บทที่ 493 การสนทนา

บทที่ 493 การสนทนา

องค์จักรพรรดิไม่รู้สึกประหลาดพระทัยกับสิ่งที่หลินซือกล่าวออกมาเลย

ถึงแม้เดิมทีพระองค์จะไม่ต้องการให้หลินซือมาเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แต่ก็คาดไม่ถึงว่าตอนอยู่ในห้องทรงอักษร นางจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าตนไม่ชอบพวกเชื้อพระวงศ์เช่นนี้

นี่ถือว่าเป็นโทษร้ายแรงยิ่งนัก ถ้าหากคนนอกมาได้ยินเข้า ก็นับว่าการกระทำของหลินซือเป็นการขัดต่อพระราชโองการ

โดยปกติแล้วบุตรสาวของหลินเหรามีนิสัยนิ่งเงียบ แต่กลับกล้าหาญกว่าผู้เป็นบิดายิ่งนัก

ทว่าโชคดีที่เวลานี้ไร้ซึ่งคนภายนอก องค์จักรพรรดิสบตาเซี่ยเชียน ราวกับถามว่าหลานสาวของท่านเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

สติของเซี่ยเชียนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อเห็นสายพระเนตรที่มองมา จึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้พลางส่ายศีรษะ “เด็กน้อยไม่รู้เรื่องราว อภัยให้นางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

พระองค์เข้าใจเรื่องนี้ดี “ลุกขึ้นเถิดหลินซือ คำพูดนี้เจ้าไม่ควรเอ่ยกับข้า แต่ควรจะเอ่ยกับองค์รัชทายาท ถ้าเขารู้ว่าเจ้าคิดเช่นนี้ วัน ๆ เขาคงไม่พร่ำพรรณนาถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

ครั้นหลินซือเอ่ยจบก็พลันเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทไม่ได้ถือโทษตนจึงวางใจเล็กน้อย หลังจากกล่าวขอพระราชทานอภัยแก่องค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทเสร็จ นางจึงได้ลุกขึ้น

“เดิมทีข้าเห็นว่าไม่ง่ายเลยที่องค์รัชทายาทจะชอบพอกับผู้ใด และยังคิดอีกว่าช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก” จักรพรรดิแสร้งทำเป็นเสียพระทัยและพยักพระพักตร์ “กลายเป็นว่าข้าจับคู่ยวนยางผิดเสียอย่างนั้น”

“องค์รัชทายาท เจ้าก็กล่าวเองว่าอายุของตนยังเยาว์วัยนัก เช่นนั้นเรื่องพระชายาขององค์รัชทายาทอีกสองปีค่อยมาคุยกัน”

ตอนนี้ในหัวขององค์รัชทายาทเต็มไปด้วยเรื่องที่หลินซือปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี เขาขบฟันแน่นจนโลหิตแทบจะไหลออกจากปาก และเอ่ยรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก

“เอาละ พวกเจ้าออกไปก่อน” องค์จักรพรรดิโบกมือให้กับทั้งสอง “ตอนบ่ายค่อยว่ากันใหม่”

องค์จักรพรรดิรั้งเซี่ยเชียนเอาไว้แสดงว่ายังมีเรื่องที่ต้องการจะปรึกษา หลินซือจึงออกจากห้องทรงอักษรพร้อมกับองค์รัชทายาท

หลินซือที่กำลังจะออกมาจากห้องก็ได้วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่ามันไร้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะอายุยังน้อย ทว่าผลจากการฝึกขี่ม้าและยิงธนูทุกวันนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์ ไม่ช้าเขาก็ตามหลินซือทัน อีกทั้งยังขวางนางไว้ได้

“หลินซือ” เป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทเรียกนางด้วยชื่อจริง “พวกเราคุยกันก่อน”

หลินซือถูก ‘คุมตัว’ ไปที่ตำหนักตะวันออกด้วยใบหน้าขมขื่น

ระหว่างทางนางยังคงปลอบใจตนเองว่าไม่เป็นไร เซี่ยเซินยังอยู่ที่ตำหนักตะวันออก และองค์รัชทายาทก็คงจะไม่ทำการบุ่มบ่าม

แต่เมื่อทั้งสองเดินมาถึงห้องรับรองของตำหนักตะวันออก หลินซือกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยเซิน

“ไม่ต้องมองหรอก” องค์รัชทายาทหัวเราะ “ตอนนี้เซี่ยเซินอยู่ที่ห้องหนังสือ ต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่มีทางที่จะได้ยิน”

หลินซือรู้สึกว่ามันคล้ายกับประโยค ‘ถึงเจ้าตะโกนร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก’

หญิงสาวรู้สึกรังเกียจความคิดของตนเอง จึงรีบขจัดความคิดวุ่นวายเช่นนี้ออกจากหัว นางขมวดคิ้วแล้วเข้าไปให้ห้องตำรากับองค์รัชทายาท

สีหน้าขององค์รัชทายาทดูผ่อนคลายกว่าตอนที่ออกมาจากห้องทรงอักษรเป็นอย่างมาก เว้นเสียแต่มุมปากที่กดลึก ก็แทบสัมผัสความขุ่นเคืองไม่ได้

ทว่าในตอนที่อีกฝ่ายรินชาให้ตนนั้น เนื่องจากใช้แรงมากเกินไปจึงทำให้เห็นเส้นเลือดปูดนูนออกมา อารมณ์คุกรุ่นขององค์รัชทายาทยังไม่ได้หายไป เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น

“ฝ่าบาท สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะพูดล้วนได้พูดออกมาหมดแล้วภายในห้องทรงอักษร” หลินซือตัดสินใจเริ่มก่อน “ถ้าหม่อมฉันทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง หม่อมฉันขออภัยเพคะ แต่นั่นก็เป็นคำพูดที่จริงใจ หวังว่าฝ่าบาทจะตั้งใจฟังและไม่ต้องมาสิ้นเปลืองเวลากับหม่อมฉันแล้วเพคะ”

“สิ้นเปลืองเวลา” องค์รัชทายาทถูแก้วชาในมือ กล่าวทวนคำสี่พยางค์ที่มีความหมายลึกซึ้งนี้

บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน หลินซือกลืนน้ำลาย เอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ “หรือว่าฝ่าบาทไม่คิดเช่นนี้เพคะ?”

องค์รัชทายาทมองดูหลินซือด้วยความประหลาดใจ พลางจ้องมองดวงตาของอีกฝ่าย “ข้าต้องทำสำเร็จ เจ้าเองก็พูดแล้วไม่ใช่หรือ ว่าตอนนี้เจ้าก็ยังไม่มีคนที่ชอบพอ”

ความเพียรแสนดื้อรั้นขององค์รัชทายาททำให้หลินซือทุบโต๊ะอย่างโกรธเคือง “ถึงแม้ว่าหม่อมฉันยังไม่มี แต่ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่หม่อมฉันชอบอย่างแน่นอนเพคะ หม่อมฉันพูดแล้วว่าฝ่าบาทมอบสิ่งที่หม่อมฉันต้องการไม่ได้”

“ข้าเป็นองค์รัชทายาท ในอนาคตจะเป็นจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยน มีอะไรที่จะให้เจ้าไม่ได้กัน?” เขาถามขึ้นด้วยความสับสน

“นั่นก็เพราะฝ่าบาทเป็นองค์รัชทายาท เป็นจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนในภายภาคหน้า” หลินซือเน้นย้ำ “เช่นนั้นฝ่าบาทจึงให้ไม่ได้ หม่อมฉันต้องการเพียงแค่ความรักบริสุทธิ์ที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ฝ่าบาทให้หม่อมฉันได้หรือไม่เล่าเพคะ?”

เด็กสาวอิจฉาความรักของพ่อแม่ ดังนั้นภายในใจย่อมต้องการความรักเช่นนั้น

คำที่หลินซือเน้นย้ำในตอนท้ายนั้น เป็นการย้ำเตือนองค์รัชทายาทว่าในอนาคตเขาเองก็ต้องมีพระสนมโฉมงามสามพันนาง

หลังจากองค์รัชทายาทถูกถามกลับ ก็ทรงพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าทำได้ สิ่งที่เจ้าพูดมาข้าสามารถทำได้”

หลินซือกลับส่ายหน้า “ท่านยังสับสนในตัวหม่อมฉัน อนาคตหากฝ่าบาทยังสับสนคล้อยตามคำพูดของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ท้ายที่สุดราชสำนักจะให้ท่านเสกสมรสกับสตรีหนึ่งนาง สุดท้ายแล้วจะเป็นท่านเองที่ยอมแพ้”

“ไม่มีทาง!” องค์รัชทายาทรีบกล่าวขึ้น “ที่ข้าสับสนเพราะว่ากำลังชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอยู่ จึงไม่ได้ตอบเจ้าในทันที”

“ฝ่าบาทตรองดูเถิดเพคะ การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียมีความสำคัญที่สุดในสายตาท่าน” หลินซือกางมือออก “หม่อมฉันไม่ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด ท่านคือผู้ปกครองแผ่นดินในอนาคต ท่านทำเช่นนี้ถูกแล้ว ก็ควรจะทำเช่นนี้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่เหมาะสมเพคะ”

องค์รัชทายาทผิดหวังเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลินซือ เจ้านี่เป็นนักหลอกลวงจริง ๆ”

หลินซือส่ายหน้า “หม่อมฉันจะบอกความจริงกับพระองค์ แต่ฝ่าบาทกลับมาโต้เถียงกลับหม่อมฉัน ดังนั้นพระองค์จึงพ่ายแพ้เพคะ”

“เอาละ ข้าเถียงเจ้าไม่ได้” องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าแพ้แล้ว เช่นนี้แล้วเจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าชอบคนเช่นไร อย่างไรเสียข้าเองก็ไม่หวังอะไรแล้ว เจ้าบอกข้าทีว่าข้าแพ้คนเช่นไรกัน”

“ไม่ต้องพูดถึงอายุ นี่คือสิ่งที่ข้ากำหนดไม่ได้” องค์รัชทายาทเน้นย้ำ

หลินซือถอนหายใจด้วยความโล่งใจ หลังได้ยินองค์รัชทายาทพูดจาขบขัน จึงครุ่นคิดและเอ่ยขึ้น “คนที่ข้าชอบควรจะเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง ถ้าเป็นสุภาพบุรษด้วยยิ่งดี นอกจากนี้ต้องมีความรับผิดชอบ สามารถปกป้องครอบครัว อ้อ ใช่แล้ว ฐานะไม่ต้องดีมาก ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีเรื่องมากมายต่อครอบครัว”

หลินซือพูดไม่หยุดหย่อน องค์รัชทายาทเองก็อดทนฟังและพยักหน้า แต่กลับเยาะเย้ยอยู่ในใจ

ที่พูดมานั้นไม่ใช่เจี่ยงเถิงที่อยู่ต่อหน้าหลินซือคนนั้นหรือ

เห็นได้ชัดว่านางได้วางแผนให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตในอนาคตของตนโดยไม่รู้ตัว แต่นางก็ยังไม่รู้ว่าคนที่ตนชอบคือคนคนนั้น

ยังมีเจี่ยงเถิง ชายหนุ่มที่รู้ตัวมาแต่ต้นว่าชอบหลินซือ แต่กลับไม่ได้บอกอีกฝ่าย และก็ไม่รู้เช่นกันว่านี่คือความรอบคอบหรือความโง่เขลา

อย่างไรก็ตามองค์รัชทายาทต้องขอบคุณหลินซือสำหรับความระมัดระวังของนาง ถ้าหลินซือรู้ตัวเร็วกว่านี้หรือว่าเจี่ยงเถิงก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าว ไม่แน่ว่าทั้งสองก็คงอาจจะหมั้นกันไปแล้ว แล้วเขาก็จะไม่มีแม้แต่โอกาส

แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้แล้ว เป็นเขาเองที่มาในเวลาไม่เหมาะสม หากแต่ก็ไม่ได้สายเกินไป

ทั้งหมดนั้นยังคงมีความเป็นไปได้ เขายังมีโอกาสอยู่

“ที่ข้าคิดได้ตอนนี้ก็มีเท่านี้” ในที่สุดนางก็กล่าวจบ และผ่อนคลายด้วยการจิบชาเบา ๆ “ฝ่าบาทดูสิ ท่านไม่เหมาะสมจริง ๆ ใช่ไหมล่ะเพคะ”

ฝ่าบาทยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด หลินซือกลับยอมรับออกมาเช่นนี้

นางอดถอนหายใจยาว ๆ ไม่ได้ นางลุกขึ้นและลูบไหล่องค์รัชทายาท “ไม่เป็นไร พูดไปแล้วพวกเรายังเป็นสหายกันได้เพคะ”

“ดีเลย” องค์รัชทายาทยืนขึ้นและจับมือของหลินซือ อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาเคยทำแบบนี้บ่อย ๆ ตอนที่เขาทำตัวงี่เง่า แล้วหลินซือก็ไม่ถือสากับการสัมผัสร่างกายเช่นนี้

“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวกลับก่อนนะเพคะ แล้วพบกันใหม่ฝ่าบาท” หลินซือโบกมือให้กับองค์รัชทายาท ท่าทีของนางเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

หากนางหันกลับไปมององค์รัชทายาท จากการแสดงออกของอีกฝ่าย นางก็จะรู้ได้ว่ามันไม่ได้ง่ายเพียงนั้น ทว่านางก็ไม่ได้หันกลับไป

ตระกูลหลินและเจี่ยงเถิงล้วนเลี้ยงดูนางให้ไร้เดียงสาเกินไป

ในใจองค์รัชทายาทคิดเช่นนั้น

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกมันใช้ไม่ได้กับสตรีบางคนนะองค์รัชทายาท เขาบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ

ไหหม่า(海馬)