นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 381 การแข่งขัน 4
บางคนกำลังคาดการณ์ว่าพวกเขากินอะไรผิดไปหรือไม่ ทำไมทุกคนถึงได้ท้องเสีย
เมื่อก้านธูปมอดลง คนของสำนักบัณฑิตหนานซานก็ยังไม่กลับมา
เมื่อพิธีกรขึ้นมาบนเวที แล้วกำลังจะประกาศการแข่งขันสำนักบัณฑิตหนานซาน ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอันน่าประทับใจว่า: “เช่นนี้อาจจะไม่ยุติธรรมไปหน่อย การแข่งขันนี้เริ่มต้นเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ?”
เมื่อมองตาเสียงนั้นไป โจวกุ้ยหลานก็เห็นหลิวห้าวหรานผู้ซึ่งสุภาพอ่อนโยน และแฝงไปด้วยความโดดเด่น
ผู้ที่มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเอ่ยปากพูด เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องไว้หน้า
บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจ ให้เริ่มรอบสุดท้ายโดยตรง
“รอบสุดท้ายของปีนี้ พวกเราจะไม่แต่งกลอนเหมือนกับปีที่แล้วๆ มาอีกแล้ว”
เมื่อพิธีกรพูดประโยคหนึ่งจบ ในสถานที่ก็เกิดเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา
คาดไม่ถึงว่าปีนี้จะเปลี่ยนกิจกรรมการแข่งขันเหรอ?
“ปีนี้พวกเรามาทดสอบคณิตศาสตร์กัน” พิธีกรคนนั้นประการเนื้อหาการทดสอบเสียงดัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง โจวกุ้ยหลานก็เริ่มแสยะยิ้ม
คณิตศาสตร์อย่างนั้นเหรอ เธอทำได้อยู่แล้ว
“พวกเจ้าอยากไปเข้าร่วมการแข่งขันไหม?” โจวกุ้ยหลานก้มหน้าถามเด็กสองคน
เสี่ยวรุ่ยอานพยักหน้า ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย
เสี่ยวรุ่ยหนิงที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองพี่ชายของตนเองที่ตอบรับ จึงพยักหน้าตามไปด้วย
โจวกุ้ยหลานมองกลับไปอีกครั้ง พิธีกรคนนั้นก็ชี้แจงกติกาจบแล้ว
เธอลุกขึ้นยืน พาเด็กทั้งสองเดินไปยังพิธีกร แล้วเสนอความคิดของตัวเอง
พิธีกรคนนั้นส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง: “รูปแบบการแข่งขันนี้ของพวกเราไม่มีผู้หญิงและเด็กเข้าร่วม”
“ท่านดูสิ พวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ อีกทั้งยังสวมชุดลูกศิษย์ของสำนักบัณฑิตหนานซานอีกด้วย” โจวกุ้ยหลานแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วกล่าวกับพิธีกรคนนั้น
“พวกเราเป็นลูกศิษย์ของสำนักบัณฑิตหนานซาน”
เสี่ยวรุ่ยอานกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ
เสี่ยวรุ่ยหนิงชำเลืองมองพี่ชายของเขา แล้วพยักหน้าตาม: “ใช่”
พิธีกรคนนั้นรู้สึกลำบากใจ: “พวกเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของสำนักบัณฑิตหนานซานได้เหรอ? ถ้าหากพวกเจ้าพ่ายแพ้ พวกเขาจะไม่……..”
“ตอนนี้พวกเขายังไม่กลับมา ขืนรอต่อไปก็คือต้องแพ้ พวกข้ายังมีความหวังอีกเล็กน้อย”
โจวกุ้ยหลานชำเลืองมองเห้อเฟิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกล และหันหน้ากลับมาอีกครั้ง บนใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มอย่างเอาใจ
พิธีกรคนนั้นคิดๆ แล้วก็จริง แต่เมื่อเห็นชุดที่โจวกุ้ยหลานใส่แล้ว ก็ลังเลใจเล็กน้อย: “พวกเขาทั้งสองไม่มีปัญหาหรอก แต่เจ้าที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่คนของสำนักบัณฑิตหนานซานด้วย จะสามารถเข้าร่วมได้อย่างไร?”
“ข้าคือคนของสำนักบัณฑิตหนานซาน ซักเสื้อผ้าทำอาหารให้พวกเขา เป็นหน่วยสมทบของสำนักบัณฑิตหนานซาน ข้าไม่อาจนิ่งดูดายมองสำนักบัณฑิตหนานซานถูกทำลายเช่นนี้!”
ประโยคนั้นของโจวกุ้ยหลานแสดงถึงความน่าเกรงขาม นิสัยที่กล้าหาญและเสียสละเพื่อผู้อื่น
พิธีกรคนนั้นไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงว่าไปหาผู้อาวุโสผู้มีคุณธรรมสองสามคน และพูดเรื่องนี้กับพวกเขา
คนเหล่านั้นส่ายหน้าตามๆ กัน ต่างก็ไม่ยินยอม
พิธีกรเข้ามา และส่ายหน้ากับโจวกุ้ยหลาน: “พวกเขาบอกว่าพวกคุณไม่สามารถเป็นตัวแทนสำนักบัณฑิตหนานซานได้”
“ทำไมสำนักบัณฑิตหนานซานของพวกข้าส่งพวกข้ามาเป็นตัวแทนไม่ได้ล่ะ? หรือคิดว่าถ้าหากพวกเราชนะแล้วจะทำให้สำนักบัณฑิตไป๋ลู่เสียหน้าหรือ?”
โจวกุ้ยหลานใช้ความสามารถช่างเจรจาที่นางเคยใช้มาตลอด พิธีกรทำได้เพียงนำคำพูดนี้ขึ้นเวทีไปเล่าให้คนเหล่านั้นฟังอีกครั้ง
กลุ่มคนปรึกษาหารือกันอีกครั้ง คนหลายคนถกเถียงกัน หลังจากนั้นพิธีกรคนนั้นก็ไปหาคนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ อาจารย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่มีสีหน้าซีดเผือดไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานคิดๆ แล้ว คาดว่าจะถูกประโยคนั้นของนางทำให้โมโห
“ให้พวกนางเข้าร่วม! ข้าก็อยากจะดูซิว่า หากสำนักบัณฑิตหนานซานพ่ายแพ้ท่านเจิ่งจะว่าอย่างไร!”
คำพูดที่ผสมความโกรธนี้ ลอยอยู่ในสนาม
ตามความโกรธของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ โจวกุ้ยหลานจึงพาลูกชายทั้งสองไปนั่งบนที่นั่งของสำนักบัณฑิตหนานซาน
ดวงตาของเห้อเฟิงและคนอื่นๆ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นี่ช่างเป็นการดูถูกเหยียดหยามสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ของพวกเขาจริงๆ!
คาดไม่ถึงว่าจะให้พวกเขาแข่งขันกับผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสองคนเช่นนั้นหรือ? ช่างเป็นเรื่องโง่เง่ายิ่งนัก!
โจวกุ้ยหลานพาเด็กสองคนนั่งบนที่นั่ง ลูกชายของตนเองนั่งอยู่ด้านหน้าสุด เตรียมพร้อมที่จะสั่นกระดิ่งได้ทุกเมื่อ
ถ้าหากเป็นการแข่งขันอื่นๆ นางก็ไม่กล้านั่งบนเวทีนี้จริงๆ แต่นี่เป็นคณิตศาสตร์ไม่ใช่หรือ? ในชาติที่แล้วนางเรียนมาถึงสิบเก้าปี ก็ไม่ใช่ว่าจะเปล่าประโยชน์
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมตำแหน่งของสำนักบัณฑิตหนานซานถึงมีผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคนมานั่งได้ล่ะ?”
“เจ้าไม่ได้ฟังที่พิธีกรพูดเหรอ? พวกเขาเป็นตัวแทนของสำนักบัณฑิตหนานซาน!”
“อะไรนะ? สำนักบัณฑิตหนานซานไม่มีใครแล้วหรือ? นี่มันเหลวแหลกเกินไปแล้ว!”
“นั่นน่ะสิ! อีกสักครู่ฉันว่าพวกเขาตอบไม่ได้เลยสักข้อ ถึงเวลานั้นก็คงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง!”
เห็นด้านล่างเวที มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลังจากที่เห็นฉากนี้แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กัน เมื่อชำเลืองมองโจวกุ้ยหลานและเด็กทั้งสองคนแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่าสำนักบัณฑิตหนานซานช่างน่าขำขันเสียจริงๆ
ได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์และคำเย้ยหยันของคนเหล่านี้ และบรรดาอาจารย์แต่ละคนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ที่แสดงสีหน้าเยาะเย้ย
แต่เห้อเฟิงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนเวทีเชิดหน้าขึ้น เวลานี้ ภายในใจค่อนข้างรู้สึกลำพองใจ นี่คือชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว
ผู้หญิงคนหนึ่ง? เด็กตัวเล็กๆ สองคน? มาแข่งขันกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ? ล้อเล่นอะไรหรือเปล่า? มันช่างน่าหัวเราะเสียจริง!
การแข่งขันครั้งนี้ มั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแน่นอน!
เห้อเฟิงกับคนอีกสองสามคนสบตากัน และรู้ว่าในดวงตาของอีกฝ่ายแสดงถึงความสบายๆ ไม่เครียด
พิธีกรก็ไม่ได้เสียเวลาอีกต่อไป ยืนอยู่ตรงกลางแล้วกล่าวโจมย์ปัญหา
“วันนี้มีไก่ตัวผู้หนึ่งตัว มูลค่าห้าตำลึง ; ไก่ตัวเมียหนึ่งตัว มูลค่าสามตำลึง ; ลูกไก่สามตัว มูลค่าหนึ่งตำลึง เงินหนึ่งร้อยตำลึงซื้อไก่ได้กี่ร้อยตัว? ระยะเวลาคือธูปครึ่งดอก ทุกคนสามารถเขียนคำตอบลงในสมุดบันทึกได้เลย”
โจวกุ้ยหลานฟังหัวข้อพลาง หยิบพู่กันขึ้นมา หลังจดบันทึกตัวเลขสองสามตัวอย่างคล่องแคล่ว ก็กล่าวกับลูกชายทั้งสองว่า: “คำนวณดีๆ”
เด็กทั้งสองหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนลงสมุด
โจวกุ้ยหลานก็หยิบปากกาขึ้นมาแล้วจุ่มหมึก แล้วกำหนดจำนวนไก่เป็นจำนวนที่ไม่รู้ จากนั้นก็เขียนสมการเชิงเดี่ยวออกมา เพียงแค่สองลมหายใจ นางก็คำนวณออกมาได้แล้ว จึงนำคำตอบเขียนลงบนกระดาษแผนที่ว่างเปล่า แล้วนำกระดาษคว่ำเอาไว้บนโต๊ะ และก้มมองไปยังรุ่ยอาน
เสี่ยวรุ่ยอานคำนวณในกระดาษทีละนิดๆ คาดไม่ถึงว่าในนั้นจะมีจำนวนเศษส่วนมากมาย เมื่อโจวกุ้ยหลานเห็นเศษส่วน ภายในใจจึงรู้สึกตื่นเต้น ที่แท้ในเวลานี้ ก็มีเศษส่วนแล้วหรือ?
ดูท่าคณิตศาสตร์ในช่วงเวลานี้จะมีการพัฒนาที่ดีอย่างมาก เพียงแต่วิธีการคำนวณนั้นซับซ้อนเกินไป
นางหันไปมองเสี่ยวรุ่ยหนิง ก็พบว่าในสมุดของเขามีวงกลมหลายวง เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว วงกลมนั้นมีทั้งวงเล็กวงใหญ่
โจวกุ้ยหลาน: “นี่คืออะไรหรือ?”
เสี่ยวรุ่ยหนิงเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มหวาน: “คือไก่ วงใหญ่ที่สุดนี้คือไก่ตัวผู้ รองลงมาคือไก่ตัวเมีย วงเล็กสุดคือลูกไก่!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง……..”
โจวกุ้ยหลานหาคำพูดมาอธิบายความรู้สึกของตนเองไม่ได้ จึงตอบกลับไปเช่นนี้
ไม่ได้รับคำชม เสี่ยวรุ่ยหนิงจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงก้มหน้าลงทันที เบ้ปาก และวาดไก่ต่อไป
เมื่อมองไปยังสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง ลูกศิษย์เหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่ม และปรึกษาหารือกันเบาๆ
ลูกศิษย์เหล่านั้นที่ตกรอบก็มองมาทางด้านนี้ ก็เห็นเพียงโจวกุ้ยหลานนั่งทึ่มทื่อ พวกเขาก็รู้สึกเอือมระอา จึงเคลื่อนสายตาออก แล้วมองไปที่ทางด้านของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่
เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที ตัวเลขบนกระดาษในมือของเสี่ยวรุ่ยอานก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าน้อยๆ ของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึม