บทที่ 494 ได้รับการซักถาม
บทที่ 494 ได้รับการซักถาม
เดิมทีหลินซือก็อยากจะไปดูเซี่ยเซินสักหน่อย แต่นางไม่รู้ว่าห้องทรงอักษรขององค์รัชทายาทอยู่ที่ใด และยังกลัวว่าองค์รัชทายาทจะแอบตามมา ดังนั้นหลังจากที่พิจารณาดูแล้วนางจึงรีบออกไป
หลินซือกลับบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อนางเข้าประตูมาก็พอว่าบิดามารดากำลังรอตนอยู่ เมื่อทั้งสองเห็นว่าบุตรสาวกลับมาอย่างปลอดภัยต่างก็สบายใจขึ้นมา
เหยาซูถอดเสื้อคลุมของหลินซือออก และกำชับกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ให้ส่งโส่วหลู[1] และชาขิงให้กับนาง จากนั้นเอ่ยถามขึ้น “เอ้อเป่า องค์จักรพรรดิเรียกเจ้าไปด้วยเหตุใด”
“ฝ่าบาทต้องการให้ข้าเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทเจ้าค่ะ”
หลินซือกล่าวตามความจริง เหยาซูและหลินเหราต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่ท่านพ่อและท่านแม่จะกล่าวอะไรออกมา หลินซือจึงรีบเอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้าได้ปฏิเสธไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
สองสามีภรรยาถอนหายใจพร้อมเพรียงกัน กระทั่งผ่านไปไม่นานเหยาซูก็ได้ถามขึ้นมา “แล้วเจ้าปฏิเสธเช่นไร?”
ที่เหยาซูไม่ต้องการให้หลินซือเข้าวัง แท้จริงแล้วเป็นเพราะการเข้าวังนี่เองที่สร้างปัญหาให้กับเด็กสาวในชาติก่อน
เหยาซูเลี้ยงดูลูกสาวอย่างดีมาเป็นเวลานาน นางต้องหวังให้บุตรีมีความสุขที่สุด
นอกจากนี้เจี่ยงเถิงก็กำลังรออยู่ หากทั้งสองต่างมีความรู้สึกดีให้กันจริง ๆ เช่นนี้องค์จักรพรรดิจะเข้ามายุ่งกับทั้งคู่หรือไม่?
ในเวลานั้น เหยาซูจึงมีความคิดมากมาย
หลินซือมีอาการเขินอายเล็กน้อย คำพูดเช่นนั้นในชาตินี้นางเองก็คงจะไม่กล้าเอ่ยมันออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ต้องมาพูดต่อหน้าท่านพ่อและท่านแม่ เด็กสาวไม่มีทางที่จะเอ่ยทั้งหมดออกมาจากปากได้แน่ ๆ จึงทำได้เพียงบอกแค่ไม่กี่คำเท่านั้น “ก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรข้าก็ปฏิเสธไปแล้ว วันข้างหน้าองค์จักรพรรดิคงจะไม่มาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว”
“จริงสิ ท่านพ่อท่านแม่ ข้ายังก็มีเรื่องที่ต้องทำ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หลินซือไม่รอให้ทั้งสองกล่าวอะไรออกมา ทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็วิ่งจากไปทันที
เมื่อวิ่งออกมาจากประตูก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เจ้าไปเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว ถามฝ่าบาทให้กระจ่างว่าเหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้เถิด”
ตกเย็นหลังจากรอให้หลินจื้อกลับมา เมื่อได้ฟังเรื่องหลินซือถูกเรียกตัวเข้าไปในวัง ชายหนุ่มเองก็เข้ามาสอบถามหนึ่งรอบ
หลินจื้อรู้สึกว่าตัวตนขององค์รัชทายาทที่ออกมาจากปากน้องสาวช่างต่างกับองค์รัชทายาทที่ตำหนักตะวันออกยิ่งนัก ชายหนุ่มจ้องมองด้วยความสงสัย
ทว่าหลินซือกลับกะพริบตาปริบๆ จ้องมองผู้เป็นพี่ชายอย่างใสซื่อ ชายหนุ่มจึงถามอะไรไม่ออก ทำได้แค่เพียงปลอบตนเองที่จะต้องเข้าวังไปสอบถามจากสหายร่วมงาน
“เอาละ นี่ก็ค่ำแล้ว รีบเข้านอนเถอะ ”
หลินจื้อลูบหัวน้องสาวของตนแล้วจากไป
หลังส่งหลินจื้อออกไปแล้ว หลินซือก็เตรียมจะพักผ่อน ทว่าอวิ๋นซิ่วที่เพิ่งจะส่งพี่ชายของตนออกไปกลับเข้ามาบอกว่าเจี่ยงเถิงรอนางอยู่บริเวณด้านนอก
หลินซือจะทำเช่นไรได้? เมื่อเด็กหนุ่มรีบมาเช่นนี้ นางก็ทำได้เพียงให้เจี่ยงเถิงเข้ามา
เจี่ยงเถิงเข้ามาด้วยความกังวล ก็พบว่าหลินซือที่กำลังหาวใส่ตนอยู่
“นั่งได้ตามสบายเลย” ท่าทางของหลินซือที่อยู่ต่อหน้าเจี่ยงเถิงนั้นปล่อยตามสบายมากกว่าอยู่ต่อหน้าหลินจื้อเป็นอย่างมาก แม้แต่ชานางก็เทให้ด้วยความขี้เกียจ เด็กสาวฟุบหน้าลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม “ท่านมาเพราะเรื่องที่ข้าเข้าวังใช่หรือไม่?”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า หลินซือพูดในสิ่งที่ตนได้กล่าวไปกับหลินจื้อเมื่อครู่นี้ หลังจากนั้นก็ถูกเจี่ยงเถิงดีดเข้าที่หน้าผาก
“พูดความจริง” เจี่ยงเถิงเคาะโต๊ะ แสดงออกถึงความเกรงขาม
หลินซือกุมหน้าผาก เอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสาร “ที่ข้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไปถามองค์รัชทายาทเองสิ หรือจะถามองค์จักรพรรดิก็ย่อมได้”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าออกไปถามใช่ไหม” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้วและมองไปที่หลินซือ และทำท่าทางจะยืนขึ้น “ข้าจะเข้าวังตอนนี้”
“ท่านจะไปจริง ๆ หรือ” หลินซือรีบจับเด็กหนุ่มไว้ให้นั่งดี ๆ และเอ่ยกับชายหนุ่มอย่างจริงจัง “เอาละ ๆ อย่าโกรธไปเลย ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นกังวลน่ะ”
“ถ้าเจ้าพูดดี ๆ ข้าถึงจะไม่เป็นกังวล” เจี่ยงเถิงถือโอกาสใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้และรีบนั่งลง “บอกเรื่องราวทั้งหมดกับข้า วันข้างหน้าถ้ามีปัญหาข้าจะได้คิดแผนการออก”
หลินซือไม่มีทางเลือกจึงต้องบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในห้องทรงอักษรกับเจี่ยงเถิง ในขณะที่เล่าเรื่องนั้นเด็กสาวเองรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ภายใต้การบีบบังคับของเจี่ยงเถิง หลินซือก็พูดทุกอย่างออกมา
“เจ้ากล้าหาญมาก” เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าหลินซือกลับมาโดยไม่ได้เป็นอะไร ถึงผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็ยังตกตะลึงกับสิ่งที่หลินซือได้เอ่ยออกไป
“นี่ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ” หลินซือกล่าวเอ่ยปลอบเด็กหนุ่มเสียงอ่อนโยน “ตอนนั้นข้าต้องกล่าวอย่างชัดเจนน่ะ เดิมทีก็แค่พูดเล่น แต่พอเรื่องไปถึงองค์จักรพรรดิที่ดูจะจริงจังเป็นอย่างมาก ข้าจะตบตาต่อไปได้อย่างไร? ก็ต้องบอกกล่าวให้ชัดเจน หากว่าในอนาคตฝ่าบาทประสงค์ที่จะให้แต่งงานจริง ๆ ถ้าข้าขัดคำสั่ง ก็ถือว่าเป็นโทษใหญ่ไม่ใช่หรือ?”
เจี่ยงเถิงไม่ได้รู้สึกว่าจักรพรรดิจะอยากให้หลินซือเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทจริง ๆ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทก็ต้องปรึกษากับองค์รัชทายาทเสียก่อนแล้ว ไม่ใช่เรียกหลินซือเข้าวัง
ตอนนี้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้แล้ว หรือว่าพระองค์จะยืมมือของหลินซือทำให้องค์รัชทายาทล้มเลิกความคิดเช่นนี้กัน
เจี่ยงเถิงไม่สามารถบอกสิ่งที่ตนคาดเดาให้กับหลินซือฟังได้ ชายหนุ่มเพียงแค่ชื่นชมเท่านั้น “เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้ดีมาก ๆ”
“มันก็แน่นอน” หลินซือเงยหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากนั้นก็ลูบอกด้วยความหวั่นกลัว “จริง ๆ เวลานั้นข้ากลัวแทบตายอยู่แล้ว ตอนข้าคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วฝ่าบาทสั่งให้ข้าลุกขึ้น ข้ารู้สึกว่าขาอ่อนยวบไปหมด”
หลังจากที่เจี่ยงเถิงกล่าวปลอบไม่กี่ประโยค เด็กหนุ่มก็จึงเอ่ยถามขึ้นต่อ “แล้วหลังจากนี้ล่ะ? เจ้าก็กลับมาเลยหรือไม่? ”
หลินซืออยากจะบอกว่าใช่ แต่ว่าภายใต้แววตาของเจี่ยงเถิงนั้น เด็กสาวก็ตอบอย่างซื่อสัตย์ “ไม่ได้กลับ องค์รัชทายาทบอกว่าอยากจะพูดคุยต่อ หลังจากนั้นพวกเราก็ไปที่ตำหนักตะวันออกกัน”
“พวกเจ้าคุยอะไรกัน?”
“ไม่ได้คุยอะไรมากมาย” หลินซือบอกเล่าเรื่องการสนทนาให้เจี่ยงเถิงฟัง หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านดูสิ เขาถูกข้าเกลี้ยกล่อมแล้ว ในวันข้างหน้าเขาจะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรอีก พวกเราควรจะรีบพูดเช่นนี้ตั้งแต่ต้นให้เขาเข้าใจ อายุของฝ่าบาทยังเยาว์วัยเช่นนั้น แค่ฟังนิดเดียวก็เข้าใจได้แล้ว”
เมื่อมองไปที่หลินซือที่ไร้เดียงสา หัวใจของเจี่ยงเถิงก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผสมปนเปกัน
ด้านหนึ่งเขาได้รับกำลังใจเมื่อได้ยินเกณฑ์การเลือกคู่ครองของหลินซือ แต่ในอีกทางหนึ่ง เขาทำอะไรไม่ถูกเพราะความใสซื่อของนาง
ยังมีองค์รัชทายาทอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ยอมแพ้เพียงแต่หยุดไว้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แม่สาวน้อยคนนี้กลับมีหน้ามาคิดว่าตนนั้นเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ
“เหตุใดท่านถึงไม่ดีใจเล่า” หลินซือซึ่งพอใจมากแล้ว เมื่อนางเห็นการแสดงออกของเจี่ยงเถิงจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เจี่ยงเถิงเปลี่ยนท่าทีของตน “ข้ายังไม่ได้แสดงออกมาน่ะ”
“ตะลึงในความเฉลียวฉลาดของข้าล่ะสิ” หลินซือทำท่าทางของผู้ใหญ่แล้วตบไหล่ชายหนุ่ม “ตอนนี้พวกเราต่างก็โตกันแล้ว อย่าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้เรื่องราวไปเลย”
ว่าพลางตนเองก็ทนไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา
เจี่ยงเถิงเองก็ยิ้มขึ้นมา เพียงแต่เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเพราะช่วยไม่ได้
“สมองอย่างเจ้า โดนคนหลอกแล้วยังจะช่วยเขานับเงิน ไม่แน่ว่าแค่นับเงินเจ้าเองยังนับไม่ถูกเลย”
เจี่ยงเถิงบ่นในใจ ในขณะเดียวกันก็กำลังพิจารณาว่าเขาควรพาหลินซือดูด้านมืดของโลกภายนอกหรือไม่ เขากังวลเหลือเกินว่าวันหนึ่งนางจะถูกลักพาตัวไป
………………………………………………………………………………………………….
[1] เตาอุ่นมือ มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าผลส้ม ไปจนถึงขนาดกลาง ๆ ประมาณแตง ทำเป็นแบบมีหูหิ้วหรือเป็นทรงธรรมดามีฝาปิด สามารถพกติดตัวให้ความอบอุ่นที่มือได้
สารจากผู้แปล
พอเป็นเรื่องนี้อาซือก็ใสซื่อเหลือเกิน ต้องให้พี่เถิงพาไปดูโลกกว้างเสียแล้ว
ไหหม่า(海馬)