ตอนที่ 275 ติดกับดักความรัก
หลีจื่อฟานถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ใช้มือซับคราบเลือดที่มุมปาก จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย
เพียงแค่คำพูดที่เปล่งออกมา กลับแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังหลายส่วน “ข้าไม่เป็นไร ชิงลั่ว ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าข้าจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
หลังจากหลี่จือฟานพูดจบ เขาก็หันมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง จากนั้นก้าวเท้าเดินไปเปิดประตูห้องตำราด้วยท่าทางซวนเซ ก่อนจะออกตัววิ่งออกจากตำหนักอ๋องซิวอย่างจนมุม
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น ก้าวเท้าทำท่าจะตามไป
น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะก้าวเดินได้เพียงก้าวเดียว ร่างกายกลับถูกใครบางคนดึงกลับไปอีกหน แรงที่อยู่บนบ่าส่งไปที่เอว ส่วนหลังของนางแนบชิดเข้ากับอ้อมกอดเย็นชาของใครบางคน ข้างหูมีเสียงเตือนเย็นยะเยือก “อวี้ชิงลั่ว หากเจ้ากล้าตามไป เราจะทำให้เจ้าต้องเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต”
“เย่ซิวตู๋ ร่างกายของหลีจื่อฟานเสียหายอย่างหนัก ข้าจะไปดูอาการเขา” อวี้ชิงลั่วใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลก ๆ ที่มิอาจบรรยายได้ ตอนนี้ความหมายในคำพูดของเย่ซิวตู๋ที่นางได้ยินก็ต่างไปจากเดิม
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ซิวตู๋แทนตัวเองว่า ‘เรา’ ต่อหน้านาง
“ร่างกายของเขาจะเป็นเช่นไรก็เรื่องของเขา มิได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า เหตุใดเราถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมอปีศาจจะกลายเป็นคนมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ เห็นใครป่วยก็รีบออกไปช่วยเหลือแล้ว?” เย่ซิวตู๋จับแขนของนางและหมุนตัวอีกฝ่ายกลับมาแรง ๆ ทั้งยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแน่น
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น “เย่ซิวตู๋ ท่านช่วยพูดให้มีเหตุผลหน่อยไม่ได้เชียวรึ?”
“สำหรับเจ้า เราไม่เคยรู้ว่าพูดอย่างมีเหตุผลคืออะไร” เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “หุบปากของเจ้าซะ หากกล้าพูดแม้แต่คำเดียวจนทำให้ข้าไม่มีความสุข ทั้งชีวิตนี้ของเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้รู้ที่อยู่ของแม่นมเก๋อ”
“เย่ซิวตู๋ ท่าน…” ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
อวี้ชิงลั่วขบฟันกรอด ทว่าเท้าที่ทำท่าจะก้าวออกจากประตูกลับหยุดชะงักลงจริง ๆ
เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ จึงค่อย ๆ คลายมือและแย้มยิ้มออกมา “เรายังมีธุระ เจ้าก็จงอยู่ในตำหนักอ๋องอย่างว่าง่ายเถอะ”
ระหว่างที่พูดเขาก็ไม่รอให้อวี้ชิงลั่วมีโอกาสได้ตอบ หมุนกายเดินออกจากห้องตำราไป
เพียงแต่แผ่นหลังของเขาดูคล้ายกับตอนที่หลีจื่อฟานเดินออกไปอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าดูราวกับสุนัขจนตรอก
อวี้ชิงลั่วชี้นิ้วเล็กน้อยแต่กลับพูดไม่ออก นางยืนอยู่ในห้องตำราเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินออกไป
นับตั้งแต่วันนั้น เย่ซิวตู๋ก็ทำทีราวกับหลบหลีกนาง นางไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาอีกเลย
ต่อให้อวี้ชิงลั่วตั้งใจไปหาเขา ก็ได้เห็นเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินหนีไป
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักอ๋องต่างก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตำหนักอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเย่ซิวตู๋ที่มีสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเมื่อก่อน เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนทำทีเหมือนกับกำลังทำงานยุ่ง ไม่มีใครอยากปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา
คนที่ลำบากก็มีแค่เสิ่นอิงกับอีกสามคนที่เหลือที่อยู่ข้างกายเย่ซิวตู๋ตลอดเวลา การเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องทำตัวสงบเสงี่ยม
พวกเขาอยากให้อวี้ชิงลั่วไปพบหน้านายท่านเพื่อคืนดีกัน จากนั้นทุกคนก็จะกลับมามีความสุข ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่ดูคล้ายตะกรันน้ำแข็งของนายท่าน ทั้งสี่คนจึงทำได้เพียงแค่หดหัว ล้มเลิกความคิดที่คิดเองเออเองทั้งหมด
อวี้ชิงลั่วไปหาเขาแต่ก็ไม่ได้เจอเขามาหลายครั้ง โกรธจนถึงขั้นยิ้มเยาะไม่หยุด นางตบโต๊ะจนโต๊ะเกือบแตกกระจาย
แม้แต่เยว่ซินที่ไม่ได้มีความจริงจังอะไร หลายวันมานี้ก็ระวัดระวังตัวไม่กล้าพูดมาก เพราะกลัวว่าคุณหนูจะโกรธจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ
คาดว่าคงมีแค่หนานหนานที่เล่นคนเดียวอย่างมีความสุขได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่หลังจากที่รู้ว่าอวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงที่ชอบอ่านตำราเหมือนกันเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องด้วยกันตลอดทั้งวันและไม่มีใครมาเล่นเป็นเพื่อนเขา ความรู้สึกของหนานหนานก็เริ่มเป็นดั่งฟ้าแจ่มใสสลับเมฆมากและท้ายที่สุดก็มีพายุฝนฟ้าคะนอง
ด้วยเหตุนี้นายท่านทั้งสามคนภายในตำหนักอ๋องซิวแต่ละคนจึงอยู่ท่ามกลางแรงกดดัน ทำให้ผู้คนอยู่ห่าง ๆ
หนานหนานอยากให้ท่านแม่ช่วยระบายอารมณ์ให้ แต่อวี้ชิงลั่วไม่ได้มีเวลามาเล่นกับเขา เขาจึงไปหาเย่ซิวตู๋ เย่ซิวตู๋เองก็ไม่ได้ก้าวเท้าย่างเหยียบที่เรือนของอวี้ชิงลั่วเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบตกลงเช่นเดียวกัน
หนานหนานโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา เริ่มส่งเสียงร้องไห้งอแงใส่หน้าเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋ถึงกับมุมปากขึงตึงเป็นเส้นตรงเพราะหนานหนานร้องไห้ใส่ ท้ายที่สุดจึงพาเขาออกจากตำหนัก โดยใช้คำพูดสวยหรูว่า…ฝึกวรยุทธ์
พวกเขาทั้งสองเก็บสัมภาระออกจากตำหนักอ๋องในคืนนั้น นอกจากเสิ่นอิงและเผิงอิงที่ติดตามไปด้วยก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด
หนานหนานรู้สึกไม่มีความสุข ทว่าเย่ซิวตู๋กลับใช้จุดอ่อนของเขา ขอแค่วางยาให้ถูก เจ้าเด็กน้อยก็จะยอมตามเขาอย่างเชื่อฟังโดยไม่พูดอะไร
เพียงแต่ก่อนที่เย่ซิวตู๋จะออกไป เขายังฝากข้อความให้โม่เสียนนำไปบอกอวี้ชิงลั่วด้วย
โม่เสียนรับเรื่องมาอย่างยากลำบาก วิ่งมาที่เรือนของอวี้ชิงลั่วอย่างน่าเวทนา เงยหน้าพูดจนจบภายในรวดเดียว
“นายท่านบอกว่า การแข่งขันสี่อาณาจักรกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้เรื่องของหนานหนานเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันขอรับ”
อวี้ชิงลั่วได้ฟังจบก็แค่นเสียงเย็นพร้อมกับกระชากผ้าปูโต๊ะในทันที แก้วและกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะพลันตกกระแทกพื้นเกิดเสียงดังเคร้งคร้าง ทุกอย่างกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ไว้ค่อยคุยกัน? หลังจากนี้เขาจะกล้ารับปากรึว่าจะไม่หลบหน้านางอีก? เขาจะกล้ารับปากรึว่าจะไม่ทำลายเบาะแสที่นางหามาได้อย่างยากลำบากอีก?
เยว่ซินและโม่เสียนหันสบตากัน พวกเขารู้สึกได้ว่าช่วงนี้คุณหนูอารมณ์ร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ ดูรุนแรงกว่าตอนที่รอบเดือนมาเสียอีก
อวี้ชิงลั่วก็พอจะรู้ดีว่าอารมณ์ของนางแปรปรวนอย่างหนัก หนักถึงขั้น…นางรู้สึกไม่ดีอยู่ภายในใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่อยากสัมผัสและไม่ควรจะสัมผัสเลย
ทว่านางมิอาจควบคุมได้ ช่วงนี้เย่ซิวตู๋เอาแต่หลบหน้านาง ทำให้ความนิ่งสงบที่ดูหยิ่งผยองได้มลายหายไปอย่างสมบูรณ์
“อ้าว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ตอนที่ภายในห้องกำลังเกิดบรรยากาศตึงเครียด จู่ ๆ ก็มีคนกระโดดเข้ามายืนบนขอบหน้าต่าง เป็นคนที่หายไปนานหลายวันแล้ว
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองนางปราดหนึ่ง ลูบสมองที่เริ่มบวมเป่งพลางเอ่ยถาม “หลายวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา?”
“หืม?” จินหลิวหลีหรี่ตาและกระโดดลงมาจากหน้าต่าง แย้มยิ้มด้วยท่าทางสง่างาม “ตอนนี้ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้ย้อนถามข้าเสียได้? มา บอกข้ามา ใครกล้าทำให้คุณหนูใหญ่อวี้ของเราไม่มีความสุข?”
อวี้ชิงลั่วแอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ ลมหายใจของนางค่อย ๆ กลับมาปกติ ก่อนจะเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ทว่าไม่ได้คิดจะตอบคำถามของอีกฝ่าย เพียงแค่หันไปสั่งเยว่ซินให้ไปหยิบไม้กวาดเข้ามาเก็บกวาดเศษกระเบื้องที่อยู่บนพื้น
จินหลิวหลีเดินมาหยุดตรงหน้านางด้วยรอยยิ้ม ส่งเสียงจุ๊ ๆ กล่าวว่า “หลายวันมานี้ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน เหตุใดถึงรู้สึกว่าเจ้าผอมลงล่ะ? หรือเป็นเพราะติดกับดักความรัก ยากเกินกว่าจะเลือกได้?”
ความรัก? อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น นางและเย่ซิวตู๋…เรียกว่าติดกับดักความรักได้งั้นรึ?
ครั้นเห็นนางเงียบขรึม จินหลิวหลีก็รู้สึกราวกับค้นพบโลกใบใหม่ จ้องมองอวี้ชิงลั่วด้วยความตกตะลึง “ไม่ใช่น่า นี่เจ้าติดกับดักความรักจริงรึ เช่นนั้นก็หมายความว่าข่าวเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นเรื่องจริงน่ะสิ?”
“ข่าวด้านนอก ข่าวอะไร?”
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อารมณ์ไม่ดีกันทั้งพ่อแม่ลูกเลย คนอื่นๆ ก็คือรับแรงกดดันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข้างนอกมีข่าวลืออะไรกันนะ
ไหหม่า(海馬)