ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 60 อุบายของฉีอ๋อง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เมื่อกลับมาถึงอุทยานเซวียนหวา พวกเขาก็ซ่อนเจียงเจ๋อไว้ในตำหนักข้างตามที่ฉีอ๋องกำชับ หลังจากนั้นทหารนายหนึ่งก็เดินไปรายงานฉีอ๋อง ฉินเจิงกลับตำหนักเสี่ยวซวงไปก่อนแล้ว ดังนั้นภายในห้องจึงมีเพียงหญิงรับใช้สองนางของพระชายาฉีอ๋องซึ่งถูกฉีอ๋องไล่ออกมาอยู่ด้านนอก พวกนางไม่กล้าขัดขืนเพราะฉีอ๋องมีท่าทางร่วมมือเป็นอย่างดี

เมื่อทหารนายนี้กระซิบรายงานเสียงเบาจบ หลี่เสี่ยนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้เขาถูกกักตัวอยู่ แต่ก็ข่าวสารว่องไวยิ่งนัก แม้ฉินเจิงไม่ยอมบอกข่าวสถานการณ์สักเล็กน้อยกับเขา แต่ในกองทหารราชองครักษ์เขาก็มีคนสนิทอยู่หลายคน ย่อมรู้เรื่องยงอ๋องฝ่าวงล้อม องค์หญิงฉางเล่อเจรจาไกล่เกลี่ย และเหวยอิงตรวจค้นอุทยานหันเซียง จากที่เขาขบคิด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจียงเจ๋อน่าจะซ่อนอยู่ในอุทยานหันเซียง ด้วยเหตุนี้เขาจึงอาศัยโอกาสยามไปพบรัชทายาทให้ลูกน้องไปตรวจสอบอุทยานหันเซียง แต่สถานการณ์ตอนนี้พิกลนัก องครักษ์ที่ปกป้องเจียงเจ๋อเหตุใดจึงหนีเอาตัวรอด ไม่ว่าจะในด้านเหตุผลหรือในแง่ความภักดีก็ผิดปกติ

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด นายทหารก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋อง ใต้เท้าเจียงหายใจรวยริน หากไม่รักษา น่ากลัวว่าคงอันตรายถึงชีวิต”

หลี่เสี่ยนตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “ให้หมอหลวงไปรักษาเจียงเจ๋อ จำไว้ ดำเนินการอย่างระวัง อย่าให้ข่าวเล็ดลอดออกไปจนพระชายารู้”

การเดินทางครั้งนี้ฉากหน้าหลี่เสี่ยนล้มป่วยอยู่ ดังนั้นจึงพาหมอหลวงคนหนึ่งมาด้วย ยามนี้อยู่ที่ตำหนักข้างนี่เองจึงเรียกใช้งานได้พอดี หมอหลวงผู้นั้นเวลานี้ในใจกำลังกลัดกลุ้มยิ่งนัก เขามิใช่พวกของรัชทายาท แต่วันนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้เสียได้ หากสถานการณ์พลิกผัน ตนอาจกลายเป็นพวกกบฏไปด้วย แต่เขาก็มิกล้าขัดขืนบัญชาของฉีอ๋อง หลังจากเข้ามาในตำหนักข้างแล้วเห็นเจียงเจ๋อ เขาก็สะดุ้งโหยง ตอนเจียงเจ๋อถูกลอบสังหาร เขาก็เป็นหนึ่งในหมอหลวงที่เดินทางไปรักษา ย่อมจดจำเสนาธิการคนสนิทของยงอ๋องได้ ภาพตรงหน้าทำให้เขาสับสน ฉีอ๋องเป็นพวกรัชทายาทแท้ๆ เหตุใดจึงซ่อนเสนาธิการของยงอ๋องเอาไว้เล่า แต่เขารู้ว่าเรื่องเช่นนี้ตนแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ไว้จะดีกว่า

เขาขยับเข้าไปรักษา แต่แล้วคิ้วก็ขมวดแน่น เอ่ยว่า “ใต้เท้าท่านนี้เดิมก็ป่วยอยู่แล้ว นี่ได้พักรักษาตัวดีๆ บ้างหรือไม่ ยามนี้ชีพจรหัวใจอ่อนแออย่างที่สุด หากไม่รักษาให้ดี เกรงว่าคงจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ข้าจะเขียนเทียบยาให้เทียบหนึ่ง ใช้น้ำโสมต้มยา บำรุงให้ดียังพอจะรักษาได้”

ทหารหลายคนนั้นยินดียิ่งนัก เอ่ยตอบว่า “หมอหลวงเฉียว ท่านต้องรักษาให้ดี หากคนผู้นี้เป็นอันใดไป ท่านอ๋องต้องไม่ปล่อยท่านเป็นแน่”

หมอหลวงเฉียวรับปากย้ำแล้วย้ำอีก ครั้งนี้เขานำยามาพร้อมสรรพอย่างยิ่ง ผลจึงเป็นดังคิด เมื่อดื่มยาลงไปสองสามหน สีหน้าของเจียงเจ๋อก็ค่อยๆ มีเลือดฝาด ลมหายใจเริ่มมีพลังขึ้นบ้าง สีหน้าแลดูสงบยิ่งนัก

หมอหลวงเฉียวเช็ดเหงื่อพลางบอกว่า “ในที่สุดก็ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ร่างกายของใต้เท้าอ่อนแอเกินไป ต้องรักษาให้ดีจึงจะได้” ทหารทั้งสองนายมองหน้ากัน พวกเขาก็เคยได้ยินว่าร่างกายของเสนาธิการคนสนิทผู้นี้ของยงอ๋องอ่อนแอเป็นที่สุด ทว่านายของตนนับถือเขายิ่งนัก จึงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ราวกับจะตายได้ตลอดเวลาเช่นนี้

ค่ำคืนผ่านไปอย่างปลอดภัย จวบจนใกล้ฟ้าสาง ในที่สุดเจียงเจ๋อก็ลืมตาตื่น พวกเขารีบแจ้งฉีอ๋องหลี่เสี่ยน

ข้ารู้สึกว่ามีคนเรียกชื่อข้าจึงพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ความจริงแล้วตอนสลบไปครั้งก่อน ข้าสงสัยยิ่งนักว่าจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ แม้เวลานี้ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง แต่ข้าก็ยังรู้สึกขอบคุณสวรรค์ ข้าเอ่ยเรียกแผ่วเบา “ต่งเชวีย ต่งเชวีย”

ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ท่านตื่นแล้ว”

ข้าตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ เสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก แต่มิใช่ต่งเชวียแน่นอน ข้าผินหน้าไปมองก็เห็นฉีอ๋องผลุนผลันเดินเข้ามา ข้ามองรอบด้านด้วยสัญชาตญาณ แล้วยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “ที่แท้เจียงเจ๋อก็ตกเป็นนักโทษแล้ว แต่มิทราบว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงอยู่ที่นี่”

หลี่เสี่ยนหัวเราะฝืดเฝื่อนออกมาคำหนึ่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง จากนั้นเอ่ยว่า “วันนี้พบหน้าราวกับอยู่กันคนละภพ คิดว่าสุยอวิ๋นคงนั่งกระโจมบัญชาการคว้าชัยชนะให้พี่รองได้แน่นอนแล้วสินะ”

ข้าพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ทว่าแขนขากลับไร้พละกำลังจึงมิอาจสมดั่งใจ ฉีอ๋องรีบเข้ามาประคอง ข้าจึงลุกขึ้นนั่งสำเร็จ แล้วถามว่า “ตอนนี้เวลาใดแล้ว”

หลี่เสี่ยนตอบเสียงเรียบเฉย “วันนี้เดือนเก้าวันที่ยี่สิบสอง กำลังจะถึงยามเฉิน[1]แล้ว”

ข้าผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ดูท่ากองทหารที่จะช่วยองค์จักรพรรดิคงใกล้มาถึงแล้ว หวังว่ายงอ๋องจะยังอยู่รอดปลอดภัย ข้าเอ่ยด้วยสีหน้าสุขุม “ไม่ทราบว่าเหตุใดข้าจึงอยู่ที่นี่ องครักษ์ข้างกายข้าเล่า”

หลี่เสี่ยนยกยิ้ม “เมื่อวานข้าส่งคนไปอุทยานหันเซียงแล้วก็พบท่านดังคาด ตอนนี้นอกจากข้ากับคนสนิทไม่กี่คนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ องครักษ์คนนั้นของท่านประหลาดนัก พอเห็นท่านตกอยู่ในมือลูกน้องข้ากลับหนีเอาตัวรอดไปเสียแล้ว”

ข้าผ่อนลมหายใจ หากต่งเชวียพบหน้าฉีอ๋อง ด้วยสัญชาตญาณเหนือคนของฉีอ๋อง เกรงว่าคงจะเสี่ยงถูกเปิดเผยตัวตน

หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อย “สุยอวิ๋น ท่านทุ่มเทจนรากเลือดเพื่อพี่รอง แต่หากคนของข้ารับท่านมาไม่ทันเวลา เกรงว่าท่านคงตายวายชีวาเสียแล้ว ไยต้องลำบากเช่นนี้เล่า วันนั้นหากท่านติดตามข้า ไฉนเลยจะกลายเป็นเช่นนี้”

ข้ายิ้มละไมตอบ “เจียงเจ๋อได้รับความเมตตาจากยงอ๋องมามากมาย ยามนี้หากไม่พยายามสุดกำลัง ไยมิใช่ทรยศต่อบุญคุณของยงอ๋อง”

หลี่เสี่ยนเผยสีหน้าลังเลแล้วเอ่ยว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าหากท่านยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ข้าจะดูแลท่านมิด้อยกว่าพี่รองแน่นอน”

ข้านึกถึงยามนั้นที่ข้าบีบคั้นทีละก้าว ทว่าในที่สุดยงอ๋องก็ยังยั้งมือไว้ไมตรี ภาพที่เขาปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน ผ่านไปครู่หนึ่งข้าจึงเอ่ยว่า “องค์ชายนิสัยตรงไปตรงมา พรสวรรค์เหนือผู้อื่น เจียงเจ๋อเองก็ชื่นชมยิ่งนัก น่าเสียดายองค์ชายเริ่มแรกก้าวผิด วันนี้จึงยากรุกยากถอย ทว่าเรื่องในอดีต พูดถึงไปก็เปล่าประโยชน์ มิทราบว่าครั้งนี้องค์ชายได้ทำผิดพลาดอีกหรือไม่”

หลี่เสี่ยนฝืนยิ้ม “เมื่อคืนวานข้าตอบรับคำขอของพวกเนาง เขียนสารลายมือฉบับหนึ่งให้ลูกน้องของข้า”

ข้านิ่งไปครู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายน่าจะทราบกระมังว่ายามนี้กองทัพขององค์ชายไม่เหลือกำลังแล้ว”

หลี่เสี่ยนถอนหายใจ “คำสั่งที่แท้จริงของข้าคือให้พวกเขานิ่งไว้อย่าเคลื่อนไหว พวกเขาจะไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนพี่ใหญ่กับพี่รองผู้ใดจะได้ชัยชนะ ก็ต้องดูตัวพวกเขาเอง”

ข้าเอ่ยอย่างนับถือ “องค์ชายยอมกลับเนื้อกลับตัว กระหม่อมนับถือยิ่งนัก”

หลี่เสี่ยนกลับกล่าวอย่างเศร้าหมองอยู่บ้าง “หลังจบเรื่องมิว่าผู้ใดได้ชัย เกรงว่าชะตาชีวิตของข้าคงไม่มีสิ่งใดแตกต่าง หากพี่รองชนะ ข้าขอร้องใต้เท้าเพียงเรื่องเดียว”

ข้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ หากกระหม่อมทำได้ ต่อให้ต้องหลั่งเลือดรดผืนดินก็จะมิปฏิเสธ เชิญองค์ชายกล่าว”

หลี่เสี่ยนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบว่าผู้ชนะเป็นราชา หากรัชทายาทได้ชัย ครอบครัวของพี่รองย่อมต้องพินาศไปด้วย แม้เมื่อวานรัชทายาทรับปากว่าจะละเว้นภรรยาและบุตรในจวนยงอ๋อง แต่ข้าก็รู้ดีว่าเขาผู้นี้ ต่อให้ละเว้นเพราะเห็นแก่หน้าข้าชั่วเวลาหนึ่ง แต่ก็คงคิดหาวิธีสังหารจนสิ้นให้จงได้ เช่นเดียวกัน หากพี่รองชนะ ครอบครัวของพี่ใหญ่ก็คงไม่มีจุดจบที่ดี แต่พวกเขาล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ ข้ามิอาจนิ่งดูดายไม่สนใจได้จริงๆ หวังว่าสุยอวิ๋นจะเสนอให้พี่รองละเว้นพระชายารัชทายาทกับซื่อจื่อ ปลดพวกเขาเป็นสามัญชนก็พอ พี่รองใจกว้างมาเสมอ บางทีอาจยอมรับปาก หากพี่รองยอมรับปากเงื่อนไขข้อนี้ ข้ายินยอมพร้อมใจมอบอำนาจทหารในมือให้”

ข้าเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยว่า “องค์ชายไม่คิดเพื่อตนเองกับพระชายา และซื่อจื่อบ้างหรือ”

หลี่เสี่ยนหน้าสลด เงียบงันไปนานยิ่งนัก พักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เจิงเอ๋อร์เข้าร่วมก่อกบฏ หากพี่รองได้ชัยชนะ มิว่าตามกฎมณเฑียรบาลหรือกฎตระกูล เจิงเอ๋อร์ล้วนมิอาจรอดพ้น แม้แต่ข้ากับบุตรของเจิงเอ๋อร์ก็คงต้องโทษไปด้วย บางทีเสด็จพ่ออาจเห็นแก่ที่ข้าไม่ได้เข้าร่วมก่อกบฏละเว้นชีวิตข้า แต่ภรรยาบุตรล้วนตายสิ้นแล้ว ข้ายังมีหน้าอันใดเสพลาภยศอย่างมีความสุขอีกเล่า”

ข้ามองหลี่เสี่ยนแล้วรู้ว่าเขากล่าวไม่ผิด พระชายาฉีอ๋องกับซื่อจื่อของฉีอ๋องล้วนมิอาจหนีพ้นโทษได้แล้ว แต่จะให้กล่าวดังนี้ก็มิสะดวกใจ จึงได้แต่เอ่ยว่า “ยามนี้แพ้ชนะยังต้องรอดูผลลัพธ์ องค์ชายอย่าเพิ่งกังวลเกินไป”

หลี่เสี่ยนเค้นรอยยิ้มตอบว่า “ข้ามิกล้าวาดหวัง เพียงเห็นสุยอวิ๋นสงบเช่นนี้ ก็ทราบแล้วว่าโอกาสชนะของรัชทายาทมีไม่มาก”

เมื่อส่งฉีอ๋องจากไปแล้ว ในใจข้าก็ขบคิดหลายสิ่ง ก่อนหน้าวันนี้ทุกห้วงขณะจิตของข้าล้วนคิดแต่ว่าจะเพิ่มแต้มต่อของยงอ๋องเช่นไร สิ่งอื่นใดล้วนมิใส่ใจ ทว่าสถานการณ์ยามนี้จะดำเนินไปเช่นไรล้วนมิเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว หากยงอ๋องพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นข้าย่อมไม่มีสิ่งใดเอื้อนเอ่ย เพียงเดินทางสู่ปรโลกตามไปด้วย แต่หากยงอ๋องได้ชัย เรื่องภายหลังจากนี้สมควรจัดการเช่นไรเล่า ถึงเวลายงอ๋องต้องถามความเห็นของข้าเป็นแน่ ความคิดเพียงชั่วขณะของข้าจะเกี่ยวพันความเป็นความตายของผู้คนนับพันหมื่น มิอาจไม่รอบคอบ

ใจจริงของข้าคิดว่ารัชทายาทสมควรตาย สำนักเฟิงอี้ยิ่งมีอยู่ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเหวยอิงเกือบทำลายการใหญ่ของยงอ๋อง ไม่ว่าเรื่องของเหวยอิง เหวยกวนจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ก็คงต้องถูกลากมาพัวพันด้วย ทว่าเหวยกวนมีศักดิ์เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี มีลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน จัดการเช่นไรจึงจะเหมาะสม มิให้ทำร้ายแว่นแคว้น

สำคัญที่สุดก็คือฉีอ๋อง แม้หลายปีที่ผ่านมาฉีอ๋องเป็นสาเหตุที่ทำให้รัชทายาทโอหังเหิมเกริม ผู้ใต้บัญชาของยงอ๋องตั้งแต่บนจรดล่างเคียดแค้นฉีอ๋องล้ำลึก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีข้อสงสัยก็คือฉีอ๋องเป็นผู้มีอุปนิสัยเปิดเผย ยึดถือคุณธรรมน้ำมิตร แล้วยังเป็นยอดแม่ทัพที่หายากยิ่ง หากประหารหรือเนรเทศเขาย่อมเป็นความเสียหายของต้ายง ทว่าฉีอ๋องก็เป็นคนเจ้าอารมณ์ ทั้งยังเป็นผู้ใจเหี้ยมอำมหิต พระชายาฉีอ๋องจะกลายเป็นปมแค้นที่มิมีวันคลายระหว่างเขากับยงอ๋อง หากปล่อยฉีอ๋องไปง่ายๆ วันหน้าอาจมีภัยตามมาไม่หมดสิ้น ไม่ว่ารุกหรือถอยล้วนยากลำบากจริงๆ

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ข้าก็พลันหัวเราะ เรื่องเหล่านี้ยงอ๋องกับสืออวี้ย่อมจัดการได้อย่างเหมาะสม ไยข้าต้องสิ้นเปลืองความคิดด้วยเล่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าจึงค่อยๆ ผ่อนคลายแล้วสะลึมสะลือหลับใหล ภายในวันนี้พรุ่งนี้สองวัน ทุกสิ่งก็น่าจะปรากฏผลแล้วกระมัง

[1]ยามเฉิน หมายถึงเวลา 7.00 น. -9.00 น.

ตอนต่อไป