ในความคิดของฉีอ๋อง ในเมื่อลูกของเขาเสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กำลังรออยู่ด้านนอก หากเขาแสดงท่าทีเศร้าสลดเกินเรื่อง เกรงว่าอาจทำให้เสด็จพ่อผิดหวังในตัวเขา
“ข้ารบกวนหมอหลวงด้วย”
“ท่านอ๋อง ขอประทานอภัยที่ข้าน้อยไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงลอบถอนหายใจก่อนจะรีบออกเทียบโอสถและหายไปจากตรงนั้น
ฉีอ๋องกุมมือพระชายาฉีอ๋อง “พระชายา เจ้าอย่าคิดมากไปเลย รักษาร่างกายให้แข็งแรง เจ้าอาจจะตั้งครรภ์อีกก็ได้”
“ไม่มีทาง ข้าไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกแล้ว…” พระชายาฉีอ๋องทุกข์ทรมานใจจนถึงที่สุด นางครวญครางโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
ฉีอ๋องส่งสายตาเอือมระอา ทว่าสีหน้ายังคงเก็บอาการนั้นไว้ “พระชายา เจ้าสงบสติลงก่อนเถิดเพราะที่นี่คือวังหลวง”
คำเตือนของเขาไม่เข้าหูพระชายาฉีอ๋องผู้ทรงเปี่ยมด้วยคุณธรรมเลยสักนิด
ในตอนนี้ ท้องของนางเจ็บปวดแสนสาหัส ส่วนหัวใจก็คล้ายกับมีมีดปักคาอยู่ นางจะมีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร
จะในวัง หรือนอกวัง แล้วจะอย่างไร ลูกที่นางเฝ้ารอมานานหายวับไปกับตา ที่พึ่งพาสุดท้ายในชีวิตของนางก็พลอยดับสูญไปด้วย…
เสียงร้องไห้ของพระชายาฉีอ๋องน่าเวทนาหนักหนา
หมัวมัวที่รีบบึ่งมากล่าวเตือนด้วยความลำบากใจ “ท่านอ๋อง อยู่ที่นี่นานๆ คงไม่เหมาะนัก ท่านอ๋องรีบกลับออกไปก่อนจะดีกว่าเพคะ”
แม้ฉีอ๋องอยากจะออกจากห้องที่คลุ้งไปด้วยคาวเลือดนี้เต็มแก่ แต่เขาก็กล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “เช่นนั้น ข้าฝากหมัวมัวดูแลพระชายาแทนข้าด้วย”
ฉีอ๋องหันไปค้อมคำนับฮองเฮาก่อนจะหันไปปลอบใจผู้เป็นภรรยาอีกสองสามประโยค แล้วถึงเดินออกไป
พระชายาฉีอ๋องแท้งบุตร และยังคงมีโลหิตไหลซึมออกมา แม้ฮองเฮาจะเคยผ่านประสบการณ์การคลอดบุตรมาแล้ว แต่นางก็ไม่อยากอยู่ในห้องนั้นนานๆ เช่นกัน
สำหรับบุคคลที่มียศสูงศักดิ์ อย่างไรเสียการแท้งบุตรก็ถือเป็นโชคร้าย แม้ฮองเฮาจะมิได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ไม่อยากรีรอจนนางในคนสนิทต้องกล่าวเตือน
ฮองเฮากล่าวปลอบใจอย่างอ่อนโยน “พระชายาฉีอ๋อง ข้ารู้ดีว่าเจ้าทุกข์ใจเพียงใด ไม่ว่าเป็นสตรีคนใดที่ประสบพบเจ้าเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ล้วนทุกข์ใจทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไร มนุษย์เราก็ต้องเดินหน้าต่อ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และเจ้าเอง อายุยังน้อยนัก…”
การตอบรับกลับมามีเพียงเสียงร่ำไห้แทบขาดใจ
ฮองเฮาถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปกำชับหมัวมัวและคนอื่นๆ “ดูแลพระชายาให้ดีล่ะ”
หมัวมัวรับคำสั่งก่อนจะหันไปสั่งการนางในคนอื่นๆ
ฮองเฮาหันมามองพระชายาฉีอ๋องในสภาพหมดอาลัยตายอยากอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
ฉีอ๋องที่เดินนำออกมาก่อนถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ลูกละอายแก่ใจยิ่งนักที่ทำให้เสด็จพ่อต้องไม่สบายพระทัยตั้งแต่วันแรกของปี”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นปราม “ช่างเถอะ อย่าไปกล่าวถึงมันเลย ว่าแต่ชายาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉีอ๋องส่ายหัวเชื่องช้า “เด็กในครรภ์ของนางไม่อยู่แล้ว ตอนนี้นางยังรับความจริงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าควรกล่าวปลอบใจอย่างไรดี
หากเป็นชาวบ้านทั่วไป การคลอดบุตรออกมาเจ็ดถึงแปดคน แต่เลี้ยงมาได้จนโตเพียงสามถึงสี่คนก็นับว่าเก่งแล้ว ฉะนั้นการแท้งบุตรจึงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงกระนั้น เขาก็รู้ดีว่าพระชายาฉีอ๋องเฝ้ารอลูกคนนี้มานานเท่าใด
“แล้วชายาของเจ้าพลัดตกจากรถม้าได้อย่างไร”
ฉีอ๋องก้มศีรษะพลางกล่าวอย่างทุกข์ระทม “เป็นความผิดของลูกเอง ลูกไม่ได้ดูแลพระชายาให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
เขาที่อยู่บนหลังม้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด การที่พระชายาตกลงมาดูผิดปกติยิ่งนัก หากจะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ เขาคงเชื่อไม่ลง
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่า พระชายาหวงแหนลูกในครรภ์เพียงใด แล้วนางจะตกลงมาเพราะไม่ทันระวังได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่ควรบอกเรื่องพวกนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบ เขาทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
“เอาเถอะ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ทุกข์ใจไปก็เปล่าประโยชน์ ยังดีที่พวกเจ้าอายุยังน้อยอยู่”
ฉีอ๋องอยากจะร้องไห้ ทว่าไร้น้ำตา เขาพยายามกลั้นใจตอบ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
บุตรของคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาต่างก็เข้าเรียนกันหมดแล้ว แต่ทว่าบุตรชายของเขากลับไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในช่วงเวลาสำคัญที่ต้องแย่งชิงตำแหน่งกับเจ้าสามเช่นนี้ ภรรยาของเขากลับแท้งลูก ฉะนั้นสู้ไม่มีเลยตั้งแต่แรกยังดีเสียกว่า…
“คนอื่นๆ กลับไปกันหมดแล้วรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามพานไห่
“ส่วนใหญ่ก็ยังรอกันอยู่ด้านนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รออะไรกันหนา รีบไปไล่ให้กลับบ้านได้แล้ว!”
แต่ละคนเก่งแต่จะสร้างปัญหา จนบัดนี้ ตั่วหมัวมัวที่กำลังจะตายอยู่รอมร่อยังไม่ยอมปริปากเลยสักคำ
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เจ็บหัวใจขึ้นมาทันใด
พานไห่รีบไปตามคำสั่ง พอไปถึงหน้าวัง เขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยฉะฉาน “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พวกท่านกลับไปได้แล้ว”
มีคนหนึ่งถามขึ้นด้วยอยากรู้อยากเห็น “พานกงกง พระชายาฉีอ๋องยังสบายดีอยู่ใช่หรือไม่”
พานไห่รู้ดีว่าไม่นานเรื่องที่พระชายาฉีอ๋องแท้งบุตรก็จะกระจายไปทั่ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง “เด็กในครรภ์เสียชีวิตแล้ว”
เสียงถอดถอนหายใจดังอื้ออึง บ้างก็มาจากความรู้สึกข้างใน แต่บ้างก็ทำตามน้ำไปอย่างนั้น มีเพียงฟ้าดินเท่านั้นที่รู้
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไปคันแล้วคันเล่า จนท้ายที่สุดเหลือเพียงรถม้าจวนฉีอ๋องที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
คนรถยังคงคุกเข่าอยู่ข้างเกวียน สายตาเคลื่อนมองไปที่หน่วยองครักษ์ที่กำลังลาดตระเวน มือของเขาเกาะอยู่ที่ขาม้าพลางร้องไห้แผ่วเบา
พระชายาตกจากรถม้าจนแท้งบุตร เขาเองก็คงหนีไม่รอด
“หุบปาก!” องครักษ์เดินมาหาพร้อมตวาดใส่
คนรถปาดน้ำตาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เขาหรี่ตามองภาพเบื้องหน้า แต่แล้วความหวาดผวาก็เข้าคุกคาม
ข้ารับใช้ในตำหนักข้างกำลังลงกลอนประตูวัง พระชายาฉีอ๋องถูกหามขึ้นเกี้ยว โดยมีฉีอ๋องเดินประกบออกมา
ถึงแม้พระชายาฉีอ๋องจะแท้งบุตร แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในวัง กฎระเบียบบางอย่าง แม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ยังไม่กล้าละเมิด
เมื่อคนรถที่ยืนพิงเกวียนเห็นฉีอ๋องเดินออกมา ใบหน้าซีดเผือดก็ถลาเข้าไปต้อนรับ “ท่านอ๋อง…”
ฉีอ๋องในยามนี้ ไม่มีใจจะกล่าวแก่คนรถ สีหน้าถมึงทึงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า เขาควบม้ามาข้างเกี้ยวพลางบอก “ไปเถอะ”
เกี้ยวเพิ่มความเร็วขึ้น
คนรถหันมองแวบหนึ่งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วยกแส้ออกเดินทาง
คืนค่ำแรกของปี ฟ้ามืดไร้แสงจันทร์และแสงดาว เฉกเช่นความรู้สึกของฉีอ๋องในยามนี้ ที่มีเพียงเมฆครึ้มเป็นหย่อมปื้น
ฉีอ๋องอยากให้ถึงจวนเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าหนทางยาวไกลกว่าทุกครั้ง
เกี้ยวมาหยุดอยู่ที่ประตูสองของจวน
ฉีอ๋องกระโดดลงจากหลังม้าพลางหันไปบอกคนหามเกี้ยว “ยกนางเข้าไปที่เรือนหลัก”
ก่อนหน้านี้ที่อุ้มพระชายาตอนที่อยู่ในวังเพราะเขาไม่มีทางเลือก เขาไม่ต้องการให้เสด็จพ่อเห็นว่าเขาปฏิบัติต่อชายาด้วยท่าทีเย็นชา แต่ในเมื่อกลับมาถึงจวนแล้ว เขาก็ไม่อยากให้กลิ่นคาวเลือดติดตัวของเขาไปมากกว่านี้
เกี้ยวหยุดลงด้านหน้าเรือนหลัก บรรดาสาวรับใช้ทั้งเด็กและแก่ช่วยกันประคองพระชายาฉีอ๋องลงจากเกี้ยว และเข้าไปในเรือน
หลังจากความทุลักทุเล ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องก็ไร้สีขาดเลือดโดยสิ้นเชิง สภาพของนางในตอนนี้ทำให้คนรับใช้พรั่นพรึงกันถ้วนหน้า
สาวรับใช้คนสนิทร้องห่มร้องไห้ “พระชายา พระชายา…”
“เงียบเดี๋ยวนี้!” ฉีอ๋องตวาดอย่างเดือดดาล และเสียงร้องก็หยุดลงทันใด
พระชายาฉีอ๋องขยับเปลือกตา และลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก
“เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของฉีอ๋องอ่อนโยนขึ้นฉับพลัน
ไม่รู้ว่าพระชายาฉีอ๋องไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางกำข้อมือของฉีอ๋องแน่นพลางเปล่งเสียง “ท่านอ๋อง พื้นบนรถม้าลื่นมากเลยเพคะ…”
ตาของฉีอ๋องกระตุกวูบ การตอบสนองแรกคือรีบหารองเท้าที่พระชายาฉีอ๋องทิ้งถอดไว้
ในฤดูหนาว บรรดาสตรีสูงศักดิ์จะนิยมสวมรองเท้าหุ้มข้อ เพื่อเท้าจะได้อบอุ่น
แต่เนื่องจากพระชายาฉีอ๋องกำลังตั้งครรภ์ รองเท้าหุ้มข้อจึงถูกสั่งทำพิเศษ เป็นแบบไร้ส้น
ฉีอ๋องหยิบรองเท้าหุ้มข้อส้นเตี้ยขึ้นมาพลิกดู พลางลูบๆ คลำๆ ก่อนจะยกขึ้นส่องกับแสงไฟ
คราบสีน้ำตาลเข้มที่ติดอยู่ที่พื้นรองเท้ามีความเหนียวเล็กน้อย
แต่แล้วสีหน้าของฉีอ๋องก็ย่ำแย่ขึ้นมาฉับพลัน เขาวิ่งออกไปที่โรงม้าโดยไม่ฟังเสียงร้องของพระชายา
คนรถพักอยู่ในเพิงไม่ไกลจากโรงม้า เพื่อที่จะสะดวกต่อการดูแลเกวียนและม้าในคอก
ทั้งที่ในขณะนั้นเขาควรพักอยู่ในเพิง แต่ทว่าคนรถยังคงทำงานอยู่ในโรงม้า เขาใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดพื้นรถอย่างขยันขันแข็ง
ฉีอ๋องปรี่เข้าไปหาก่อนจะยกเท้าถีบเข้ากลางสันหลังของคนรถ
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร”