นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 380 การแข่งขัน 3

ในใจเห้อเฟิงไม่ยอมแพ้ ราวกับมองไม่เห็นสายตาของอาจารย์ตนเองที่โกรธเคือง ตอกกลับกลับไป “สตรีอย่างเจ้าจะมาชี้โบ๊ชี้เบ๊ที่นี่ได้อย่างไร”

“สตรีอย่างข้ายังรู้เลยว่าไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลัง ศิษย์สำนักบัณฑิตไป๋ลู่อย่างพวกเจ้าไม่รู้เรื่องรึไร”

โจวกุ้ยหลานไม่กลัวเลยสักนิด แค่กลุ่มเด็กเหลือขอพวกนี้ ยังกล้ายั่วยุนางรึ

เห้อเฟิงฉุนเฉียวมากจนแทบจะผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ พวกศิษย์ที่อยู่โดยรอบตัวเขาก็ฉุนเฉียวมากเช่นกัน

หนึ่งในนั้นอดทนไม่ไหว พูดอย่างโมโหว่า “สำนักบัณฑิตหนานซานอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ดีนักหรอก! ให้สตรีอย่างเจ้ากับเด็กมาเข้าร่วมการแข่งขันรึไร คนอื่นๆ ของพวกเจ้าหนีไปหมดแล้วล่ะสิ ไม่กล้าสู้กับพวกข้ารึ”

โจวกุ้ยหลานถูกพวกเขาสัพยอก “พวกเจ้าลืมว่าข้าไม่ได้เป็นคนจากสำนักบัณฑิตหนานซานไปแล้วหรือไร อีกอย่าง ข้าบอกเมื่อใดว่าตนเองจะเข้าร่วมการแข่งขัน อีกทั้ง คราวที่แล้วเห้อเฟิงกับพวกเจ้าไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้คามือพวกเมิ่งเจียงรึ เหตุใดพวกเขาต้องกลัวพวกเจ้าเล่า”

ที่กล่าวมา ก็คือเรื่องที่พวกเห้อเฟิงไปสร้างปัญหาที่ร้านไก่ทอดของนางคราวที่แล้ว

เมื่อยกเรื่องนี้มาพูด สายตาของเหล่าสำนักบัณฑิตข้างๆที่มองพวกเขาจึงเปลี่ยนไป

ตอนนี้ใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าสำนักบัณฑิตไป๋ลู่สู้สำนักบัณฑิตหนานซานไม่ได้เล่า

แน่นอนว่า พวกเขาก็สู้ไม่ได้ ทว่าฉากหน้า คนอื่นๆ ล้วนไม่มีทางพูดออกมา

พวกเห้อเฟิงพลันรู้สึกเสียหน้า ยังอยากจะโต้แย้ง แต่ถูกอาจารย์ของตนตะโกนใส่ด้วยความโกรธ

โจวกุ้ยหลานหันไปมองอาจารย์ในวัยสี่สิบกว่า รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ชอบใจนาง

เรื่องเหล่านี้นางก็ไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะพูดอะไรน่ารังเกียจอีก

พิธีกรคนนั้นกล่าวปลอบใจสองสามคำ แล้วพูดว่า “เวลาพวกเราล้วนกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจรอต่อไปได้ เนื่องจากสำนักบัณฑิตหนานซานไม่มีคน เพราะฉะนั้นข้าขอประกาศว่าสำนักบัณฑิตหนานซานสละ…”

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน!”

เสียงอ่อนแรงดังมาจากด้านข้าง คนทั้งหลายหันไปมอง ก็เห็นเมิ่งเจียงจ้าวจงกับคนอื่นๆ ย่างก้าวเลื่อนลอยเดินเข้ามาทางนี้

โจวกุ้ยหลานก็โล่งใจขึ้นมา เห็นพวกเขาทั้งหลายขึ้นไปบนเวที นั่งประจำที่ของตนเอง

แล้วอาจารย์ที่ออกไปด้วยกันจนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

พิธีกรคนนั้นเห็นว่ามากันแล้ว ก็หยุดคำกล่าว แล้วประกาศเริ่มการแข่งขันทันที

สีหน้าพวกเห้อเฟิงเริ่มไม่น่ามอง โดยเฉพาะเห้อเฟิง ที่จ้องเขม็งใส่น้องที่อยู่ข้างๆ ตนอย่างดุดัน

หลังจากโจวกุ้ยหลานเห็นพวกเขานั่งลง ที่ยังคงกุมท้องไว้ตลอด ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

นางคาดเดาในใจได้เล็กน้อย บางที ตอนนี้พวกเขายังคงมีอาการท้องเสีย

หลังจากนั้น ราวกับเป็นการยืนยันการคาดเดาของนาง ทันทีที่พิธีกรคนนั้นประกาศได้สองสามคำแรกของคำถาม ทางด้านสำนักบัณฑิตหนานซานก็กดกริ่งล่วงหน้า ตอบอย่างรวดเร็ว

ทั้งห้าคำถามติดต่อกัน ล้วนเป็นเช่นนี้ พิธีกรคนนั้นก็อึ้งเล็กน้อย

“ขออภัย…ข้อ…ข้อที่หกคืออะไรนะขอรับ”

เมิ่งเจียงลูบเหงื่อเย็นบนใบหน้า ยืนกรานถาม

พิธีกรคนนั้นได้สติกลับคืนมา รีบอ่านคำถามข้อที่หก เพิ่งอ่านไปไม่กี่คำ จ้าวจงตี้ก็กดกริ่ง ตอบคำตอบอย่างว่องไว

พิธีกรคนนั้นพูดตะกุกตะกัก “ถูก…”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ศิษย์จากสำนักบัณฑิตหนานซานก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกัน และวิ่งไปทางห้องส้วม

สถานการณ์เงียบมากจนได้ยินเพียงเสียงลม

พิธีกรใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะหาเสียงของตนเองเจอ “ด้วยประการฉะนี้ ผู้ชนะคือสำนักบัณฑิตหนานซาน…”

ผู้เข้าแข่งขันจากอีกสามสำนักบัณฑิตต่างก้มหัวที่ยโสโอหังลงด้วยความอับอาย

พวกเขายังไม่ทันได้ฟังคำถามให้กระจ่าง ก็แพ้ไปเสียแล้ว อีกทั้งยังได้ศูนย์คะแนน

ต้องบอกเลยว่า การจู่โจมนี้ใส่พวกเขายิ่งใหญ่มาก

อาจารย์ของศิษย์พวกนั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่ตอนนี้นั้น ทำได้เพียงนิ่งเฉย ไม่กล้าจะขายหน้าอีก

โจวกุ้ยหลานมองดูพวกเขาแต่ละคนเหมือนกับกระต่ายวิ่งไปห้องส้วม มือก็เอื้อมไปหยิบแก้วบนโต๊ะ ด้านในยังคงมีน้ำชาอยู่ นางแอบใส่ไว้ในแขนเสื้อตนเอง

จากนั้นมองไปที่สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ ก็พบว่าสีหน้าพวกเขาน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

โจวกุ้ยหลานรู้สึกได้ระบายความโกรธ หากพวกเขาเป็นหนึ่งในสามสำนักบัณฑิตคงจะดี แต่ก็ไม่ต้องร้อนใจไป รอการแข่งขันรอบต่อไป ค่อยประจานพวกเขา

รายชื่อที่เข้ารอบการแข่งขันรอบที่สองออกมาแล้ว มีสี่สำนักบัณฑิต ในจำนวนนั้นก็มีสำนักบัณฑิตไป๋ลู่

ผ่านไปไม่นาน การแข่งขันรอบที่สองก็เริ่มขึ้น แต่คราวนี้ เป็นแบบตัวต่อตัว หรือก็คือสำนักบัณฑิตต่อสำนักบัณฑิต ทั้งสี่สำนักบัณฑิตผลัดกันต่อกร จนสุดท้ายเหลือออกมาสองสำนักบัณฑิต เข้าสู่รอบสุดท้าย

อย่างไรก็ตามรอบที่สาม กลับเป็นการสลับกันตอบ

เมื่อเห็นว่ารอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้น โจวกุ้ยหลานจึงไปปรึกษากับพิธีกร ว่าสามารถเปลี่ยนเวลาได้หรือไม่

พิธีกรคนนั้นก็มองทางเข้าประตูข้างใน แล้วไปปรึกษากับอาจารย์เหล่านั้น ผลสรุปสุดท้ายออกมา คือรอสำนักบัณฑิตหนานซาน

คนแรกที่คัดค้าน ก็คือสำนักบัณฑิตไป๋ลู่

“เหตุใดพวกเราทั้งหลายต้องรอพวกเขา ในเมื่อพวกเขาไม่มีความจริงใจ ดังนั้นการตัดสิทธิ์พวกเขา จะไม่ยุติธรรมกว่าเดิมหรือ”

เห้อเฟิงบนเวทีเป็นผู้นำในการคัดค้าน

ครานี้โจวกุ้ยหลานไม่ได้เริ่มที่จะพูดเอง เพียงแต่มองเขาเหมือนคนโง่เง่า คนแรกที่เดือดดาลใส่เขา ก็คืออาจารย์สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ของพวกเขาเอง

เห้อเฟิงไม่ยอมจำนนมาก แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้าพูดมากเกินไป

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า รู้สึกว่าการที่เขาพ่ายแพ้ให้เมิ่งเจียงไม่อยุติธรรมเลยสักนิด พวกอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงบนสนามนี้ได้ตัดสินใจกันแล้ว เขาคัดค้านออกมาอีกครั้ง นั้นไม่ใช่ว่ากำลังสงสัยในเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิหรือไร

สมควรโดนด่า!

พวกเมิ่งเจียงก็ไม่ได้ปล่อยให้ทุกคนรอนาน ผ่านไปครู่เดียว ก็วิ่งกลับมา เพียงแต่ใบหน้าซีดเชียวอย่างเห็นได้ชัด

แล้วถูกคนนำทางพาไปนั่งประจำที่ตนเอง

ขณะแข่งสลับกันตอบ คนที่เก่งกาจที่สุดคือจ้าวจงตี้ เขาเกือบจะเอาชนะทุกคน ภายในเวลาน้อยที่สุด หลังพวกเขาแข่งไปสามตา ก็ทยอยลุกออกจากที่นั่งอีกครั้ง

ครานี้ สถานการณ์ไม่ได้อยู่นอกเหนือการควบคุมเหมือนครั้งก่อน เพียงแต่เสียงอุทานของทุกคนดังเป็นระยะๆ

เมื่อก่อนรู้ว่าสำนักบัณฑิตหนานซานแข็งแกร่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ นี่มันเป็นการบดขยี้แล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ สำนักบัณฑิตหนานซานเข้าสู่รอบสุดท้าย และกลุ่มที่เข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยกัน ก็มีสำนักบัณฑิตไป๋ลู่

แต่คราวนี้ พวกเขารอเป็นเวลานาน ไม่มีใครจากสำนักบัณฑิตหนานซานกลับมา

เห้อเฟิงลุกขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเราไม่อาจรอไปตลอดอย่างนี้ได้นะ”

ผู้คนอื่นๆ ก็เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า มักจะรู้สึกว่าการปล่อยให้ผู้คนมากมายรอพวกสำนักบัณฑิตหนานซานจะทำให้พวกเขาอึดอัดมาก แต่จะปรับให้สำนักบัณฑิตหนานซานแพ้เช่นนี้ ก็ไม่ยุติธรรม

ขณะนั้น ก็มีการพิพาทกันเซ็งแซ่

โจวกุ้ยหลานเริ่มร้อนรน แต่นางจะไปเรียกก็คงไม่ดี ทั้งเด็กสองคนก็ยังเด็กเกินไป

อาจารย์เหล่านั้นก็ปรึกษาหารือกัน ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะรอเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หากพวกเขากลับมาทัน การแข่งขันจะดำเนินต่อไป หากมาไม่ทัน จะตัดพวกเขาให้สละสิทธิ์

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครคัดค้าน

เวลาค่อยๆ ผ่านไป บางคนที่ไปห้องส้วมกลับมาบอกว่าคนจากสำนักบัณฑิตหนานซานที่อยู่ในห้องส้วมล้วนลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว