บทที่ 488 จินตนาการ

บทที่ 488 จินตนาการ

เหยาเอ้อหลางคว่ำจอกเป็นคนสุดท้าย แล้วพบว่าเจี่ยงเถิงยังถือจอกสุรามองออกไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเหม่อลอยจึงได้เข้าใจ ก่อนจะรุดหน้าเข้าไปพูดว่า “มองอะไร? ถือโอกาสผู้คนเมามายนี้ แล้วรีบไปดูสิ”

เจี่ยงเถิงพยักหน้า จากนั้นยัดจอกสุราใส่มือของเหยาเอ้อหลาง ก่อนจะหมุนตัววิ่งหายไป

ส่วนองค์รัชทายาทและเซี่ยเซินไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับจ้อง

เซี่ยเซินยังพยายามโน้มน้าวองค์รัชทายาท “ฝ่าบาท ถือโอกาสในช่วงที่คนกำลังชุลมุนรีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ประเดี๋ยวคนน้อยเราจะตกอยู่ในอันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาทดื่มสุราย้อมใจอีกหนึ่งจอก แล้วลุกพรวดขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ “ไปเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเซินรีบลุกขึ้นยืนและนำทางไป ทั้งสองคนเดินไปยังประตูข้างของจวนท่านแม่ทัพที่มีคนเข้าออกน้อยที่สุด

“เอ๊ะ? ฝ่าบาท” ขณะที่เดินนั้น เซี่ยเซินเหลือบไปเห็นองค์รัชทายาทถือของบางอย่างในมือ “นี่คือสิ่งใด? เหมือนกับกล่องผ้าที่เป็นของขวัญชิ้นนั้น ฝ่าบาทยังไม่มอบให้พี่สาวของข้าอีกหรือ?”

มือขององค์รัชทายาทถือกล่องผ้าไว้แน่น เขาอยากมอบให้ อยากให้ด้วยตัวเอง

แต่ก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะเขากลับเห็นคนที่ตัวเองหลงรักปักใจกำลังให้ของขวัญแก่ผู้อื่น นั่นไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด!

ความโกรธเกรี้ยวพลันปะทุขึ้นในใจ องค์รัชทายาทโยนกล่องผ้านั้นให้เซี่ยเซิน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ “เจ้าช่วยนำไปมอบให้พี่สาวเจ้าแทนข้าด้วย”

“หา?” เซี่ยเซินมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าไปหมด “ไหน ๆ ก็มาแล้ว เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่เสด็จไปมอบให้นางด้วยตัวเองเล่า?”

“อย่าถาม” องค์รัชทายาทหันหน้าของเซี่ยเซินไปอีกทาง “ไปเรียกรถม้า”

พวกเขาออกมาก่อน เดิมทีรถม้าที่นัดไว้ยังรออยู่นอกเส้นทางอีกเส้น

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าเสด็จไปไหน ข้าจะรีบไปรีบกลับ” เซี่ยเซินกำชับย้ำอีกสองสามรอบ แล้วรีบวิ่งไปเรียกรถ

องค์รัชทายาทยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ไม่นาน จู่ ๆ ก็ยกหมัดขึ้นมาชกกำแพงอย่างแรง จากนั้นก็เริ่มสบถอย่างอดไม่ได้

“องค์รัชทายาท”

เสียงอันแผ่วเบาเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นจากด้านหลัง องค์รัชทายาทหยุดชะงัก ก่อนจะหมุนตัวกลับมา และเห็นเจี่ยงเถิงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

“ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด ตอนนี้ฝ่าบาทควรถูกขังอยู่ในวังกระมัง?”

เจี่ยงเถิงเดินรุดหน้าสองสามก้าวด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่นัยน์ตากลับไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

องค์รัชทายาทรีบดึงสติกลับมาจากความกระวนกระวายใจ แล้วเงยหน้าขึ้นพลางพูดว่า “แล้วอย่างไร? ครั้นข้าออกมาได้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเป็นเจตนารมณ์ของผู้ใด?”

เจี่ยงเถิงเข้าใจว่าเป็นการอนุญาตจากจักรพรรดิ เพราะเช่นนี้ในใจเขาจึงไม่สบายใจอย่างมาก

เหตุใดจักรพรรดิถึงกล้าเสี่ยงครั้งใหญ่ด้วยการอนุญาตให้องค์รัชทายาทออกจากวัง เพียงเพราะพิธีปักปิ่นของอาซือเช่นนั้นหรือ? หรือว่าจักรพรรดิทรงมีเจตนาจะเป็นสื่อกลางให้องค์รัชทายาทกับอาซือ?

“เจี่ยงเถิง ข้าบอกไปแล้ว เราสองคนเก่งกันคนละอย่าง” องค์รัชทายาทเยาะเย้ย

เจี่ยงเถิงแสยะยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เก่งกันคนละเรื่อง หวังว่าองค์รัชทายาทจะไม่ใช้กลอุบายแกล้งทำตัวล่องหนแอบฟังผู้อื่นอยู่ในมุมกำแพงหรอกนะพะยะค่ะ เช่นนั้นคงเสียหน้าไม่น้อย”

องค์รัชทายาทตื่นตระหนก หรือว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ถูกจับได้? เป็นไปได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตัวเองชิ่งหนีไปก่อนที่อาซือจะเดินมาถึง ทั้งยังคอยสังเกตการณ์อยู่ไกล ๆ อีกพักใหญ่ พวกเขาสองคนน่าจะไม่เจอหลักฐานอะไรหรอกกระมัง

หรือว่าเจี่ยงเถิงกำลังหลอกถามความจริงจากเขา?

ครั้นนึกถึงคุณงามความดีและเกียรติยศที่เลื่องลือไปทั่วเมืองของเจี่ยงเถิง องค์รัชทายาทจึงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้ที่สุด

“เจ้าสำคัญตัวผิดเกินไปกระมัง?” องค์รัชทายาทแสยะยิ้ม “ใครจะไปแอบฟังเรื่องของเจ้าอยู่ในมุมกำแพง”

เจี่ยงเถิงยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นมาชี้หลังคอของตัวเอง

สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบด้านหลัง เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงดอกเหมยดอกหนึ่งที่ติดอยู่ใต้ปกเสื้อหลังคอ

“ฝ่าบาท ห้องโถงด้านหน้าและเส้นทางที่ฝ่าบาทเสด็จมาเมื่อครู่ไม่มีดอกเหมยพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงเถิงยิ้ม

องค์รัชทายาทขยำดอกไม้ดอกนั้นด้วยความโมโห ทั้งยังกัดฟันกรอดจนเกือบแตก

โชคดีที่เซี่ยเซินกลับมาในตอนที่สถานการณ์กำลังจะระเบิดพอดี จากนั้นก็เบิกตากว้างจ้องมองไปยังเจี่ยงเถิงด้วยสายตาไร้เดียงสา แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “พี่ พี่เจี่ยง?! ท่าน ท่านเจอเราแล้ว”

เจี่ยงเถิงแค่อยากมั่นใจว่าไม่ได้จำองค์รัชทายาทผิด หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ใจแล้ว ก็ไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายอีก โชคดีที่เซี่ยเซินกลับมาพอดี จึงกล่าวว่า“ฝ่าบาทรีบเสด็จกลับวังเถิด กระหม่อมไม่รบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ก่อนพูดกับเซี่ยเซินว่า “หลังจากส่งเสด็จองค์รัชทายาทแล้วให้กลับมาเร็วหน่อย คืนนี้ทุกคนรอกินข้าวพร้อมเจ้า อย่าลืมพาท่านราชครูมาด้วย เราตระเตรียมที่ไว้ให้เขาแล้ว”

“ขอรับ!” เซี่ยเซินดีใจที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างไม่อาจควบคุมได้ กระทั่งลืมสนใจสีหน้าเคร่งขรึมขององค์รัชทายาทข้างกาย

เขายืนส่งทั้งสองคนจากไป รถม้าหายไปจากสายตา มุมปากของเจี่ยงเถิงเปลี่ยนมาเหยียดตรง จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมกลับห้องโถงกลาง ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อหันกลับมาจะเกือบชนกับเหยาเอ้อหลาง

“เยี่ยม” เหยาเอ้อหลางรีบถอยหลังสองสามก้าว พลางปรบมือชื่นชมเจี่ยงเถิง “กล้าเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทอย่างไม่สะทกสะท้าน เจี่ยงเถิง ข้าคงต้องมองเจ้าใหม่เสียแล้ว”

“เอาละ เจ้าหยุดทำตัวสกปรกกับข้าได้แล้ว” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้วแล้วผลักเหยาเอ้อหลางออกไป “เจ้าว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงได้ทรงยอมให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของอาซือกัน? มิควรด้วยซ้ำ สิ่งที่จักรพรรดิต้องการที่สุดในตอนนี้คืออยากให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังเขาเพื่อให้เหล่าขุนนางในราชสำนักกลับมาเชื่อใจเขาอีกครั้ง เหตุใดจะต้องเสี่ยงให้องค์รัชทายาทออกนอกวังเพียงเพราะพิธีปักปิ่นเล็ก ๆ เช่นนี้ด้วย ไม่ปกติเลยจริง ๆ”

เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม จากนั้นก็พูดด้วยความงุนงง “เจ้ากำลังจะบอกว่าจักรพรรดิต้องการเป็นสื่อกลางระหว่างอาซือกับองค์รัชทายาทงั้นรึ? แบบนี้ก็ยุ่งนะสิ”

“แต่เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง” เจี่ยงเถิงโต้กลับ “ท่านแม่ทัพครอบครองอำนาจทหาร ถ้าอาซือกลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทจริง ๆ ต่อไปเขาก็ต้องเสี่ยงกับการเผด็จการของญาติฝ่ายหญิง ระดับความระแวดระวังของจักรพรรดิ จะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

“แล้วอย่างไรเล่า?” เหยาเอ้อหลางปวดหัว ทันทีที่เริ่มใช้สมองก็รู้สึกได้ถึงความแรงของฤทธิ์สุราที่เพิ่งดื่มเข้าไป สมองจึงเกิดอาการวิงเวียน

“ข้าเองก็ไม่รู้ ทำได้แค่เดินทีละก้าวแล้วว่ากันทีหลัง” เจี่ยงเถิงพูด

“เช่นนั้น ถ้าจักรพรรดิมีความคิดนั้นจริง ๆ เจ้าจะทำอย่างไร?” เหยาเอ้อหลางข่มเสียงหวิว ๆ ในสมองไว้ แล้วถามคำถามที่อยากรู้มานานแล้ว

“ความจริงแล้วข้าหลีกเลี่ยงคำถามนี้มาตลอด เพราะมักรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้” เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า “แต่การหลบเลี่ยงไม่ใช่วิธีการที่ดี ถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง ๆ ข้าคงทำได้แค่ขัดต่อพระราชโองการ”

“หา?” เหยาเอ้อหลางเลิกคิ้วสูง “ข้าคิดว่าเจ้าจะพูดบางอย่างเพื่ออาซือ เพื่อจวนแม่ทัพ เพื่อความวุ่นวายเหล่านั้น แล้วน้อมรับชะตากรรมแต่โดยดี”

“เราเป็นพี่น้องด้วยกันมาหลายปี ในสายตาของเจ้าข้าเป็นคนแบบนี้หรือ?” เจี่ยงเถิงสวนกำปั้นใส่เหยาเอ้อหลาง “อีกอย่างข้าเข้าใจอาซือดี แล้วก็สำหรับท่านอาซู อาซือเข้าวังไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับนาง ท่านอาซูและคนอื่นก็คงจะแล้วแต่ความปรารถนาของอาซือ ย่อมไม่มีทางขายลูกสาวกินแน่นอน”

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ก็ดี” เหยาเอ้อหลางตบไหล่ของเจี่ยงเถิง “เต็มที่ พี่น้องอย่างข้าจะสนับสนุนเจ้าตลอดไป”

……………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เจี่ยงเถิงพอโตแล้วกลายเป็นคนฉลาดเจ้าเล่ห์ขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย รู้ทันรัชทายาททุกทางเลย

ไหหม่า(海馬)