บทที่ 489 เสร็จสิ้น

บทที่ 489 เสร็จสิ้น

“ไม่พูดกับเจ้าแล้ว นี่ก็ใกล้จะครึ่งชั่วยามแล้ว ข้าต้องไปรับอาซือ” เจี่ยงเถิงและเหยาเอ้อหลางลดหมัดลง แล้วรีบเดินไปยังเรือนเล็กของหลินซือโดยเร็ว

ครั้นเร่งฝีเท้ามาถึง ยังไม่ทันที่เจี่ยงเถิงจะเปิดประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของหลินซือดังออกมาจากในห้อง นอกจากเสียงของหลินซือแล้ว ก็ยังมีเสียงชายหนุ่มอย่างชัดเจนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

อีกทั้งเสียงนี้แม้ว่าเขาจะได้ยินเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับเป็นความทรงจำที่ฝังรากลึกมากทีเดียว

ไม่ใช่อวี้อวี้แล้วจะเป็นใคร?

“อาซือ” เจี่ยงเถิงเคาะประตู “ตื่นแล้วใช่ไหม?”

“ตื่นแล้ว ๆ” หลินซือตะโกนออกมา “เข้ามาสิพี่อาเถิง พี่อวี้มาแล้ว”

เจี่ยงเถิงไม่เคยดีใจกับการมาของอวี้อวี้เลยแม้แต่น้อย พูดได้ว่าหลายครั้งที่เขาเจออวี้อวี้ เหมือนจะไม่เคยดีใจเลยทุกครั้ง เพราะอวี้อวี้ผู้นี้แม้จะเชี่ยวชาญด้านหยกแต่กลับไร้สมอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจหลักธรรมนองคลองธรรม และไม่รู้จักรักษาระยะห่างกับผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่นการตระหนักในเรื่องชายหญิงไม่ควรสนิทกัน

เหมือนอย่างในตอนนี้ อวี้อวี้นั่งอยู่หัวเตียงของหลินซือ ไม่รู้ว่าพูดอะไรแต่ก็ทำให้หลินซือหัวเราะจนตัวงอได้ เขาเตรียมจะเข้าไปประชิดตัวอวี้อวี้ทันที

“พี่อาเถิง พี่มานี่เร็ว” หลินซือกวักมือเรียกด้วยสายตาเปล่งประกาย “พี่อวี้เล่าเรื่องตลกมาก พี่รีบมาฟังด้วยกันเร็วเข้า”

เจี่ยงเถิงส่งยิ้มที่ดูปกติให้กับอวี้อวี้ แล้วหันหน้าไปพูดกับหลินซือด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อาซือ จวนจะได้เวลาแล้ว เจ้าต้องไปโถงกลาง พิธีปักปิ่นจะเสร็จแล้ว”

“ก็ได้” หลินซือลุกขึ้นยืนให้สาวใช้ใส่เครื่องหัวบนศีรษะของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ลืมดึงตัวอวี้อวี้แล้วพูดว่า “พี่อวี้ รอข้าเสร็จพิธีพี่ค่อยมาเล่าให้ข้าฟังต่อดีไหม?”

อวี้อวี้ดีดมือของหลินซืออย่างแผ่วเบา แล้วพูดด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ช่างเถอะ ข้ากลัวว่าขืนอยู่ที่นี่ต่อ คืนนี้คงถูกใครบางคนเตะเป็นกระสอบทรายแน่”

เจี่ยงเถิงคิดถูก อวี้อวี้ไม่ค่อยเข้าใจหลักธรรมนองคลองธรรมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ตระหนักรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่น ความชิงชังที่เจี่ยงเถิงมีต่อเขานั้นซ่อนไว้อย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ซ่อนไว้ไม่มิด อวี้อวี้สัมผัสถึงแรงชิงชังนี้ตั้งแต่เจอกับเขาครั้งแรก

หลินซือมองเขาอย่างโง่เขลา “กระสอบทรายอะไร? พี่ไปล่วงเกินใครเข้าใช่ไหม พี่อวี้?”

“ข้าล่วงเกินเจ้าต่างหาก!” อวี้อวี้กลอกตาใส่หลินซือ “ของก็ให้แล้ว ข้าไปล่ะ พวกเจ้าอยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย ข้าไม่เอาไปพูดข้างนอกหรอก”

หลินซือตีมือของอวี้อวี้ “อย่าพูดเหลวไหล”

“ไปแล้ว” อวี้อวี้จัดระเบียบเสื้อผ้า หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาอีก จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของหลินซือ “อย่าบอกกับผู้อื่นว่าข้ามาคุยกับเจ้า”

“หลี่จื้อสิงยังไม่ปล่อยพี่อวี้หรือ?” หลินซือเข้าใจในทันที

“เขาบ้า อย่าไปสนใจเขาเลย” อวี้อวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง

จบเรื่องนี้ อวี้อวี้ก็จากไปจริง ๆ ในตอนที่เดินผ่านเจี่ยงเถิงก็ยังมิวายส่งยิ้มแบบมีเลศนัยให้กับเขา

เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว แล้วดึงมือของหลินซือประคองนางให้ลุกขึ้น “เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอะไรกัน?”

“พี่อวี้พูดถึงแขกพิสดารผู้หนึ่ง ข้าขำจนท้องแข็ง” หลินซือกระตือรือร้น เล่าเรื่องที่อวี้อวี้บอกนางให้เจี่ยงเถิงอย่างรวดเร็ว ช่างมีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องยิ่งนัก

“ตลกหรือไม่?” หลินซือฉีกยิ้มกว้าง ไม่เหลือเค้าบุตรสาวของทุกคนเลยแม้แต่น้อย

เจี่ยงเถิงไม่ขำเลยสักนิด ครั้นนึกได้ว่านอกจากเขาแล้วยังมีผู้ชายที่สามารถเข้ามาในห้องนอนของหลินซือ ทั้งยังนั่งบนเตียงของหลินซือได้ ตอนนี้เจี่ยงเถิงจึงอยากจะต่อยอวี้อวี้สักฉาก

“พี่อาเถิง?” หลินซือยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าของเจี่ยงเถิง “พี่กำลังคิดอะไร? ดูเหม่อลอยเชียว”

เจี่ยงเถิงได้สติกลับมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร แค่คิดขั้นตอนที่อีกประเดี๋ยวจะเกิดขึ้น”

“ไอหยา เรื่องนี้ถูกวางแผนไว้อย่างดีแล้ว พี่อย่ากังวลเลย” หลินซือผลักเจี่ยงเถิงให้เร่งฝีเท้า “พี่กลับไปพักเถอะ ข้าจะเข้าไปเดินข้างใน จากนั้นก็ส่งแขกเป็นอันจบ”

เจี่ยงเถิงไม่อยากนั่งพัก เขาอยากอยู่กับอาซือ ให้คนที่มาได้รู้ว่าอาซือเป็นสะใภ้ของตระกูลเจี่ยงแล้ว

แต่ทำไม่ได้

เจี่ยงเถิงจึงทำได้แค่ยิ้ม “ได้ เช่นนั้นอาซือก็ระวังตัวด้วย”

”มีพี่ไป๋อยู่ทั้งคน ไม่มีปัญหาแน่นอน” หลินซือตอบรับ

ไม่กี่ชั่วยามก็เป็นเวลาอาทิตย์อัสดง ในที่สุดก็ส่งแขกทุกคนเรียบร้อย หลินซือทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นอับดับแรก แต่ครั้งนี้ไม่มีใครสนใจนางแล้ว เหยาซูกำลังยุ่งกับการเก็บกวาดงาน ไป๋หรูปิงก็เหนื่อยจนไม่มีแรง การนั่งในท่าที่สง่าผาเผยบนเก้าอี้ทั้งวันทำให้นางหมดเรี่ยวแรง

“อาซือ โตเป็นสาวแล้วสินะ” เหยาเอ้อหลางที่ตอนนี้สร่างเมาไปบ้างแล้ว เขากำลังฟื้นสติ เลยเข้ามาหยอกล้อหลินซืออีกครั้ง

หลินซือปรายตามองเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกน “ท่านพ่อ…”

“ชู่!” เหยาเอ้อหลางตื่นตัว รีบทำสัญลักษณ์ห้ามส่งเสียงทันที จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล “น้องสาวตัวดี ไม่สิ พี่สาวตัวดี ข้าผิดไปแล้ว พี่ได้โปรดเข้าใจ เงียบปากเถอะ”

เหยาเอ้อหลางให้ความเคารพหลินเหราและเลื่อมใสหลินเหรามาก แต่ก็กลัวเขาที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ตัวเองถูกเขากดลงบนพื้นเพราะหยอกเย้าหลินซือ หัวใจของเด็กน้อยเลยทิ้งเงาดำอยู่ลึก ๆ ในใจ

หลินซือส่งเสียงเยาะหนึ่งเสียง ไม่สนใจเหยาเอ้อหลาง หลับตาเก็บแรงต่อไป

ไม่นาน ก่อนที่หลินซือจะเคลิ้มหลับบนม้านั่งแบบนี้ พลันมีของเย็นชิ้นหนึ่งสัมผัสริมฝีปากของนาง

“หื้อ?” หลินซือลืมตามองอย่างสะลืมสะลือ ก็เห็นเจี่ยงเถิงกำลังส่งยิ้มให้นาง

เขาเลื่อนสิ่งของที่อยู่ตรงปาก แล้วพูดว่า “น้ำดอกกุ้ยฮวา ดื่มเสีย ประเดี๋ยวไปนอนในห้อง ตรงนี้ลมหนาวเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

หลินซืออ้าปาก น้ำหวานค่อย ๆ ไหลเข้ามาในปากของนาง โดยไม่กระฉอกแม้แต่หยดเดียว

“สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘เสื้อมาค่อยชูมือ ข้าวมาค่อยอ้าปาก’ จริง ๆ” เหยาเอ้อหลางกลั้วหัวเราะ “ถ้าภรรยาในอนาคตของข้าเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเจี่ยงเถิง ชีวิตนี้ข้านับว่าคุ้มแล้ว”

“หายากน่ะสิ” หลินจื้อเดินเข้ามาหยอกเย้าทั้งสองคน ประเด็นหลักคือต้องการมาประคองไป๋หรูปิงไปพักผ่อน ครั้นเห็นท่าทางเกียจคร้านของหลินซือเลยคิดว่าภรรยาของตัวเองต้องขุ่นเคือง จึงอดพูดไม่ได้

ครั้นเห็นพี่ชายของตัวเอง หลินซือก็รีบลุกขึ้นมานั่ง ช่วยประคองพี่สะใภ้ทันที

“ไม่ต้อง!” หลินจื้อรีบเข้าไปขวางหลินซือ ส่งสายตาไปทางเจี่ยงเถิงให้พาเจ้าตัวออกไป “ขืนให้เจ้าดูแลคนหนึ่ง แต่มีอีกสิบคนดูแลเจ้าเช่นนี้ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

หลินซือถูกพี่ชายหมางเมิน จึงมองไปทางเจี่ยงเถิงเหมือนจะร้องไห้ “พี่อาเถิง ข้าขี้เกียจเพียงนั้นหรือ?”

เจี่ยงเถิงยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด จากนั้นก็พาหลินซือที่กำลังเสียใจไปพักผ่อน

………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อาซือโตเป็นสาวแล้วนะคะ หนูต้องชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองได้แล้วน้า

ไหหม่า(海馬)