ภายในโรงม้าที่คั่นกลางระหว่างความมืดและความสว่าง กลิ่นเหม็นปนเปคละคลุ้ง ประกอบกับเสียงหวีดร้องของม้าที่กำลังตื่นกลัว
ฉีอ๋องไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเหยียบที่แห่งนี้
“เจ้ากำลังทำอะไร” แววตาเปี่ยมประกายไฟลุกโชนของฉีอ๋องจ้องเขม็งไปที่คนรถ
คนบังคับรถม้าก้มศีรษะลงถึงดินร้องขอความเมตตา “ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
เท้าลอยไปหาร่างที่ก้มอยู่เป็นครั้งที่สอง ฉีอ๋องเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าทำร้ายพระชายาอย่างนั้นหรือ”
คนรถหวาดผวาและตื่นกลัวด้วยคำถามของฉีอ๋อง แต่เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้สติจึงรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นพร้อมกล่าวเสียงสั่น “บ่าวไม่กล้า ให้ตายอย่างไร บ่าวก็ไม่มีทางทำร้ายพระชายาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉีอ๋องรู้สึกประหลาดใจในจุดนี้เช่นเดียวกัน
คนรถเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาจากเรือนของพระชายา แต่เหตุใดถึงได้คิดร้ายกับพระชายา
“แล้วเจ้ากำลังเช็ดอะไร”
ริมฝีปากของคนรถสั่นระริกพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
ฉีอ๋องกล่าวด้วยสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “จะไม่บอกก็ได้ แต่ระวังคนในครอบครัวเจ้าไว้ให้ดี!”
คนรถตัวสั่นเทา เขายกมือขึ้นตบลงที่แก้มตัวเองอย่างแรง “เป็นเพราะบ่าวประมาท…เกิดเรื่องกับพระชายาแล้วบ่าวถึงได้รู้ว่าบนพื้นรถมีน้ำมันหกอยู่ ทีแรกบ่าวกลัวว่าจะถูกท่านอ๋องลงโทษ เลยรีบมาเช็ดคราบน้ำมันออกไป…”
ฉีอ๋องเข้าใจสาเหตุที่คนรถทำเช่นนั้น
แต่เขาเชื่อว่าน้ำมันที่หกอยู่บนพื้นรถต้องเกิดจากมีคนแอบมาเทไว้อย่างแน่นอน แต่ส่วนคนรถที่ไม่ควรอยู่ห่างจากรถม้าแม้แต่วินาทีเดียวกลับไม่ทราบ นั่นก็เป็นเพราะคนรถเกียจคร้าน หรือไม่ก็คงแอบหลับ หรือไม่ก็คงแวบไปที่อื่นทั้งที่ควรเฝ้ารถม้า ฉะนั้นเขาจึงกังวลว่าจะถูกท่านอ๋องลงโทษ ถึงได้พยายามเช็ดคราบน้ำมันจนไม่เหลือร่องรอย
ในแง่ของความผิด คนขับรถม้าที่ละเลยในหน้าที่จนเป็นเหตุให้พระชายาแท้งบุตร การที่เขาจะชักดาบออกมาปลิดชีพคนรถยังไม่นับว่าทำเกิดกว่าเหตุ
แต่ถึงอย่างนั้น ฉีอ๋องก็ไม่ได้เลือกโอกาสที่จะจบชีวิตคนรถ เขาเอ่ยถาม “เจ้าสังเกตเห็นใครที่มีท่าทางน่าสงสัยบ้างหรือไม่”
คนรถรีบสั่นหัวไม่รู้ไม่เห็น
ใบหน้าของฉีอ๋องในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากแผ่นน้ำแข็ง
คนรถลุกลี้ลุกลน ปากยังคงสั่นระริก “บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจ้าก็สมควรตายจริงๆ นั่นแหละ” ฉีอ๋องจดจ้องไปที่คนขับรถม้าก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป
สภาพอากาศเย็นเยือกด้านนอกพัดพาความสดชื่นมาให้ชายหนุ่ม
ฉีอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเมฆทะมึนที่ก่อตัวอยู่บนฟ้า ทว่าหัวใจกลับดำดิ่งลงไปในหุบเหวลึก
เขาไม่ได้เข้าไปอยู่เฝ้าพระชายาฉีที่เรือนหลัก แต่เลือกไปห้องตำราที่เรือนหน้า
ฉีอ๋องหมายมั่นว่าจะชิงบัลลังก์ มีผู้สนับสนุนมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ห้องตำราจึงถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่าเพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ท่านอ๋อง
ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไป ก็พุ่งปราดเข้าไปทำลายข้าวของอย่างเดือดดาล เป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบลง ชายหนุ่มจ้องมองไปที่ข้าวของระเกะระกะเกลื่อนพื้น พลางเค้นเสียงจากลำคอ “เจ้าสาม เจ้ารอก่อนเถอะ!”
……
ณ จวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องและพระชายากำลังพักผ่อนอยู่ด้วยกัน เปลวเทียนในห้องถูกดับแสงสิ้น
แต่พระชายาจิ้นอ๋องยังตื่นอยู่ นางค่อยๆ พลิกตัว สายตาจับจ้องไปที่คานแขวนม่านอย่างเหม่อลอย
มือหนึ่งยืดเหยียดออกมาแตะบนตัวนางพร้อมกับเสียงของบุรุษ “นอนไม่หลับหรือ”
พระชายาจิ้นอ๋องพลิกตัวกลับมาพร้อมกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ข้าทำท่านอ๋องตื่นหรือเพคะ”
“เปล่าหรอก แต่เหตุใดเจ้าถึงนอนไม่หลับ”
พระชายาจิ้นอ๋องเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “หม่อมฉันหยุดคิดเรื่องที่พระชายาฉีอ๋องเสียบุตรไปวันนี้ไม่ได้เลยเพคะ”
“เจ้าจะคิดถึงเรื่องนั้นทำไมกัน โลกนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตั้งมากมาย พระชายาฉีอ๋องแค่แท้งลูก มิได้ร้ายแรงถึงชีวิต มิใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
พระชายาจิ้นอ๋องเม้มปากสนิท
จิ้นอ๋องตบที่ร่างของนางแผ่วเบาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ นอนกันเถิด อย่าปล่อยให้เรื่องของคนอื่นมาทำให้รู้สึกไม่ดีเลย”
“อื้ม ท่านอ๋องก็พักเถิดเพคะ” พระชายาจิ้นอ๋องส่งยิ้มแล้วค่อยๆ หลับตาลง
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าหูของนางจะได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ พระชายาจิ้นอ๋องค่อยๆ ลืมตาขึ้น และเหม่อมองไปที่จิ้นอ๋อง
ที่พระชายาฉีอ๋องแท้งลูกเป็นอุบัติเหตุจริงๆ อย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นฝีมือท่านอ๋อง…
พระชายาจิ้นอ๋องไม่อยากจะคิดต่อ นางจึงหลับตาลงอีกครั้ง
……
ท้องฟ้าสว่างแล้ว
วันที่สองของศักราชใหม่อากาศสดใสยิ่งนัก เหล่าพระสนมตำแหน่งน้อยใหญ่ต่างก็ไปถวายความเคารพฮองเฮาตามลำดับ
แต่เนื่องจากพวกนางอาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืนก่อนถึงยังไปไม่ถึงหูของพวกนาง
ฮองเฮายังไม่เสด็จออกมา เหล่าพระสนมจึงนั่งสนทนากันตามอัธยาศัย
ในวังหลวงไม่มีคนเข้ามาใหม่นานแล้ว ไม่ว่าเหล่านางสนมจะเข้ากันได้ดี หรือไม่ชอบหน้ากันเพียงใด แต่อย่างไรแล้วก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ในช่วงเวลาขึ้นศักราชใหม่อันเป็นมงคลเช่นนี้ ต่างก็ชวนสนทนาแต่เรื่องที่เป็นสิริมงคลเท่านั้น
บัดนี้เสียนเฟยถือเป็นจุดสนใจท่ามกลางนางสนมทั้งหมด
“เสด็จพี่เสียนเฟยช่างโชคดียิ่งนัก สะใภ้ตั้งครรภ์พร้อมกันทั้งสองคน น่าอิจฉาเหลือเกินเพคะ”
“จริงด้วยเพคะ พระชายาทั้งสองคงให้ประสูติหลานชายแก่เสียนเฟยเหนียงเหนียงพร้อมกันแน่เลยเพคะ”
“หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่า หากตั้งครรภ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนหนึ่งจะเกิดมาเป็นบุตรชาย ส่วนอีกคนจะเกิดมาเป็นบุตรสาว ถึงเวลานั้นเสียนเฟยเหนียงเหนียงก็จะได้มีหลานชายและหลานสาวพร้อมกันทีเดียวสองคนเพคะ…”
“มีความเชื่อเช่นนั้นด้วยหรือ” เสียนเฟยยิ้มแย้มตลอดเวลาที่นางสนมยศต่ำกว่าพูดอธิบาย
สนมผู้นั้นพยักหน้ารับ “ที่บ้านเกิดของหม่อมฉันมีความเชื่อเช่นนั้นเพคะ”
“พระชายาเยี่ยนอ๋องและพระชายาฉีอ๋องตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกัน แต่ไม่รู้ว่าใครจะให้ประสูติหลานชายสายเลือดมังกร” ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจเลยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนกล่าวประโยคนั้น
เสียนเฟยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นางไม่ได้ใส่ใจเสียงนั้น สายตายังคงจับจ้องไปที่นางสนมยศเล็ก
ผู้ใดจะให้ประสูติหลานชายสายเลือดมังกร แน่นอนว่านางหวังให้เป็นสะใภ้สี่ แต่ส่วนสะใภ้เจ็ดนั้น จากท่าทีที่สองสามีภรรยาคู่นั้นปฏิบัติกับนางแล้ว ไม่ว่าจะให้กำเนิดอะไร นางก็ไม่ถูกใจทั้งนั้น
หากสะใภ้เจ็ดที่มองข้ามความหวังดีของนางให้ประสูติหลานชายสายเลือดมังกร นางจะไม่ยิ่งยโสโอหังกว่านี้หรือ นางไม่อยากให้เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นเลยจริงๆ
นางสนมผู้นั้นรับรู้ได้ในทันที นางรีบแก้ตัว “ที่บ้านเกิดของหม่อมฉันยังมีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ ออกดอกก่อนแล้วถึงออกผล ถึงจะดีเพคะ พระชายาทั้งสองล้วนเป็นผู้มีวาสนาด้วยกันทั้งคู่”
เสียนเฟยหัวเราะก่อนจะส่งสายตาชมเชยไปที่นางสนมยศเล็ก
นางคนนี้พูดจาเอาใจเก่งเสียจริง
ออกดอกก่อน แล้วถึงออกผล พระชายาฉีมีบุตรีมาแล้วถึงสองคน คราวนี้ก็ต้องให้กำเนิดบุตรชาย ส่วนพระชายาเยี่ยนที่เพิ่งท้องแรกก็ต้องได้บุตรีก่อนถึงจะถูกต้อง
แม้เสียนเฟยจะรู้ว่านางสนมผู้นั้นแค่กล่าวในสิ่งที่นางอยากได้ยิน แต่ผู้ใดจะไม่ชอบฟังถ้อยคำรื่นหู เสียนเฟยในตอนนี้อารมณ์ดีจนซ่อนไว้ไม่อยู่
นางสนมที่ได้รับการชมเชยจากเสียนเฟยก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ใครต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่ไท่จื่อโดนปลด คนที่มีแนวโน้มจะได้ขึ้นต่อก็คือจิ้นอ๋องและฉีอ๋อง ฝ่ายเสียนเฟยมีกำลังสนับสนุนจากจวนอันกั๋วกง รวมถึงพระชายาฉีอ๋องก็กำลังตั้งครรภ์ ฉะนั้นจิ้นอ๋องคงสู้ฉีอ๋องไม่ได้
หากฉีอ๋องได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ในอนาคตเสียนเฟยก็จะเป็นผู้กุมอำนาจวังหลังอย่างแท้จริง หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ รีรอให้ถึงเวลานั้นคงไม่ทันการณ์
เหล่าพระสนมที่คิดเหมือนกับนางสนมผู้นี้มีไม่น้อย ในตอนนั้นถึงได้มีเสียงเอ้อออเห็นพ้องอื้ออึง
วังหลังเปรียบเสมือนเงาตามตัวของวังหน้า หากมีขุนนางใหญ่สองคนที่ไม่ถูกกันส่งบุตรสาวของตัวเองเข้ามาในวัง นางสนมทั้งสองคนนั้นจะถูกฝังร่างไว้แยกกันคนละที่ ครั้นเห็นว่าฉีอ๋องดูมีแววจะได้ขึ้นเป็นไท่จื่อ เหล่านางสนมถึงได้รีบประจบเสียนเฟยเป็นธรรมดา
ฝ่ายจ้วงเฟยเพียงแต่หลับตาและจิบชาอยู่เงียบๆ
ยังไม่มีการจัดการเรื่องตำแหน่งไท่จื่อเลยด้วยซ้ำ คนพวกนี้ช่างใจร้อนเสียเหลือเกิน
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จ…”
ไม่นานนัก สตรีในเครื่องแต่งกายของฮองเฮาก็ปรากฏแก่ตาเหล่านางสนม
ทั้งหมดรีบทำความเคารพฮองเฮา
“ไม่ต้องมากพิธี”
หลังจากน้อมทักตามลำดับเรียบร้อยแล้ว ลำดับถัดมาฮองเฮาจะตรัสถึงกิจการฝ่ายใน นางมองไปทางเสียนเฟย
“น้องเสียนเฟย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้เจ้าทราบ”
เสียนเฟยรีบตอบ “เชิญตรัสได้เลยเพคะ”
เมื่อคืนฝ่าบาทน่าจะบรรทมอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา แล้วฮองเฮามีเรื่องอะไรจะแจ้งให้นางทราบอย่างนั้นหรือ
ฮองเฮาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เมื่อคืนนี้ พระชายาฉีโชคร้าย นางแท้งบุตร”