ตอนที่ 537 หลินเพ่ยจมกองขี้วัว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 537 หลินเพ่ยจมกองขี้วัว

เมื่อฟางจั๋วหรานมาถึง เขาก็เห็นแม่วัวที่นอนอยู่ในคอกกำลังส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด โดยที่ขาของลูกวัวออกมาจากตัวมันแล้วครึ่งหนึ่ง

ครอบครัวของคุณลุงเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ แม่วัวด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อเห็นว่าคุณลุงพาฟางจั๋วหรานกลับมาแล้ว ทั้งครอบครัวจึงมารวมตัวกัน ขอร้องให้เขาช่วยแม่วัวและลูกวัวของพวกเขาด้วย

ฟางจั๋วหรานไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมายเขานั่งยอง ๆ ลงข้างตัวแม่วัว สังเกตอาการมันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขอให้คุณลุงไปต้มนมถั่วเหลืองร้อน ๆ มาให้แม่วัวกิน

แม่วัวออกแรงเบ่งลูกมานานแล้ว ตอนนี้กำลังของมันจึงจวนหมดเต็มที จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมช่วยเพื่อฟื้นฟูกำลัง

พอรู้ว่าแม่วัวจะตกลูก แถมยังตกลูกยากเสียด้วย ครอบครัวของคุณลุงเลยเตรียมนมถั่วเหลืองไว้บำรุงแม่วัวอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อได้ยินคำสั่งของฟางจั๋วหราน คุณป้าภรรยาคุณลุงก็รีบไปยกนมถั่วเหลืองร้อน ๆ หม้อใหญ่ออกมา

หลังจากแม่วัวกินนมถั่วเหลืองร้อน ๆ เข้าไปแล้ว ฟางจั๋วหรานก็คว้าท่อนขาของลูกวัวที่ยื่นออกมาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างลูบท้องวัวอย่างระมัดระวัง พยายามแก้ไขตำแหน่งของลูกวัวในท้องให้ได้มากที่สุด

หลังจากนั้น ลูกวัวก็ถูกดึงออกมาจากท้องของแม่วัวอย่างช้า ๆ

ครอบครัวของคุณลุงถึงกับกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึก เมื่อเห็นว่าในที่สุดลูกวัวก็ถูกทำคลอดออกมาสำเร็จ และมันยังส่งเสียงร้องเป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้งครอบครัวก็ส่งเสียงเฮลั่น

ทันทีที่ลูกวัวลืมตาดูโลก มันก็พยายามหยัดตัวยืนขึ้นโดยสัญชาตญาณ

แต่เพราะมันเสียเวลาอยู่ในท้องแม่วัวมานานเกินไป ทำให้หมดพลังงานไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้มันจึงดูอ่อนแอ ไม่สามารถยืนขึ้นได้หลังจากพยายามหลายครั้ง

แม่วัวเลียศีรษะน้อย ๆ ของลูกวัวอย่างอ่อนโยน ราวกับจะกระตุ้นมัน จากนั้นลูกวัวก็พยายามยืนขึ้นอีกครั้ง

ผ่านไปหลายครั้งทีเดียว ในที่สุดมันก็ลุกขึ้นยืนขึ้นได้โดยที่ตัวสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะร้องออกมาอย่างมีความสุขสองครั้ง

ฟางจั๋วหรานอยู่รอดูจนกว่าลูกวัวจะดูดนมจากแม่วัวได้ จากนั้นเขาก็ขอตัวจากไป

ครอบครัวของคุณลุงไปส่งเขาออกจากบ้านพร้อมกับขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง

ขณะที่ฟางจั๋วหรานกำลังเดินอยู่ตามลำพังบนถนนสายเล็ก ๆ ในชนบท จู่ ๆ หลินเพ่ยก็เดินออกมาขวางทางเขาไว้

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง ชาติที่แล้วสามพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้เคยเกิดเป็นสุนัขจรจัดหรืออย่างไร ถึงได้ชอบยืนขวางถนนนัก

เขาเดินอ้อมหลินเพ่ย ตั้งท่าจะจากไป

หลินเพ่ยรีบไล่ตามเขาไปสองก้าว บีบเสียงพูดให้ไพเราะที่สุด “คุณหมอฟาง ฉันมีอะไรอยากคุยกับคุณค่ะ”

ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “เรื่องที่คุณอยากพูดกับผมจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่การทำให้ม่ายจื่อเสื่อมเสีย ผมไม่อยากได้ยิน หลีกไปซะ!”

หลินเพ่ยได้ยินแล้วถึงกับยืนอึ้งอย่างไปไม่เป็น

ยังมีผู้ชายแบบนี้ในโลกอีกเหรอ เขาไม่แม้แต่จะชายตาเหลียวแลหล่อนด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่หล่อนแต่งตัวดีขนาดนี้

อีกทั้งเขายังปฏิเสธไม่ยอมฟังเรื่องเสื่อมเสียของแฟนสาวด้วย

ผู้ชายคนไหนในโลกนี้บ้างไม่อยากรู้เรื่องฉาวโฉ่ในอดีตของแฟนสาวตัวเอง?

หล่อนมองตามแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานไป พูดจาเยาะเย้ยจากด้านหลัง “เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันเห็นผู้ชายที่ยินดีให้แฟนตัวเองมีชู้ หลินม่ายกับเฉินเฟิงลักลอบมีความสัมพันธ์กัน คุณไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่?”

นับตั้งแต่ที่เฉินเฟิงส่งคนมาทำร้ายหล่อนเพื่อหลินม่าย หล่อนก็สงสัยว่าระหว่างพวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง

ในความคิดของหล่อนแล้ว ไม่มีมิตรภาพที่บริสุทธิ์แท้จริงระหว่างชายหญิง มีแต่ความปรารถนาทางกายเท่านั้น

ถ้าพวกเขาทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกินเลยกัน นักเลงโตอย่างเฉินเฟิงจะยืนหยัดเพื่อนังสารเลวนั่นไปทำไม?

ต่อให้ตายหล่อนก็ไม่เชื่อเด็ดขาด!

สมัยวัยรุ่น ฟางจั๋วหรานเคยวิ่งไล่ตามแก๊งเด็กเกเรที่มารังแกน้องชายของเขาไปมากกว่าสิบช่วงถนน

หลังจากไล่ตามแก๊งเด็กเกเรพวกนั้นจนทัน ในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะเด็กพวกนั้นจนร้องไห้หาพ่อมาแล้ว นับประสาอะไรกับผู้หญิงแพศยาที่มาพูดจาใส่ร้ายคนรักของเขาต่อหน้า?

เขาหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว ออกแรงถีบหลินเพ่ยให้หล่อนล้มหน้าคะมำไปจมกองขี้วัวสด ๆ ที่อยู่ไม่ไกล

หลินเพ่ยรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง หล่อนจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร

หลังจากคลานออกมาจากกองขี้วัวได้ ก็ร้องตะโกนลั่นทันที “ช่วยด้วย ผู้ชายคนนี้พยายามจะรังแกฉัน! ช่วยด้วย!”

ชายหนุ่มและชายวัยกลางคนทุกคนในหมู่บ้านออกไปสร้างเรือนกระจก แถวนี้จึงเหลือแค่คุณลุงคุณป้าที่รีบวิ่งออกมาจากบ้านตัวเองพร้อมกับไม้หน้าสาม แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า

ศาสตราจารย์ฟางพยายามจะรังแกหลินเพ่ย นี่เป็นเรื่องล้อเล่นหรืออย่างไรกัน?

เขาเป็นถึงศาสตราจารย์ที่มีเกียรติ ส่วนหลินม่ายแฟนสาวของเขาก็เป็นคนสวยและมีความสามารถ

ต่อให้เขาจะจิ้มตาตัวเองจนบอด ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างเขาจะมีความคิดพรรค์นั้นกับหลินเพ่ย

ต้องเป็นหลินเพ่ยแน่ ๆ ที่เทสิ่งปฏิกูลราดหัวคนอื่น!

หล่อนมันไร้ยางอายและไร้คุณธรรมไม่ต่างจากพ่อแม่ของหล่อน ไม่ใช่คนประเภทเดียวกันอยู่ร่วมชายคากันไม่ได้

ถึงแม้คุณลุงคุณป้าจะมีความคิดแบบนั้นอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฟางจั๋วหรานได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีบุคคลที่สามอยู่เป็นพยาน ตราบใดที่ฝ่ายหญิงยืนยันว่าฝ่ายชายพยายามจะรังแกตัวเอง หากแจ้งตำรวจให้มาจัดการ ตำรวจย่อมให้น้ำหนักกับคำให้การของฝ่ายหญิงมากกว่า

คุณลุงคุณป้าเหล่านั้นต่างเป็นห่วงฟางจั๋วหรานมาก กลัวว่าถ้าหล่อนไปแจ้งความเรียกตำรวจมาจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง

ทันใดนั้น เติ้งซิ่วจือก็ปรากฏตัวขึ้น ชี้ไปที่หลินเพ่ยพร้อมกับด่าทอเสียงดัง “เธอต่างหากที่ทำตัวแพศยาไร้ยางอาย เห็นอยู่ว่าเธอเป็นฝ่ายยั่วยวนคุณหมอฟางก่อนแท้ ๆ พอไม่สำเร็จเธอก็แว้งกัดเขา เธอเป็นหมารึไง?”

ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ถามเธอ “เธอเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเลยเหรอ?”

เติ้งซิ่วจือพยักหน้าแล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “ฉันตั้งใจจะมาขอให้คุณหมอฟางช่วยไปคุยกับม่ายจื่อให้หล่อนรับพี่ชายตัวเองเข้าทำงาน ก็เลยเดินตามคุณหมอฟางออกมาเพื่อหาจังหวะพูดคุย ใครจะไปคิดว่าหลินเพ่ยก็เดินตามคุณหมอฟางมาเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้ทักหล่อนแต่แรก เพราะอยากรู้ว่าหล่อนต้องการอะไรจากคุณหมอฟางกันแน่ กลายเป็นว่าหล่อนตั้งใจจะยั่วยวนคุณหมอฟางนั่นเอง แต่เมื่อการยั่วยวนของหล่อนไม่เป็นผล หล่อนก็เลยแว้งกัดเขา”

ทุกคนแสดงท่าทางขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ดุด่าหลินเพ่ยสารพัด ทำให้หล่อนต้องวิ่งหนีไปด้วยความสิ้นหวัง

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองเติ้งซิ่วจือแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

พอกลับไปหาหลินม่ายแล้ว เขาถึงได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง

หลินม่ายแค่นเสียงเย้ยหยัน “หลินเพ่ยนี่ไม่เคยละความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีฉันจริง ๆ!”

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อแม่ของต้าโก่วกับเอ้อร์โก่วอุตส่าห์ออกหน้าช่วยพวกเราแก้ต่างถึงสองครั้ง งั้นฉันจะเก็บโควตาคนงานไว้ให้หลินสงก็แล้วกัน”

เธอไปหาหัวหน้าหมู่บ้านสกุลหวัง ขอให้เขาช่วยรับหลินสงเข้าทำงานด้วย

เติ้งซิ่วจือรู้ข่าวก็รีบมาขอบคุณหลินม่าย

หลินม่ายโบกมือ “ฉันแค่ตอบแทนน้ำใจคุณ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก”

เธอไม่ต้องการทำตัวสนิทสนมกับเติ้งซิ่วจือมากเกินไป

สาเหตุที่ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านรับเขาเข้าทำงาน ก็เพราะอยากตอบแทนบุญคุณเติ้งซิ่วจือเท่านั้น

การสร้างเรือนกระจกสำหรับปลูกผักไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคเฉพาะใด ๆ ด้วยซ้ำ ง่ายกว่าการสร้างบ้านเรือนเสียอีก

หลินม่ายเห็นว่าชาวบ้านที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหัวหน้าหมู่บ้านทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง จึงจากไปพร้อมกับฟางจั๋วหรานอย่างเงียบ ๆ

เธอยังต้องกลับไปที่เมืองซื่อเหม่ยเพื่อสอนให้ชาวบ้านจากทั้งสิบหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงหมู่บ้านซื่อเหม่ยสร้างเรือนกระจกอีก จึงรั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้

ส่วนวิธีการปลูกพริก พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอคำแนะนำจากหลินม่าย

ชาติที่แล้วเธอเดินทางเข้าเมืองเพื่อใช้แรงงานอย่างหนักตั้งแต่อายุยี่สิบ พูดถึงการปลูกพืชแล้ว เธอไม่เก่งเท่าชาวบ้านเหล่านี้

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะขึ้นรถ คุณลุงกับภรรยาที่ฟางจั๋วหรานเพิ่งจะไปช่วยทำคลอดลูกวัวให้ก็วิ่งเข้ามาหาด้วยอาการหอบเหนื่อย

คุณลุงอุ้มไก่อ่อนสองตัวไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหิ้วตะกร้าบรรจุไข่ไก่ ยืนกรานว่าจะมอบสิ่งของพวกนี้ให้ฟางจั๋วหราน เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยรักษาชีวิตทั้งแม่วัวและลูกวัวเอาไว้ได้

ชาวบ้านส่วนใหญ่บนภูเขามีฐานะยากจน ฟางจั๋วหรานไม่อยากรับสิ่งของมูลค่าสูงจากพวกเขา จึงปฏิเสธไป

ความตั้งใจของเขาแรงกล้าเกินไป ในเมื่อเขาไม่ต้องการมัน สองสามีภรรยาก็ไม่กล้ายัดเยียดมอบให้ ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้หลินม่ายยอมรับมันไว้แทน

หลินม่ายส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกัน

ทั้งสองขับรถกลับไปที่เมืองซื่อเหม่ย

ระหว่างทางหลินม่ายเอาแต่เหลือบมองฟางจั๋วหรานอยู่บ่อย ๆ

ฟางจั๋วหรานประคองพวงมาลัย สายตาจ้องตรงไปข้างหน้า แต่ปากกลับเอ่ยถาม “ทำไมคุณเอาแต่มองหน้าผมแบบนั้นล่ะ?”

หลินม่ายวางศอกบนกระจกรถ “ฉันคิดว่าคุณเก่งเกินไปแล้ว นอกจากคุณจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้แล้ว คุณยังช่วยรักษาชีวิตสัตว์ได้ด้วย แถมคุณยังขับรถเก่งมาก”

ฟางจั๋วหรานอธิบาย “ผมเรียนรู้ทักษะพวกนี้ตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งตัวมาประจำการที่ชนบทแล้ว”

พอกลับมาที่เมืองซื่อเหม่ย ทันทีที่เดินเข้าไปในบ้าน หลินม่ายเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านอู๋นั่งรออยู่ในห้องโถง

เธอประหลาดใจ “คุณลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”

หัวหน้าหมู่บ้านอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันได้ยินชาวบ้านบอกว่าเธอวางแผนว่าจ้างให้ชาวบ้านมาปลูกผักเรือนกระจก ก็เลยแวะมาถามเธอว่ามีหมู่บ้านสกุลอู๋ของเราด้วยไหม?”

ตอนที่หลินม่ายเรียกประชุมหัวหน้าหมู่บ้านมาให้ความรู้เรื่องผักเรือนกระจก เธอลืมหมู่บ้านสกุลอู๋ไปสนิท เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋มาเยือนถึงที่ เธอจึงพยักหน้าตอบรับ

เพิ่มพื้นที่ปลูกผักเรือนกระจกในอีกหนึ่งหมู่บ้านคงไม่เป็นไร ถ้ามากกว่านี้คงจัดการได้ยาก

บ่ายวันนี้หลินม่ายต้องเข้าเมืองแล้ว ดังนั้นเธอไม่มีเวลาไปที่หมู่บ้านสกุลหวังเพื่อสอนวิธีสร้างเรือนกระจก

เธอขอให้หัวหน้าหมู่บ้านอู๋อยู่รับประทานอาหารกลางวันที่บ้านของคุณย่าฟาง จากนั้นค่อยติดตามเธอออกไปเรียนรู้วิธีการสร้างเรือนกระจกสำหรับปลูกผักกับชาวบ้านอีกสิบหมู่บ้าน

หลังมื้ออาหาร หลินม่ายสอนให้ชาวบ้านจากสิบหมู่บ้านรวมถึงหมู่บ้านซื่อเหม่ยสร้างเรือนกระจก ซึ่งบรรดาชาวบ้านก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

หลินม่ายแจกแจงให้หัวหน้าหมู่บ้านทั้งสิบเอ็ดคนทราบว่าพวกเขาต้องปลูกผักอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับเข้าเมืองพร้อมกับฟางจั๋วหรานและคนอื่น ๆ

…………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่เข็ดนะยัยเพ่ย​ ระวังเถอะ​ สักวันจะต้องไม่ตายดีเพราะนิสัยตัวเอง

งานรัดตัวมากเลยม่ายจื่อ​ บริหารยังไงนี่

ไหหม่า(海馬)