ตอนที่ 520 อธิบาย

My Disciples Are All Villains

หลิวจือเหยียดหลังตรงก่อนที่จะลุกจากที่นั่งตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าในตอนนี้กำลังพยายามช่วยเสด็จพ่อ ข้าแน่ใจว่าท่านต้องเคยได้ยินเรื่องของสำนักอเวจีที่พยายามพิชิตมณฑลทั้งเก้า การต่อสู้ที่มณฑลยู่กำลังจะเริ่มขึ้นทุกเมื่อ ข้าต้องการให้สถานศึกษาไท่ชูส่งสาวกทั้งหมดไปยังสนามรบเพื่อสนับสนุนแม่ทัพจี้”
  หลินซินไม่แปลกใจกับเงื่อนไขของหลิวจือเลยตัวเขาเองก็คาดคิดเอาไว้แล้ว ถ้าหากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยอมช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาเองก็ย่อมที่จะต้องช่วยเหลือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมนั่นเอง หลินซินพยักหน้ายอมรับเงื่อนไขแต่โดยดี “ตกลง ข้าขอสัญญาองค์ชาย”
  หลิวจือเดินมาหยุดต่อหน้าหลินซินก่อนที่จะพูดต่อ“อย่าได้คิดเลยว่าท่านต้องลำบาก หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นี้ได้ ข้าสัญญาว่าจะให้เม็ดยาแห่งการเบ่งบานเป็นของรางวัล อย่าลืมไปว่า…สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่นั้นรับฟังคำสั่งของทางราชสำนักเท่านั้น”
  “ขอบคุณองค์ชาย”หลินซินโค้งคำนับ
  “การต่อสู้ที่มณฑลยู่สำคัญมากเพราะแบบนั้นท่านก็ควรที่จะส่งสาวกของท่านไปที่นั่นให้เร็วที่สุด…ข้าเองยังมีอย่างอื่นที่จะทำให้ท่านสงบใจและหายกังวลได้” หลังจากที่พูดแบบนั้นหลิวจือก็ขยับเข้าไปใกล้หลินซินก่อนที่จะกระซิบอะไรบางอย่าง
  ทุกๆคนที่อยู่ภายในห้องต่างก็ไม่ได้ยินสิ่งที่พูด สิ่งที่หลิวจือพูดทำให้ดวงตาของหลินซินเบิกกว้าง
  หลินซินเป็นผู้ที่พยายามรักษาศักดิ์ศรีของผู้เป็นปรมาจารย์แห่งสถานศึกษาไท่ชูมาโดยตชลอดแต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้สำคัญอีกต่อไป หลินซินทำได้เพียงกล่าวขอบคุณด้วยความเคารพอย่างสูง “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะองค์ชาย!”
  “ข้าขอฝากท่านด้วยข้าขอตัวก่อน” หลิวจือไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ให้เสียเวลา ตัวเขาหันหลังเดินออกจากห้องประชุมในทันที
  หลินซินรีบพูด“โจวเหวินเหลียง ออกไปส่งองค์ชายเร็วเข้า”
  “ข้าอย่างงั้นเหรอ”
  “ใช่เจ้านั่นแหละ!”
  ผู้อาวุโสคนที่สองอย่างโจวเหวินเหลียงพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งออกไปในทันที
  หลินซินที่ยังคงอยู่รีบสั่งการต่อไป“เซียวซาน พาสาวกหลัก 1,000 คนไปกับเจ้า ไปสนับสนุนกองทัพของแม่ทัพจี้ซะ”
  “ทะ…ท่านปรมาจารย์พวกเราจะเชื่อใจรัชทายาทได้อย่างงั้นเหรอ” เสี่ยวซานดูกังวล
  สีหน้าที่หลินซินมีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตัวเขาได้พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ทำตามที่ข้าสั่งซะ”
  “ครับ”
  นับตั้งแต่เหล่าผู้อาวุโสเสนอให้หลินซินขอโทษศาลาปีศาจลอยฟ้าตัวเขาก็รู้สึกโกรธเหล่าผู้อาวุโสมาโดยตลอด ในตอนนี้หลินซินไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับเหล่าผู้อาวุโส ตราบใดที่ตัวเขารอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ ตัวเขาก็จะกลายเป็นพันธมิตรกับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ที่ตัวเขาจะกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นเวลาของขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ก็จะหายไป
  โจวเหวินเหลียงได้กลับมาไม่นานหลังจากที่เสี่ยวซานจากไปตัวเขามองดูชุดเกราะที่อยู่ในกล่องก่อนที่จะถามออกมาอย่างลังเล “ผู้อาวุโส…ชุดเกราะนั่นมันทรงพลังจริงๆ อย่างงั้นเหรอ มันทรงพลังพอที่จะขับไล่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้เลยอย่างงั้นเหรอครับ?”
  “มันไม่ใช่ของปลอมแน่”หลินซินเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเคยไปเยี่ยมชมเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน และโชคดีที่ข้าเคยมีโอกาสเข้าไปยังห้องเก็บสมบัติชั้นใน…ที่นั่นเต็มไปด้วยสมบัติ อาวุธ หรือของหายากทั้งหมดจากทั่วทุกมุมโลก คนที่คอยดูแลคลังสมบัติชั้นในก็คือองค์หญิงหยุนจ้าว ในเวลานั้นองค์หญิงเป็นผู้ยืนยันว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมีอยู่จริง”
  ผู้อาวุโสคนที่สองอย่างโจวเหวินเหลียงได้โค้งคำนับก่อนจะพูด“ท่านปรมาจารย์ ถ้าหากเป็นแบบนั้นสถานศึกษาไท่ชูของพวกเราจะต้องปลอดภัยเพราะท่านแน่!”
  หลินซินเหลือบมองไปที่โจวเหวินเหลียงก่อนจะพูด“ข้าต้องการหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อจัดวางเขตแดนและคิดแผนการเอาชนะจีเทียนเด๋า…เอาชุดเกราะของข้าส่งไปที่ห้องข้าซะ”
  “ครับ!”
  …
  เวลาเจ็ดวันได้ผ่านไปในพริบตา
  ณศาลาปีศาจลอยฟ้า
  ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตัวเขาได้วัดพลังวิเศษที่ตัวเองมี หลังจากที่ยืนยันได้ว่าพลังวิเศษถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แบบ ลู่โจวก็ได้เรียกเมนูขึ้นมา
  ตัวเขาตรวจสอบตรงเมนูคัมภีร์เปิดโลกาดูเหมือนว่ามันยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
  “การทำสมาธิเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรกใช้ไม่ได้ผลอย่างงั้นเหรอ”
  ถ้าหากพลังวิเศษทั้งสองอย่างเป็นพลังที่แตกต่างกันแบบนั้นคงจะต้องลำบากเพิ่มขึ้นแน่ เท่ากับว่าลู่โจวจะต้องใช้เวลานั่งสมาธิเพิ่มเติม
  เพื่อยืนยันความคิดนี้ลู่โจวจึงได้เปิดคัมภีร์เปิดโลกาก่อนที่จะพยายามทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจอักษรของคัมภีร์เปิดโลกามันเหมือนกับตอนที่ลู่โจวพยายามทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรก (ส่วนมนุษย์) แม้ว่าจะพยายามทำสมาธิไปที่มันมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าตัวอักษรที่มีก็ยังไม่ปรากฏออกมาอย่างที่ลู่โจวคาดหวังไว้ ลู่โจวถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว”
  ตัวเขาได้เลือกเปิดเมนูภารกิจที่มีแทนภารกิจ: ตามหาชิ้นส่วนของคัมภีร์เปิดโลกา
  ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย‘นี่มันจะมากเกินไปแล้ว! แม้แต่คัมภีร์ส่วนแรกก็ยังไม่เห็นเป็นแบบนี้!’
  ในตอนนั้นเองเสียงของหมิงซี่หยินก็ได้ดังขึ้น“ท่านอาจารย์”
  “มีอะไร”
  “สถานศึกษาไท่ชูขอเข้าพบ”
  ลู่โจวใจจดใจจ่อกับเรื่องคัมภีร์เล่มใหม่จนลืมเรื่องของสถานศึกษาไท่ชูไปหมดแล้วสถานศึกษาไท่ชูเคยท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมให้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจได้ ลู่โจวจะไม่มีวันปล่อยพวกไท่ชูอยู่สุขสบายแน่
  ลู่โจวได้เดินออกมาพร้อมกับมือที่ไขว้หลังทั้งสองข้างเมื่อตัวเขาเห็นหมิงซี่หยินกำลังทำความเคารพอยู่ลู่โจวก็ได้ถามออกมา “มีเจ้าอยู่คนเดียวอย่างงั้นเหรอ”…
  ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงหมิงซี่หยินคนเดียวที่ทักทายลู่โจวลู่โจวไม่เห็นคนอื่นๆ อยู่เลย
  หมิงซี่หยินเกาหัวก่อนจะตอบกลับไป“ศิษย์น้องห้ากับศิษย์น้องแปดกล้าหาญพอที่จะผ่าดอกบัวทองคำของตัวเองและทำการฝึกฝนตนใหม่ ส่วนคนอื่นๆ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
  ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นก็ได้ดังขึ้น “ศิษย์น้องสี่ ศิษย์น้องสี่ เจ้าอยู่ไหนกันแน่ ข้าน่ะใช้หอกราชันย์ได้ดีขึ้นไปอีกระดับแล้ว! เจ้าจะต้องไม่เชื่อข้าแน่!”
  พรึ๊บ!
  หมิงซี่หยินได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
  ‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่หมิงซี่หยินจะเดินอ้อยอิ่งอยู่ทางศาลาตะวันออกเขาคงรู้แน่ว่าไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่โดยไม่มีธุระได้’
  ต้วนมู่เฉิงไม่ได้เดินเข้ามาตัวเขาได้เดินผ่านศาลาตะวันออกก่อนที่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
  ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
  …
  ภายในห้องโถงใหญ่
  ลู่โจวนั่งอย่างสง่างามอยู่บนที่นั่งสูงสุดของเขา
  นอกจากฝานซงและโจวจี้เฟิงแล้วไม่มีใครคนอื่นอยู่ด้วย ในตอนนี้มันดูไม่เหมือนกับศาลาปีศาจลอยฟ้าในอย่างที่เคยเป็นเลย
  สมาชิกสามคนจากสถานศึกษาไท่ชูได้เดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ด้วยการนำทางของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงทันทีที่พวกเขามาถึงทั้งสามคนก็คุกเข่าในทันที
  “ผู้อาวุโสจี!ข้าเป็นผู้อาวุโสคนที่สองแห่งสถานศึกษาไท่ชูมีนามว่าโจวเหวินเหลียง”
  “ผู้อาวุโสจีข้าเป็นผู้อาวุโสคนที่สามแห่งสถานศึกษาไท่ชู ข้ามีชื่อว่าหวังเจียนราง”
  “ผู้อาวุโสจีส่วนข้าคือผู้อาวุโสคนที่ห้าของสถานศึกษาไท่ชู จางกง”
  ‘เจ้าพวกนี้นี่มันอะไรกันก่อนหน้านี้ก็เหริน ยี่ หลี่ จือ มันเป็นคำจากชาวลัทธิขงจื๊อที่หมายถึงความกรุณา ความยุติธรรม ความอ่อนน้อม ความฉลาด และความจริงใจ ส่วนคำว่าเหวิน เหลียง กง เจียน ราง เจียนหมายถึงความเมตตา ความเคารพ ความประหยัด และความเอื้ออาทร เจ้าพวกนี้ช่างสรรหาตั้งชื่อซะจริง’
  ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นห้องโถงใหญ่ว่างเปล่า เมื่อได้เห็นแบบนั้นทุกคนก็สับสน ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ อย่างงั้นเหรอ สภาพในตอนนี้มันดูรกร้างจนทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองมาผิดที่ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่พยายามแอบอ้างเป็นจีเทียนเด๋าและสาวกทั้งเก้าของเขา นี้มันเกือบจะเป็นกระแสใหม่ของโลกใบนี้ไปแล้ว
  ในที่สุดโจวจี้เฟิงก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น“พวกเจ้ากำลังมองอะไรกัน พวกเจ้ากล้าดียังไงที่ทำแบบนั้นต่อหน้าท่านปรมาจารย์?”
  “ได้โปรดยกโทษพวกเราด้วยผู้อาวุโสจี!พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อที่จะขอโทษจากใจจริง…” โจวเหวินเหลียงตอบกลับมา
  “ขอโทษอย่างงั้นเหรอ”ลู่โจวเหลือบมองทั้งสามคน “ถ้าหากพวกเจ้าจริงใจจริงก็ควรจะให้หลินซินเป็นคนมา”
  ฝานซงคิดว่าคำพูดของลู่โจวสมเหตุสมผลตัวเขาที่ได้ฟังแบบนั้นจึงได้พูดต่อว่าออกมา “เจ้าพวกโง่เง่า…เจ้าคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะถูกหลอกง่ายๆ สินะ” อารมณ์แห่งความไม่พึงพอใจได้ผุดขึ้นในใจของโจวจี้เฟิง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสาวกคนอื่นๆ ไม่อยู่ ความกดดันที่ตัวเขาได้รับจึงลดลงเป็นอย่างมาก โจวจี้เฟิงรู้สึกดีมาก! คราวนี้ตัวเขาจะต้องคว้าโอกาสที่จะสร้างความประทับใจอันดีให้กับปรมาจารย์อย่างลู่โจว
  โจวเหวินเหลียงสั่นไปทั้งตัว“ผู้อาวุโสจี ข้าอธิบายได้” หลังจากพูดจบตัวเขาก็ได้ส่งหีบห่อที่ทั้งสองคนถืออยู่ให้กับลู่โจว ตัวเขาเปิดมันก่อนจะพูดต่อ “ผู้อาวุโสจีดูนี้สิ!”
  ทุกๆคนต่างก็งุนงง เมื่อเปิดหีบของออกมา ภายในนั้นมันเต็มไปด้วยชุดเกราะสีแดงเข้ม ลวดลายสีแดงที่อยู่ในนั้นดูอัดแน่นและละเอียดอ่อนมาก
  มันเป็นเรื่องปกติที่โจวจี้เฟิงและฝานซงจะไม่เห็นความพิเศษของมัน
  แต่สำหรับลู่โจวชุดเกราะที่ตัวเขาได้เห็นมันส่งผลกับตัวเขาเป็นอย่างดี ลวดลายที่อยู่ในนั้นมันคล้ายกับลวดลายเขตแดนพลังจากโลงศพของชาวรั่วหลานมาก!
  “ผู้อาวุโสจีหลินซินกำลังสมรู้ร่วมคิดกับรัชทายาทวางแผนที่จะทำร้ายท่าน องค์ชายได้บอกเอาไว้ว่าชุดเกราะตัวนี้สามารถรับมือกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้”