บทที่ 495 ปฏิเสธการช่วยเหลือ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 495 ปฏิเสธการช่วยเหลือ

บทที่ 495 ปฏิเสธการช่วยเหลือ

ทุกคนรู้เพียงว่ากุ้ยชุนเจียวช่วยชีวิตลูกชายของหลี่ฝานไว้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้นางพูดออกไปได้อย่างไร

กุ้ยตงเหมยไม่รู้ความจริง ดังนั้นนางอาจจะพูดอะไรก็ได้ แต่กุ้ยซื่อและกุ้ยชุนเจียวต่างก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น หากจะให้พวกนางพูดอะไร กุ้ยซื่อก็ไม่สามารถเปิดปากได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเรื่องร้อนใจของกุ้ยซื่อ นางก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

ใบหน้าของนางไร้อารมณ์ แต่สายตาที่มองกุ้ยซื่อและกุ้ยชุนเจียวดูดุร้าย

ในใจพลันคิดว่าคนในตระกูลกุ้ยนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ประหยัดน้ำมันเลยจริง ๆ

กุ้ยสวิ้นเหอเป็นคนขี้ขลาดและกลัวภรรยาของเขา กุ้ยซื่อเป็นที่หยาบคาย กุ้ยชุนเจียวเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะคนได้ ส่วนกุ้ยตงเหมยก็เป็นคนที่ดันทุรัง

ครอบครัวนี้แปลกประหลาดเสียจริง เหมือนคำโบราณว่า ถ้าไม่ใช่คนพวกเดียวกัน ก็คงจะไม่ไปสุมหัวอยู่ด้วยกัน

กุ้ยซื่อแอบมองกู้เสี่ยวหวาน การถอนหายใจอย่างเย็นชาของกู้เสี่ยวหวานเมื่อครู่ทำให้กระดูกสันหลังของนางเย็นวาบ

ตนเป็นผู้หญิงในวัยสามสิบกว่าปีแล้ว แต่เมื่อเด็กคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเย็นชาใส่ นางก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว

กุ้ยซื่อรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่รัศมีของกู้เสี่ยวหวานนี้รุนแรงเกินไป

“กุ้ยตงเหมยไปหาเถ้าแก่หลี่ เช่นนั้นพวกท่านก็ไปหากุ้ยตงเหมยสิ จะมาหาข้าทำไมกัน?”

ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานน่าเกลียดมาก

“เสี่ยวหวาน ข้ากลัว ข้ากลัว…” เมื่อเห็นการแสดงออกที่ไม่แยแสของกู้เสี่ยวหวาน กุ้ยชุนเจียวก็ตกใจอย่างมาก หากกู้เสี่ยวหวานปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ตนเองก็คง …

กุ้ยชุนเจียวกลัวมากจนน้ำตาไหล “เสี่ยวหวาน ข้ากลัวว่าตงเหมยจะไปรบกวนเถ้าแก่หลี่!”

“เจ้ากลัวว่าเถ้าแก่หลี่จะบอกกุ้ยตงเหมยเกี่ยวกับการช่วยเหลือเจ้าใช่หรือเปล่า?” กู้เสี่ยวหวานเข้าใจและเอ่ยถามกลับ

“ใช่!” กุ้ยชุนเจียวพยักหน้าด้วยความกังวล

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเช่นนั้น นางก็พูดทันทีว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล เพราะเถ้าแก่หลี่ไม่ใช่คนเช่นนั้น! เนื่องจากเขาสัญญาว่าจะช่วยและได้ช่วยเหลือเจ้าแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่เสียใจและจะไม่บอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวถ้อยคำที่สมเหตุสมผล

ตอนนั้นเมื่อคิดว่าจะขอให้หลี่ฝานช่วย แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเถ้าแก่หลี่เป็นคนตรงไปตรงมา เอาใจใส่และปากแข็ง การขอความช่วยเหลือจากเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไปเล่าเรื่องของกุ้ยชุนเจียวให้คนอื่นฟัง

เมื่อกุ้ยชุนเจียวได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัวก็ลดลงเล็กน้อย แต่เมื่อนางนึกถึงบางสิ่ง คิ้วของนางก็ขมวดขึ้นอีกครั้ง “เสี่ยวหวาน เจ้าย่อมรู้ดีกว่าเราว่าเถ้าแก่หลี่เป็นคนเช่นไร ตั้งแต่ที่เจ้าบอกว่าเถ้าแก่หลี่จะไม่พูดเด็ดขาด เช่นนั้นพวกเราก็จะเชื่อ แต่ข้าแค่กังวลว่าตงเหมยที่ดื้อรั้นจะไม่ยอมแพ้ เว้นแต่นางจะบรรลุเป้าหมาย!”

กุ้ยชุนเจียวมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าอ้อนวอน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสียงของกู้เสี่ยวหวานก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน “ความหมายของเจ้าก็คือต้องการให้เถ้าแก่หลี่ตอบสนองความต้องการที่ไม่สมเหตุสมผลของกุ้ยตงเหมย?”

“เสี่ยวหวาน ข้ารู้ว่ามันเป็นความผิดของเรา แต่ตอนนี้เขาได้ช่วยแล้วก็ควรช่วยให้ถึงที่สุด ตงเหมยผู้นั้นไร้เหตุผลเกินไป นางบอกว่าครอบครัวของเถ้าแก่หลี่นั้นร่ำรวย นางจึงไปหาเถ้าแก่หลี่ หากนางไม่ได้อะไรกลับมา นางก็จะไม่ยอมแพ้!” กุ้ยซื่อพูดอย่างหน้าด้าน

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยิน นางก็เหลือบไปที่กุ้ยซื่อและกุ้ยชุนเจียว นี่นางช่วยใครไปกัน?

ตนเองพยายามช่วยเหลือพวกนางไปอย่างเต็มที่แล้ว แต่พวกนางกลับไม่ได้ดูแลสมาชิกในครอบครัวให้ดี และปล่อยให้นางไปก่อกวนผู้มีพระคุณ ทั้งยังขอให้ผู้มีพระคุณปฏิบัติตามเงื่อนไขของพวกนางอีก

เดิมทีมันเป็นคำขอที่ไม่ได้อยู่บนโต๊ะ แท้จริงแล้วใครช่วยใครกันแน่ มันกลับกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์

ในเวลานั้นนางใจอ่อนและปล่อยให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร

“ขอโทษนะ แต่พวกเจ้าออกไปเถอะ! ในตอนนั้นใครช่วยใครบ้างกก็รู้กันดีอยู่แล้วในใจเจ้าเอง! และตอนนี้ยังใช้ความโชคร้ายของเถ้าแก่หลี่เพื่อให้ดูเหมือนว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าจริง ๆ อีก ตอบแทนพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าฝันหวานมากเกินไปแล้ว” กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธอย่างหยาบคายและมองดูทั้งสองด้วยความรังเกียจราวกับว่าพวกนางเป็นคนโลภที่ไม่รู้จักพอ

“กุ้ยชุนเจียว นี่คือเรื่องของเจ้า เขาช่วยเจ้าและทำดีที่สุดแล้ว อย่ามาทำตัวไร้ยางอายเลย คำขอเช่นนี้ของพวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกละอาย”

กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างไร้ความปรานี “หากคิดว่ากุ้ยตงเหมยทำได้ไม่ถูก พวกเจ้าก็ไปเกลี้ยกล่อมกุ้ยตงเหมยกันเอาเอง ถ้าจะให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่หลี่อีกครั้ง ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าทำให้ไม่ได้ พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องการเลี้ยงเสือเชิญภัยร้ายหรือไม่? ข้าช่วยพวกเจ้าหนึ่งครั้ง พวกเจ้าก็มาขอร้องให้ข้าช่วยครั้งที่สอง แล้วก็มีครั้งที่สาม หลังจากนั้นก็จะมีครั้งที่สี่ที่ห้าไม่จบไม่สิ้น เดิมทีเรามีเจตนาดี แต่ในสายตาพวกเจ้ากลับกลายว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำ ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ข้าไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”

กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเย็นชา มองไปที่กุ้ยซื่อและกุ้ยชุนเจียวที่อยู่ในอาการตกตะลึง และในที่สุดก็พูดว่า “สุดท้ายนี้ ข้าอยากจะแนะนำว่า หากกลัวว่าเถ้าแก่หลี่จะบอกความจริง คนที่พวกเจ้าต้องไปหาคือกุ้ยซื่อตงเหมยและขอให้นางเลิกยุ่งวุ่นวาย เถ้าแก่หลี่คิดว่าเจ้าสองคนจะรับมือได้อย่างแน่นอน ดังนั้นบางทีเขาอาจจะไม่โทษเจ้าสองคน แต่หากไปหาเถ้าแก่หลี่และขอในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนั้น ข้าไม่สามารถรับรองได้ว่าเขาจะตัดขาดเพราะข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุผลของพวกเจ้า! และพูดเรื่องของเจ้าออกมา ข้าพูดจบแล้ว พวกเจ้าก็ทำตัวให้ดี ๆ ล่ะ!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเย็นชาและเหลือบมองกุ้ยซื่อกับกุ้ยชุนเจียวที่กำลังหน้าซีด จากนั้นจึงหันหลังและกลับเข้าบ้านไป

ใบหน้าของกุ้ยซื่อไม่มีความสุขเล็กน้อย นางรู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานไร้มนุษยธรรมและปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเรื่องใหญ่เช่นนี้

แต่เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเข้าไปในบ้านแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เกรงว่านางคงจะไม่เปิดประตูอีก

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในเวลานี้นางสามารถเกลี้ยกล่อมกุ้ยตงเหมยได้เท่านั้น

ใบหน้าของกุ้ยชุนเจียวยิ่งซีดมากขึ้นไปอีก หากพวกเขาสามารถเกลี้ยกล่อมกุ้ยตงเหมยได้ วันนี้กุ้ยตงเหมยก็จะไม่ไปในเมือง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดในตอนนี้หมายความว่านางไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลืออย่างชัดเจน กุ้ยชุนเจียวจึงไม่กล้าไปรบกวนกู้เสี่ยวหวานแล้ว

กู้เสี่ยวหวานเป็นหนึ่งในผู้ที่รู้เรื่องนี้ในเวลานั้น หากไปทำให้นางรำคาญ นางจะข่มขู่ตนหรือไม่?

ตอนนี้กุ้ยชุนเจียวราวกับนกตื่นธนู*[1]

*[1] ตกใจง่ายกับเรื่องที่เคยได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก