่แสนน่าสะพรึงกลัว พวกเขามองต่างหน้ากันด้วยความตกตะลึง

นี่ใครอีกเล่า

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในเขตเซียนร้อยคีรีต่างตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

เฮ่าเทียนโผล่ออกมาจากร่างของหลงเฮ่าและกล่าว “กู่จั๋วอิน ไม่คิดว่าเขาจะมาได้ คงเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ารอบเขตเซียนร้อยคีรีมีมากเกินไป จนล่อเขามาถึงนี่”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสมเพช คิดว่ากู่จั๋วอินรนหาที่ตายเสียแล้ว

คนอื่นๆ เองก็ไม่ได้เห็นกู่จั๋วอินในสายตาสักเท่าไรนัก

มีเพียงสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในความดูแลของหานตั้วเทียนเท่านั้นที่ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

กู่จั๋วอินท่าทางแข็งแกร่งเหนือคำบรรยาย แค่ได้เห็นรูปร่างของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง

“กลัวอะไรกัน! คนผู้นี้สู้อะไรสำนักซ่อนเร้นของพวกเราไม่ได้เลย ผู้ทรงพลังแห่งสำนักซ่อนเร้นกำลังวุ่นอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ จึงไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมาก็เท่านั้น! ”

หานตั้วเทียนตวาดลั่น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ เมื่อเห็นลูกน้องของตนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เทียบกับเผ่าเอกาแล้ว ยังห่างชั้นกันหลายขุม

ฝ่ายนั้นเป็นถึงผู้ทรงพลังระดับจักรพรรดิเซียนกว่าหนึ่งหมื่นตน!

ในตอนนี้เอง!

ตูม!

ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากเขตเซียนร้อยคีรี พุ่งผ่านค่ายกล ตรงไปยังศีรษะของกู่จั๋วอิน เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด ตกลงมาราวกับห่าฝน

กู่จั๋วอินที่หัวขาดสะดุ้งตัว กระโดดหนีออกไปจากอาณาเขตเต๋า

“เป็นไปได้อย่างไร!”

กู่จั๋วอินตกตะลึง ต่อให้เป็นครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ ก็ไม่มีทางแทงทะลุกายเนื้อของเขาได้

อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?

ในตอนนี้เอง ก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในอากาศอันบางเบา

แสงสว่างอันเจิดจ้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลง เขาเหวี่ยงหมัดออกไปตามสัญชาตญาณ เพื่อป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่าย

ผู้มาเยือนคือหานเจวี๋ยนั่นเอง

ร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของหานเจวี๋ย และเหวี่ยงหมัดออกไปหนึ่งข้าง!

หมัดทั้งสองปะทะกัน!

ตัวของกู่จั๋วอินถูกทำลายทันที กายเนื้อสลายกลายเป็นผุยผง ล่องลอยกระจัดกระจายออกไป ดวงวิญญาณของเขาหนีหายไปด้วยความตกใจกลัว

เทพมารขุนพลสวรรค์ซัดกำปั้นเข้าใส่อีกครั้ง

วิญญาณของกู่จั๋วอินถูกทำลายจนสิ้นซาก!

จากนั้นหานเจวี๋ยก็หายตัวไปเกือบจะทันที และกลับไปอยู่ในอารามเต๋าดังเดิม

โลกาสวรรค์พลันเงียบสงัด

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้านอกเขตเซียนร้อยคีรีต่างนิ่งงันตาค้าง มองไปบนท้องฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่ไอหมอกโลหิตนั้นยังคงลอยเอื่อยลงมาช้าๆ

………………………………………………..