บทที่ 485 ชื่อกระฉ่อนแดนเซียน หานเจวี๋ยจากโลกมนุษย์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 485 ชื่อกระฉ่อนแดนเซียน หานเจวี๋ยจากโลกมนุษย์

[กู่จั๋วอินเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]

หานเจวี๋ยเห็นตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

ยังไม่ตายอีกหรือ!

ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะซ่อนวิญญาณไว้ที่อื่นด้วย

แต่ไม่เป็นไร

ต่อให้กู่จั๋วอินมีชีวิตอยู่ก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคาม และยังเป็นโอกาสข่มขวัญกลุ่มอิทธิพลรอบด้านไปด้วย!

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในเผ่าบรรพกาลส่วนมากนั้นมีสติปัญญาแล้ว สามารถสื่อสารกันได้ คาดว่าน่าจะใช้กระจายข่าวออกไปได้

นับตั้งแต่เจียงตู๋กูเป็นต้นมา มีผู้คนมากมายพยายามรุกรานอาณาเขตเต๋า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะดีหรือ

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ แต่เขาก็ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกใครล่วงรู้เข้า

ตราบใดที่อยู่ในอาณาเขตเต๋า ก็ไม่มีปัญหา!

คิดได้ดังนั้น หานเจวี๋ยก็หลับตาลง

เขาไม่รีบร้อนที่จะสาปแช่งกู่จั๋วอิน เพราะหากสาปแช่งตอนนี้จะถูกอีกฝ่ายจับได้อย่างง่ายดาย

ให้ผ่านไปสักสองสามพันปี ค่อยสาปแช่งให้ตายไปเสียทีเดียว!

อีกด้านหนึ่ง

หานตั้วเทียนนั่งอยู่บนเนินเขา พลางตะโกนลั่น “เห็นหรือยัง นี่แหละพลังของสำนักซ่อนเร้น พวกเจ้ายังไม่นับเป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้น ต้องพากเพียรฝึกบำเพ็ญ พวกเจ้าได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว แต่ถ้าหากฝึกบำเพ็ญไม่ได้ พวกเจ้าก็จะถูกเนรเทศออกไป และไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาอีก!”

พวกสิ่งมีชีวิตจำแลงทั้งหลายที่อยู่บริเวณตีนเขาต่างตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก

ไม่มีใครเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัว เห็นเพียงกู่จั๋วอินถูกพัดหายไป จากนั้นเงายักษ์ก็วาบผ่าน กู่จั๋วอินกลายเป็นไอหมอกโลหิต สิ้นใจตายคาที่

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งหลายต่างเฉยเมยกันมาก รวมถึงเผ่าเอกาด้วย

พวกเขาในตอนนี้ต่างมีชีวิตอยู่เพื่อไล่ตามมหามรรค ไม่เหมือนกับกู่จั๋วอินที่ยังต้องเข้าสู่โลกเพื่อช่วงชิงอำนาจ รูปแบบของทั้งสองฝ่ายต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในปีต่อๆ มา ข่าวการสังหารกู่จั๋วอินก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว นับวันยิ่งแพร่ไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น กู่จั๋วอินที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถรวบรวมกายเนื้อได้ชั่วคราว เนื่องจากเขาเที่ยวไปสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้มากมายเกินไป เขาถึงขั้นที่ไม่กล้าปรากฏกาย ทำให้เผ่าบรรพกาลต้องกระจัดกระจายออกไปราวกับเม็ดทราย

ชื่อเสียงของสำนักซ่อนเร้นและเขตเซียนร้อยคีรีเริ่มเป็นที่เลื่องลือ

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าภายในเขตเซียนร้อยคีรีจำนวนไม่น้อยคอยติดต่อกับสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ารอบๆ อาณาเขตเต๋า ทำให้ชื่อของเขตเซียนร้อยคีรีและอาณาเขตเต๋าเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า เรื่องราวเล่ากันแบบปากต่อปาก จากหนึ่งคนเป็นสองคน จากสองคนเป็นสิบคน จากสิบคนกระจายเป็นหมื่นคนจนกระทั่งแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า

สำนักดวงชะตาทั้งหลายเองก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขตเซียนร้อยคีรีและสำนักซ่อนเร้น

สำหรับสำนักซ่อนเร้นนั้น พวกเขารู้จักอยู่บ้างตั้งแต่งานชุมนุมของเผ่าสวรรค์เมื่อก่อน

เพียงแต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าสำนักซ่อนเร้นจะซุกซ่อนบุคคลที่แข็งแกร่งขนาดที่สามารถปลิดชีพกู่จั๋วอินได้อย่างง่ายดาย!

จักรพรรดิเซียนกว่าสองร้อยคน กับครึ่งอริยะไร้เทียมทานที่เป็นรองเพียงอริยะ!

ในบรรดานั้นยังมีบุตรแห่งสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานในมหาเคราะห์ครั้งก่อนอย่างเจียงอี้ เต้าจื้อจุน

กลุ่มอิทธิพลกลุ่มนี้…

ช่างแข็งแกร่งเกินพรรณนา!

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มอิทธิพลรอบด้านยังไม่มีใครทราบถึงความเป็นไปภายในสำนักซ่อนเร้นอย่างแน่ชัด

สี่ร้อยสามสิบสองปีต่อมา

เขตเซียนร้อยคีรีต้อนรับผู้มาเยือน

“จิ่งเทียนกงเจ้านิกายเจี๋ยขอเข้าพบเพื่อคารวะเจ้าสำนักซ่อนเร้น”

เสียงของจิ่งเทียนกงดังเข้ามาภายในอาณาเขตเต๋า หานเจวี๋ยได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นทันที

สำหรับผู้ติดตามคนนี้ หานเจวี๋ยไม่อาจลงมือสังหารเขาได้ แต่ก็ไม่อาจพบหน้าได้เช่นกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสามนิกายสำนักเต๋าดูจะปรองดองกันดีในสายตาคนนอก แต่ภายในกลับต่อสู้กันเองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทันทีที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผูกมิตรกับใครคนใดคนหนึ่ง ก็ถือว่าล่วงเกินอีกสองนิกายที่เหลือแล้ว

วังสวรรค์ปรารถนาจะผูกสำนักเต๋าทั้งหมดเข้าด้วยกัน แต่ผลลัพธ์กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

หานเจวี๋ยเอ่ยปาก “ไม่ต้องพบหน้ากันก็ได้ ขอบคุณเจ้านิกายเจี๋ยที่อุตส่าห์ให้เกียรติข้า สำนักซ่อนเร้นของข้าไม่ต้องการช่วงชิงอำนาจกับใคร และไม่มีจิตคิดจะผูกสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลกลุ่มไหน ต้องการเพียงฝึกบำเพ็ญเต๋าเท่านั้น ”

ได้ยินเช่นนี้ จิ่งเทียนกงก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น

ศิษย์ทั้งหลายที่ติดตามเขามาด้วยต่างก็มีสีหน้าที่โกรธเคือง ต่างพูดคุยกันว่าหานเจวี๋ยช่างไม่ไว้หน้ากันเอาเสียเลย

แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงกริยาอาการโห่ร้องแสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียก็มีจิ่งเทียนกงอยู่

เจ้านิกายอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์เอ่ยปาก

จิ่งเทียนกงยิ้มกล่าว “เช่นนั้น สหายเต๋ากรุณาบอกชื่อเสียงเรียงนามได้หรือไม่”

“หานเจวี๋ย เป็นเพียงคนนิรนาม”

“หานเจวี๋ย…”

จิ่งเทียนกงหรี่ตา พลางนับนิ้วทำนาย

เอ๊ะ!

จิ่งเทียนกงคล้ายจะคำนวณได้ถึงบางสิ่ง จึงเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมาและกล่าวว่า “สหายเต๋าหาน หากวันหน้าเดินทางผ่านนิกายเจี๋ย อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยือนข้าบ้างนะขอรับ ท่านไม่ชอบถูกรบกวน แต่ข้าชื่อชอบการถูกรบกวนเป็นที่สุด”

เมื่อสิ้นเสียง จิ่งเทียนกงก็หมุนกายเดินจากไปพร้อมกับเหล่าศิษย์

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยเดินออกมาจากอารามเต๋า เมื่อถูกจิ่งเทียนกงรบกวน เขาก็ไม่มีอารมณ์จะฝึกบำเพ็ญต่ออีกจึงออกมาเดินเล่นแทน

จู่ๆ เขาก็นึกถึงไข่กิเลนในถ้ำขึ้นมา

ผ่านมาหลายพันปี มีเพียงไข่กิเลนเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ฟักออกมา จำนวนไข่กิเลนประมาณหลักสิบ ส่วนไข่กิเลนที่เหลือยังอยู่ในระหว่างการฟักตัว

เมื่อมาถึงที่ถ้ำ หานเจวี๋ยก็ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของหลิวเป้ย

หลิวเป้ยลืมตาขึ้น ทันทีที่เห็นหานเจวี๋ยมาเยือน เขาก็รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ

หานเจวี๋ยจ้องมองกิเลนตัวหนึ่งที่กำลังนอนฝันหวานอยู่ในถ้ำ กิเลนตัวนี้ตัวใหญ่ราวกับช้าง ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดง พร้อมกับพ่นลมหายใจร้อนระอุออกมา

“คุณสมบัติไม่เลว ตบะอยู่ในขั้นเซียนแท้ไท่อี่แล้วนี่”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างชื่นชม เขากวาดสายตามองไปทั่วภายในถ้ำ มีกิเลนตัวอื่นๆ อยู่อีกหากแต่ไม่มีตัวใดที่จะมีตบะก้าวหน้าเท่ากับตัวนี้

หลิวเป้ยกล่าวยิ้มๆ “คุณสมบัติของมันยอดเยี่ยมจริงๆ เหมือนจะเป็นราชาแห่งเผ่ากิเลนเสียด้วย พวกกิเลนด้วยกันต่างก็หวาดกลัวมันทั้งหมด อาจจะเป็นสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ก็เป็นได้”

“อ้อ จริงด้วย มันชื่อสวีหลิน ข้าตั้งให้มันเอง ท่านเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่ หากท่านไม่พึงใจก็สามารถตั้งชื่อให้มันใหม่ได้”

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยน ไว้มันไปถึงระดับเซียนทองไท่อี่ ก็ส่งตัวมันมาพบข้าที่อารามเต๋าด้วยล่ะ”

หลังพูดจบ หานเจวี๋ยหายตัวไปทันที

หลิวเป้ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

อันที่จริงเขาแค่ทดสอบดูเท่านั้น หานเจวี๋ยไม่สนใจอยู่แล้วจะชื่ออะไรก็ได้ทั้งนั้น

เขารู้สึกซาบซึ้งในตัวหานเจวี๋ยอย่างสุดซึ้ง เขาเข้าใจว่าหานเจวี๋ยต้องการให้เขาควบคุมเผ่ากิเลนเหล่านี้ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับสำนักซ่อนเร้น

แน่นอนว่าเขาไม่อาจหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด คือนายท่านที่แท้จริงของเผ่ากิเลนคือหานเจวี๋ย!

แดนเซียน โพ้นทะเล

แรงกรรมมหาเคราะห์ยังคงอบอวล เช่นเดียวกับหมอกสีดำที่ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวทะเล

บนเกาะแห่งหนึ่ง

จิ่งเทียนกงและหวงจุนเทียนยืนอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองออกไปไกลแสนไกล

“เจ้ารู้จักหานเจวี๋ยหรือไม่” จิ่งเทียนกงทำเป็นถามไปเรื่อย

หวงจุนเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุ้นๆ หูอยู่บ้าง ข้าขอคิดดูก่อน ชั่วชีวิตนี้ข้าเคยพบเจอกับคนที่ชื่อหานเจวี๋ยมาไม่ต่ำกว่าสิบคน ทว่าคนที่ประทับใจลึกซึ้งที่สุดเห็นจะเป็นหานเจวี๋ยจากแดนมังกรบูรพา และหานเจวี๋ยผู้มาจากโลกมนุษย์”

“โอ้? ไหนลองเล่ามาซิ”

“หานเจวี๋ยจากแดนมังกรบูรพา เป็นผู้บำเพ็ญที่เก็บตัว ไม่สังกัดสำนักหรือนิกายใด ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ส่วนหานเจวี๋ยผู้มาจากโลกมนุษย์เป็นผู้ที่ข้าเคยได้พบเจอในขณะที่พากเพียรบำเพ็ญในตอนที่ยังเป็นมนุษย์ ข้าเคยประสบหายนะเพราะเขามาแล้ว”

หวงจุนเทียนหวนระลึกถึงอดีต เขาส่ายหน้าพร้อมกับหลุดยิ้มออกมา

จิ่งเทียนกงเอ่ยถาม “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหานเจวี๋ยจากโลกมนุษย์ผู้นั้นเป็นเช่นไร เป็นศัตรูกันหรือ”

หวงจุนเทียนตอบ “อันที่จริงก็เคยชิงชังอยู่บ้าง ทว่ามนุษย์และเซียนอยู่กันคนละโลก อดีตเป็นเพียงหมอกควัน ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง”

เขาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้านิกาย ท่านถามถึงเขาเพราะเหตุใด หรือว่าท่านไปพบเขามา? ไม่มีทาง มหาเคราะห์ผ่านพ้นไปแล้ว เขายังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ”

จิ่งเทียนกงจ้องมองหวงจุนเทียน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย ช่วงนี้มีผู้ทรงพลังนามว่าหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นในแดนเซียน”

“หืม? ท่านช่วยขยายความหน่อยได้หรือไม่” หวงจุนเทียนแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็น

จิ่งเทียนกงบอกเล่าเรื่องของสำนักซ่อนเร้นให้เขาฟัง

หวงจุนเทียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นเองก็มีนามว่าหานเจวี๋ยเช่นกัน ช้าก่อน คงไม่ใช่หานเจวี๋ยที่มาจากโลกมนุษย์ของข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”

เขาเริ่มนับนิ้วทำนาย ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าว “คำนวณไม่พบ สมแล้วที่เป็นบุคคลผู้ทรงพลัง”

………………………………………………..