บทที่ 492 เข้าวัง

บทที่ 492 เข้าวัง

เดิมทีทั้งสองคนกำลังวุ่นกับการแอบหนีออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอก เนื่องจากมัวโอ้เอ้อยู่กับอวี้อวี้นานเกินไป หลังจากดูฉากกั้นเสร็จจึงเตรียมจะจากไป

ก่อนจากกัน หลินซือยังมิวายคุยเรื่องเปิดร้านใหม่กับอวี้อวี้ แทบจะให้อวี้อวี้ลั่นสาบานว่าจะไม่หนีหายไปจากตน ยั่วโมโหจนอวี้อวี้ต้องกลอกตาใส่นางเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินจากไป

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หลินซือออกมาเดินเล่นทั้งวันโดยไม่ซื้อสิ่งใด ครั้นนึกได้ว่าตนออกมาโดยใช้ข้ออ้างว่าจะออกมาซื้อของสำหรับวันปีใหม่ก็พลันรู้สึกเป็นกังวลในใจ แต่โชคดีที่เหยาซูเข้าใจว่าลูกสาวของตัวเองมีพฤติกรรมอย่างไร จึงไม่คาดหวังให้นางซื้อสิ่งใด โบกมือไล่ให้นางไปพักผ่อน

ดังนั้นหลินซือจึงกลับไปอาบน้ำล้างหน้าพักผ่อนอย่างเบิกบานใจ

ทว่าดั่งสวรรค์ไม่เป็นใจ ขณะที่หลินซือกำลังจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนั้น จู่ ๆ เซี่ยเซินก็เข้ามา

“อาเซิน?” หลินซือรีบคลุมเสื้ออย่างรวดเร็ว กระทั่งเห็นน้องชายที่มีจมูกแดงก่ำด้วยความหนาว ใบหน้าแดงระเรื่อ จึงลากเขาเข้ามาในห้อง

“เหตุใดมาดึกเพียงนี้? ดูท่าจะหนาวมาก” หลินซือกุมมือที่เย็นยะเยือกของน้องชาย พลางสั่งให้สาวใช้ไปต้มน้ำขิงเข้ามา

“ไม่ต้องพี่หญิง” เซี่ยเซินสูดจมูก “ข้าตั้งใจมาบอกบางอย่างกับพี่ ท่านปู่รอข้าอยู่หน้าประตู”

ทันทีที่ได้ยินว่าเซี่ยเชียนรออยู่ท่ามกลางอากาศเช่นนี้ หลินซือก็เป็นกังวลคิดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน จึงถามขึ้น “มีเรื่องอะไร?”

“จักรพรรดิรับสั่งให้ท่านปู่พาพี่เข้าวังพรุ่งนี้ ฝ่าบาทบอกว่าอยากเจอพี่” ใบหน้าที่สงบนิ่งของเซี่ยเซินระเบิดความกังวลออกมาทันที

“จักรพรรดิอยากพบข้า?!” หลินซือเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พลางตะโกนเสียงดัง

“ใช่นะสิ” เซี่ยเซินร่ำเรียนตำรากับองค์รัชทายาทมาหลายปี ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้สึกว่าการเข้าเฝ้าจักรพรรดิจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังพูดปลอบใจหลินซือว่า “ฝ่าบาทบอกไว้ว่าอยากเจอพี่หญิง ก่อนพิธีปักปิ่นของพี่หญิง ฝ่าบาทยังเคยทรงถามในราชสำนักเลย”

สีหน้าของหลินซือตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม

“เอาละ พี่หญิง พรุ่งนี้ข้าและท่านปู่จะมารับท่าน” เซี่ยเซินกอดหลินซือ ในใจยังพะว้าพะวงถึงเซี่ยเชียน จึงรีบจากไป

หลินซือครุ่นคิดหลายตลบในใจ ก็ยังคิดเหตุผลที่จักรพรรดิอยากเจอตนไม่ออก ใจจริงอยากออกไปถามท่านพ่อกับท่านแม่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งข้างนอกหิมะเริ่มตกปรอย ๆ หลินซือจึงยกเลิกความคิดที่จะออกไปชั่วคราว

สุดท้ายหลินซือก็หลับไปพร้อมกับความกังวล ปรากฏว่าในความฝันของนาง จักรพรรดิทรงยึดอำนาจทางทหารจากหลินเหราไป จึงให้ตัวเองเข้าวังเพื่อขู่มารดาของนาง…

หลินซือที่ฝันร้ายตลอดทั้งคืนก็ได้สะดุ้งตื่นในเช้าตรู่อีกวันด้วยใบหน้าซีดเผือด ในดวงตาปรากฏเส้นเลือดแดงฉาน เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” อวิ๋นซิ่วที่มักจะปรนนิบัติรับใช้หลินซือเสมอถึงกับตื่นตระหนก รีบรุดเข้าไปถามทันที

หลินซือส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร รีบเก็บของเถอะ ให้คนอื่นรอไม่ดี”

อวิ๋นซิ่วทำได้แค่ช่วยอาบน้ำล้างหน้าให้หลินซือด้วยสีหน้าเป็นกังวล และใช้ผ้าร้อนประคบใบหน้าให้นาง ก่อนจะออกจากเรือนสีหน้ากลับไม่ได้แย่มากเพียงนั้นแล้ว

วันนี้เหยาซูเพิ่งได้รับข่าวที่หลินซือต้องเข้าวัง นางไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิทรงประสงค์สิ่งใด ครั้นมองหลินเหรา เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับความสงสัยที่ฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา

แต่ในเมื่อหลินเหราไม่เคยได้รับข่าวแต่อย่างใด คงจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตไม่ได้ แม้ว่าเหยาซูจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้กังวลมากนัก สุดท้ายก็พาหลินซือไปส่งขึ้นรถม้าของเซี่ยเชียนอย่างว่าง่าย

“ท่านน้า เอ้อเป่าคงต้องรบกวนท่านดูแลแล้วเจ้าค่ะ” เหยาซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยเชียนได้ยินการลองเชิงที่แฝงในคำพูดของอีกฝ่าย ก็พยักหน้าตอบ ‘อื้อ’ หนึ่งเสียง

เหยาซูจึงรู้สึกสบายใจ

แต่หลินซือไม่รู้ว่าพวกเขาทิ้งปริศนาอะไรไว้ ยิ่งรถม้าเคลื่อนตัวใกล้วังมากขึ้น ในใจของหลินซือก็ยิ่งอึดอัด

โชคดีที่ยังมีเซี่ยเซินคอยปลอบใจนาง ตอนนี้หลินซือจึงนั่งอยู่ในรถอย่างสงบลงได้

“ถึงแล้ว” รถม้าหยุดชะงักลง เซี่ยเชินเอ่ยเสียงราบเรียบ

หลินซือขาอ่อนลงเล็กน้อย จึงถูกเซี่ยเซินประคองลงจากรถม้า แต่หลังจากที่ทั้งสามคนเดินเข้าไปได้ไม่นาน เซี่ยเซินก็ต้องไปยังตำหนักตะวันออก อาจเพราะความกังวลถึงขีดจำกัดแล้ว เซี่ยเซินจากไปแต่หลินซือกลับโล่งใจ

ครั้นเดินมาถึงประตูห้องทรงอักษร ก่อนจะเดินเข้าไป เซี่ยเชียนก็ได้เอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องกังวล แค่คุยเรื่องทั่วไป”

หลินซือตื่นตระหนก จากนั้นก็พยักหน้ารับ หัวใจที่เต้นระทึกสงบลงในที่สุด

ขันทีที่ได้รับคำสั่งได้เชิญพวกเขาเข้าไป เซี่ยเชียนเดินนำ หลินซือเดินตามเขาเข้าไปในห้องทรงอักษรเป็นครั้งแรก

ในตอนที่หลินซือน้อมทักทายนั้นนางยังไม่ได้เงยหน้า เสียงของจักรพรรดิไม่ได้แฝงไปด้วยความขุ่นเคืองแต่อย่างใด หลังจากที่นางน้อมทักทายเรียบร้อยก็คุยเรื่องการเมืองกับเซี่ยเซิน

หลินซือยืนจนเมื่อย สิ่งที่จักรพรรดิพูดถึงตนก็ไม่เข้าใจ ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนอิริยาบถในท่าที่สบายขึ้น จู่ ๆ ก็มีใครผู้หนึ่งปรากฏตัวข้างกาย

“ลูกขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิอย่างนอบน้อม

ใบหน้าของจักรพรรดิเผยรอยยิ้มในที่สุด ถามไถ่เกี่ยวกับการเรียนกับองค์รัชทายาทด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายก็เอ่ยถามอย่างไม่สนใจนักว่า “เมื่อสองสามวันก่อนพิธีปักปิ่นของหลินซือเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินซือกราบทูลอย่างหนักแน่นที่สุด “รายงานฝ่าบาท ทุกอย่างราบรื่นดีเพคะ”

จักรพรรดิพยักหน้า และกล่าวถามว่า “เข้าพิธีปักปิ่นแล้วก็นับว่าโตเป็นสาวแล้ว มีชายใดครองใจบ้างหรือไม่?”

ครั้นเห็นองค์รัชทายาทข้างกาย หลินซือสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ

เป็นอย่างที่คิดไว้ จักรพรรดิเอ่ยต่อว่า “ถ้าไม่มี จะยินยอมเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือไม่?”

“หม่อมฉันมิบังอาจ!” หลินซือถอยหลังหนึ่งก้าวและคุกเข่า เอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เจ้าไม่ยอมเหรอ” น้ำเสียงของจักรพรรดิเคร่งขรึมลง “องค์รัชทายาทชมชอบเจ้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่าเขาอยากจะสู่ขอเจ้ามาเป็นพระชายา”

“คงจะแค่หยอกเย้ากระมังเพคะ” หลินซือลุกแทบไม่ขึ้น

แม้ว่าสีหน้าของจักรพรรดิจะดูแย่ แต่ในใจกลับเบิกบานใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ เดิมทีเขาไม่อยากให้องค์รัชทายาทอภิเษกสมรสกับตระกูลหลินผู้มีอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางการทหาร เขาค่อนข้างชอบตระกูลสูงศักดิ์อย่างตระกูลเซี่ย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยเชียน จักรพรรดิทรงโปรดปรานเขายิ่งกว่าอะไรดี และยังคิดว่าสตรีในตระกูลเซี่ยเชียนจะต้องอ่อนโยน แลสามารถแบกรับภาระหน้าที่แม่แห่งแผ่นดินได้เป็นแน่

“องค์รัชทายาท เจ้าว่าอย่างไร?” จักรพรรดิหันไปถามองค์รัชทายาทที่มีสิ่งหน้าไร้ความรู้สึกใด

องค์รัชทายาทยังคงเงียบ คนรอบตัวเริ่มมองมาทางเขา เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ เขาได้เอ่ยขึ้น “ลูกยังเด็ก จะคุยเรื่องนี้นับว่าเร็วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคนี้บอกเป็นนัยว่าในอนาคตอะไรก็ไม่แน่นอน เพื่อไม่ให้หลินซือรีบปฏิเสธ และไม่ให้จักรพรรดิกำหนดเรื่องงานสมรสให้แก่เขา

หลินซือรู้สึกคันยุบยิบในใจกับท่าทางเช่นนี้ขององค์รัชทายาท

เรื่องพระชายาในองค์รัชทายาทนับว่าเป็นเรื่องที่องค์รัชทายาทจริงจังมาก แต่ตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้นางก็ยังคงปฏิเสธ ผลปรากฏว่าบัดนี้ข่าวซุบซิบนี้รู้ถึงหูจักรพรรดิแล้ว ยังไม่พอ จักรพรรดิยังถามต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ องค์รัชทายาทจะยอมแพ้เช่นนั้นหรือ?!

“ฝ่าบาท!” ทันใดนั้นหลินซือก็พลันเงยหน้าสู้สายตาของจักรพรรดิ แล้วกราบทูลด้วยเสียงดังกึกก้อง “แม้ว่าตอนนี้หม่อมฉันจะไม่มีคนที่ตัวเองชมชอบ แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้ชมชอบองค์รัชทายาท แม้ว่าหม่อมฉันจะยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าตัวเองอยากได้ความรักที่บริสุทธิ์ เรื่องนี้หม่อมฉันคงให้องค์รัชทายาทไม่ได้ เป็นมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ ทว่าหม่อมฉันคงไม่อาจเป็นพระชายาในองค์รัชทายาทได้เพคะ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกไป นัยน์ตาของเซี่ยเชียนยังแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ และมองหลินซือที่กล้าพูดอย่างไม่เกรงกลัวดั่งสำนวนที่ว่าลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ[1]

………………………………………………………………………………………………………………………..

[1] ลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ หมายถึงลูกวัวที่ไม่มีประสบการณ์เลยไม่รู้ว่าเสือนั้นดุร้ายแค่ไหน

สารจากผู้แปล

บทอาซือจะเด็ดขาดก็คือเด็ดขาดจริง ๆ นะ หักพระทัยเสียเถิดองค์รัชทายาท

ไหหม่า(海馬)