คนเหนื่อยม้าล้า เดินทางผลัดกับสู้รบติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน จากกำลังพลหนึ่งพันกว่าคนก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่ยังรอดชีวิต อีกทั้งแต่ละคนยังบาดเจ็บ หลี่จื้อยิ้มอย่างสังเวชใจพลางส่ายศีรษะ คิดไม่ถึงตนครอบครองพันทหารหมื่นอาชาแล้วยังต้องเผชิญความลำบากเช่นนี้
ทหารราชองครักษ์สองพันนายที่เหวินจื่อเยียนนำทัพกับทหารราชองครักษ์พันกว่านายที่เผยอวิ๋นพามาล้วนเป็นหนึ่งในกองกำลังที่เก่งกาจที่สุดของต้ายง แต่ละคนแกล้วกล้าชำนาญศึก ทว่าเหวินจื่อเยียนทั้งมีกำลังทหารเหนือกว่าและการเคลื่อนทัพก็รวดเร็วกว่ายงอ๋อง อีกทั้งนอกจากทหาราชองครักษ์สองพันนายแล้ว ใต้บังคับบัญชาของเหวินจื่อเยียนยังมีมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้อีกห้าสิบนาง
มือกระบี่หญิงเหล่านี้ล้วนวรยุทธ์กล้าแกร่งไม่แพ้ทหารเดนตายผู้มิเกรงกลัวความตาย แม้พวกนางเป็นสตรี ทว่าแต่ละคนชำนาญวิชากระบี่ เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู พวกนางไม่ถนัดรบพุ่งซึ่งหน้า แต่ใช้เกาทัณฑ์ยิงสังหารจากรอบนอกประสานกับทหารกล้าแห่งกองราชองครักษ์ และอาศัยวิชากระบี่กับวิชาขี่ม้าอันชำนาญลอบสังหารยอดฝีมือกับแม่ทัพใต้บัญชายงอ๋องยามสองกองทัพเข้าใกล้กัน มือกระบี่หญิงเหล่านี้ต่างถือกระบี่ชั้นเลิศซึ่งเสียบทะลุเกราะของแม่ทัพต้ายงได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงสร้างความเสียหายให้ยงอ๋องมากยิ่งนัก
ลูกน้องของหลี่จื้อบางคนชำนาญเพียงการฆ่าฟันในสนามรบ บางคนชำนาญเพียงศิลปะการต่อสู้ในยุทธภพ เมื่อเทียบกับมือกระบี่หญิงที่ผลุบโผล่ลึกลับในสนามรบเหล่านี้จึงด้อยกว่าอยู่มาก หากมิใช่ทักษะบัญชาการอันยอดเยี่ยมของหลี่จื้อถ่วงดุลไว้ เกรงว่าคงถูกเหวินจื่อเยียนล้อมสังหารเสียนานแล้ว
หลี่จื้อหันกลับไปมองฝุ่นควันที่อยู่ไกลๆ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ธรรมดาจริงๆ กองทัพหญิงที่นางฝึกฝนออกมากองนี้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นพลธนูบนหลังม้าของเผ่าคนเถื่อนทางเหนือก็ไม่แน่ว่าจะร้ายกาจเท่านี้ ตลอดมาตนถือตัวว่ายอดเยี่ยมในด้านการฝึกปรือทหาร แต่กลับไม่เคยคิดฝึกปรือพลทหารม้าเร็วเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องจ่ายสำหรับการฝึกปรือเช่นนี้ค่อนข้างสูง แต่หากทำสำเร็จย่อมกลายเป็นกองทหารม้าที่แม้แต่ทวยเทพภูตผีล้วนพรั่นพรึง
ส่วนเหวินจื่อเยียน รากษสสาวนางนี้ทำให้หลี่จื้อปวดหัวที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้หลี่จื้อทอดถอนใจด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง ถึงแม้ช่วงที่ขัดขวางยงอ๋องฝ่าวงล้อม ผลงานของเหวินจื่อเหยียนจะแค่พอไปวัดไปวาได้ นั่นอาจเป็นเพราะเหวินจื่อเยียนรับผิดชอบฝึกปรือมือกระบี่หญิงเหล่านี้ แต่ผู้ที่ฝึกมือกระบี่หญิงเหล่านี้ให้เป็นกองทัพมิใช่เหวินจื่อเยียน
ถึงกระนั้นหลี่จื้อก็จำต้องนับถือความสามารถของเหวินจื่อเยียน ทั้งที่เริ่มแรกทำอันใดไม่ถูก แต่มาตอนนี้กลับบัญชาการได้อย่างสุขุม หากเหวินจื่อเหยียนได้นำทัพออกศึกเร็วกว่านี้สักหน่อย อาจกลายเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังที่หาได้ยากก็เป็นได้
หลี่จื้ออดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้ช่างเลือกทางผิดเสียจริง หากตั้งแต่แรกนางไม่เพียรพยายามควบคุมราชสำนักกับวังหลัง แต่อาศัยเหวินจื่อเยียนและมือกระบี่หญิงเหล่านี้ ต้ายงอาจมีกองทัพหญิงที่สั่นสะเทือนใต้หล้ากองหนึ่งแล้วก็เป็นได้ แม้หนทางเช่นนั้นอาจขรุขระคดเคี้ยว แต่ก็เป็นเส้นทางที่สง่าผ่าเผยมากกว่า
หลี่จื้อกับไพร่พลที่เหลือแบ่งกันกินอาหารแห้งที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมดแล้วขึ้นหลังม้าอีกครั้ง เขาเอ่ยเสียงดัง “เร่งเดินทางต่อ หากข้ามสันเขาขู่อวิ๋นไปได้ พวกเราก็จะขวางการไล่ล่าของทัพกบฏแล้วรวมพลกับกำลังเสริมได้แล้ว” แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจหลี่จื้อกลับยิ่งเป็นกังวล เหวินจื่อเยียนนำทัพโอบล้อมดักทาง บีบให้หลี่จื้อเปลี่ยนทิศมุ่งไปหากองทัพองครักษ์ของตนไม่ได้ หลี่จื้อคิดในใจว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อ ศีรษะของตนอาจกลายเป็นของขวัญมอบแด่รัชทายาทก็เป็นได้
เผยอวิ๋นที่อยู่ข้างกายเขาดวงตาฉายแววเคียดแค้นชิงชัง กองทหารที่ทุ่มเทฝึกฝนมากลับถูกมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้สังหารจนล้มตายระเนระนาด แม้เหตุด้วยกำลังทหารไม่เพียงพอ แต่ก็ทำให้เขาเสียหน้าหมดสิ้น
ทุกคนควบอาชาไปสักพักก็เห็นสันเขาน้อยที่สูงชันด้านหน้า คนทั้งหลายล้วนเพิ่มความระมัดระวัง เมื่อวานพวกเขาเคยมาถึงที่แห่งนี้แล้ว น่าเสียดายถูกเหวินจื่อเยียนดักไว้ สุดท้ายจึงมิอาจอ้อมฝ่าไปได้ ครั้งนี้พวกเขาใช้สารพัดวิธีกลบเกลื่อนร่องรอย แบ่งทหารล่อศัตรูแล้วจึงมาที่แห่งนี้ใหม่อีกครั้ง ขอเพียงผ่านที่นี่ไปได้ อีกเจ็ดสิบลี้ก็จะเป็นถนนชิวหลิง ขอเพียงทิ้งทหารกล้าไว้ซุ่มดักสกัดหลังขบวนก็รับประกันว่ายงอ๋องต้องกลับไปอยู่ใต้การคุ้มครองของกองทัพองครักษ์ได้แน่ ทหารที่ไล่ตามมาเหล่านั้นร้ายกาจอีกเท่าใดก็มิอาจทำร้ายยงอ๋องที่อยู่ภายในกองทหารเรือนหมื่นได้
หลี่จื้อมองสันเขาด้านหน้าแล้วโบกมือ ยอดฝีมือผู้วิชาตัวเบาดีที่สุดสองคนลงจากม้าแล้วทะยานร่างขึ้นยอดเขาประหนึ่งวานร ร่างของพวกเขาเพิ่งหายลับจากสายตาของทุกคน เสียงร้องลั่นก็ดังขึ้น พวกหลี่จื้อกำอาวุธแน่นโดยพลัน บนยอดเขาปรากฏสตรีชุดเขียวนางหนึ่งบนหลังอาชาสูงใหญ่ แม้หน้าตาธรรมดาสามัญ แต่ท่าทางประหนึ่งมองเย้ยใต้หล้าเช่นนั้นกลับทำให้ตัวตนของสตรีนางนี้เด่นชัดในสายตาผู้คนทั้งหลาย ศิษย์เอกของเจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
เหวินจื่อเยียนบังคับม้าก้าวมาข้างหน้า ด้านหลังนางมีสตรีอาภรณ์สีขาวสี่สิบกว่านางบังคับอาชาก้าวมาหยุดอยู่สองฝั่งซ้ายขวา เหวินจื่อเยียนเอ่ยเสียงดัง “หลี่จื้อ ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องกลับมาที่นี่ ดังนั้นมิว่าเจ้าจะแบ่งทหารหลอกล่อเช่นไร ข้าก็ยังคงรีบเร่งมาถึงที่นี่ได้ก่อน ตอนนี้ถึงที่ตายของเจ้าแล้ว ยังไม่ลงจากอาชายอมจำนนอีก บางทีองค์รัชทายาทอาจเมตตาละเว้นชีวิตเจ้า”
หลี่จื้อถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยตอบ “แม่นางเหวินมิได้เป็นแม่ทัพนำทหารออกศึกช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ข้านับถือ แต่หากอยากได้ชีวิตของข้าก็ต้องอาศัยความสามารถของเจ้า หลี่อันก่อกบฏ ไม่เห็นหัวบิดา มิสนใจเจ้าแผ่นดิน พวกเจ้าสำนักเฟิงอี้ยุงยงส่งเสริมรัชทายาทก่อกบฏก็มีโทษมิอาจละเว้น หากต้องการศีรษะของข้า เจ้าก็จงเข้ามาเอาเองเถิด”
เหวินจื่อเยียนเปล่งเสียงหัวเราะ จากนั้นก็สะบัดมือ ทหารม้านับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากสองฝั่ง ก้มมองจากเบื้องสูงก่อนจะพุ่งทะยานลงมา หลี่จื้อรู้แก่ใจดีว่าชัยภูมิของฝั่งเหวินจื่อเยียนได้เปรียบ หากตนรีบร้อนหนีตอนนี้ มีแต่จะถูกเหวินจื่อเยียนตามท้ายไล่ตี หากตนแลกชีวิตเข้าต้านทานอาจเสียหายสาหัส แต่ยังมีโอกาสรอดอยู่เสี้ยวหนึ่ง และหากต้านการโจมตีสำเร็จระลอกหนึ่งย่อมมองหาโอกาสผละหนีได้
ด้วยเหตุนี้หลี่จื้อจึงชักกระบี่ชี้้เบื้องหน้าแล้วตะโกนก้อง “ยอมตายไม่ยอมถอย สังหาร!” ตะโกนจบ อาชาก็พุ่งนำหน้าไปตามลำพัง องครักษ์ด้านซ้ายขวาเห็นเช่นนี้จิตใจพลันฮึกเหิม แย่งชิงกันพุ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องยงอ๋อง ปีกเร็วสองฝั่งเข้าปะทะกัน ระยะห่างลดแคบจนประจันหน้า เลือดเนื้อสาดกระเซ็น ยงอ๋องอาศัยการบัญชาการอันยอดเยี่ยม ในที่สุดก็ต้านการโจมตีระลอกแรกไว้ได้อย่างยากลำบาก
เวลานี้เอง เผยอวิ๋นพบว่าเหวินจื่อเหยียนกำลังนำมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้บนยอดเขาทะยานลงมาจากฝั่งขวาที่ค่อนข้างสูงชัน หมายจะโจมตีปีกฝั่งขวาของยงอ๋องอย่างชัดเจน เผยอวิ๋นตัดสินใจตะโกนลั่น “พี่น้องทั้งหลาย สกัดหลังด้วยกันกับข้า องค์ชายรีบหนีเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เผยอวิ๋นเปล่งเสียงสั่ง ในหมู่ทหารราชองครักษ์พันกว่านายก็มีสามร้อยกว่าคนที่รับคำสั่งจากเผยอวิ๋นมาล่วงหน้าสำแดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาพร้อมกัน เข้าตรึงกองทัพกบฏเอาไว้ หลี่จื้อตะลึงเพียงพริบตาเดียวก็เห็นเผยอวิ๋นควบม้าบุกเดี่ยวเข้าหาเหวินจื่อเยียนแล้ว
เขาตวาดอย่างปวดใจยิ่งนัก “ไป!” แม้มิได้วางแผนกันมาก่อน แต่ยงอ๋องเป็นผู้เจนศึกสงคราม เขาย่อมทราบว่านี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว แม้ต้องตัดใจสละแขนก็ต้องผละจากสนามรบทันที ทุกคนต่างรู้ว่า หากยงอ๋องมิอาจรอดชีวิตไปพบกองทัพองครักษ์ ทุกคนก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว ดังนั้นทหารราชองครักษ์ที่เหลือกับองครักษ์จำนวนหนึ่งของยงอ๋องจึงไม่รีรอ คุ้มกันยงอ๋องผละหนีไปทันที
เหวินจื่อเยียนกับเผยอวิ๋นประมือกันหลายกระบวนท่า เผยอวิ๋นเป็นถึงยอดฝีมือแห่งเส้าหลิน ทั้งยังเป็นแม่ทัพผู้ชาญสมรภูมิ แล้วเวลานี้เขายังห้าวหาญไม่กลัวตาย ดังนั้นจึงขวางการโจมตีของเหวินจื่อเยียนเอาไว้ได้ องครักษ์ข้างกายเขากับยอดฝีมือจากยุทธภพที่แต่ละสำนักใหญ่ส่งมาข้างกายยงอ๋องก็อยู่ต่อด้วยกัน แม้พวกเขามิถนัดยกทัพจับศึกในสมรภูมิ แต่ก็อาศัยความกล้าหาญอันพลุ่งพล่านขวางกระบี่คมกับกีบเท้าอาชาเหล็กของมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้เอาไว้
ประกายกระบี่ของเหวินจื่อเยียนดั่งสายรุ้ง ในที่สุดคมกระบี่ดุจหิมะนั่นก็หาโอกาสแทงร่างกายของเผยอวิ๋นสำเร็จ เผยอวิ๋นเห็นองครักษ์กับยอดฝีมือข้างกายใกล้จะพ่ายแพ้แล้วจึงมิหลีกหลบอีก แต่สวนกลับฟันหนึ่งดาบเข้าใส่เหวินจื่อเยียน การโจมตีสวนกลับชนิดยอมแลกชีวิตของยอดฝีมือหนุ่มแห่งเส้าหลินไฉนจะรับมือง่าย เหวินจื่อเยียนหลบมิทัน แม้ภายใต้อาภรณ์สีเขียวของนางสวมเกราะอ่อนอยู่ก็ยังถูกหนึ่งดาบนี้ฟันแขนขวาบาดเจ็บ ทว่าเผยอวิ๋นก็ถูกมือกระบี่หญิงสำนักฟิงอี้กลุ้มรุมแทงเข้าหลายกระบี่จนร่วงตกจากหลังม้า แม้เหวินจื่อเยียนเห็นว่าเผยอวิ๋นยังไม่ตาย แต่เพราะต้องไล่ล่าสังหารยงอ๋องจึงไม่มีเวลาสนใจ นางผิวปากยาวครั้งหนึ่งแล้วนำกองทัพมุ่งไปสังหารกองกำลังที่เหลือของยงอ๋อง
การไล่ล่าครั้งนี้ไม่เหมือนธรรมดา เหวินจื่อเยียนห้อม้าวิ่งตะบึงอย่างมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่ายงอ๋องทำอย่างไรก็มิอาจสลัดทหารที่ไล่ตามได้ หนีมายี่สิบกว่าลี้ ความเร็วของอาชาก็ค่อยๆ ช้าลง หลี่จื้อตัดใจยกกระบี่ขึ้นหมายจะแทงใส่ก้นอาชา ทันใดนั้นเอง เบื้องหน้าพลันมีฝุ่นควันตลบคล้ายมีกองทัพอาชาขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามา
หลี่จื้อระทดท้อใจ ชั่วขณะหนึ่งมิรู้ควรทำเช่นไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นยอดคนแห่งยุค เมื่อเห็นว่าด้านหน้าด้านหลังทั้งสองทางอาจมาถึงในเวลาเดียวกันจึงตัดสินใจหยุดม้าศึก นึกย้อนถึงการเข่นฆ่าเดินทางระหกระเหินสองวันนี้ ตนเองสภาพอเนจอนาถสุดจะทน เทพสงครามแห่งต้ายงไหนเลยจะตายอย่างทุเรศทุรังเช่นนี้ได้ เขาใช้ตัวกระบี่คู่กายดั่งคันฉ่องจัดการรูปลักษณ์และขยับจัดชุดเกราะ ทหารราชองครักษ์และองครักษ์ฝั่งซ้ายขวาล้วนหมดหวัง แต่ละคนต่างกำศาสตราแน่น เตรียมพร้อมต้อนรับห้วงเวลาสุดท้ายที่กำลังมาเยือน
ทหารของเหวินจื่อเยียนไล่ตามหลังใกล้เข้ามาทุกที ตอนนี้หลี่จื้อมองเห็นชัดแล้วว่าผู้ที่นำหน้ากองทัพด้านหน้าคือบุรุษผู้สง่างามเป็นหนึ่งไม่มีสอง เขาก็คือเซี่ยโหวหยวนเฟิง ส่วนทหารข้างกายเขาดูจากชุดเกราะคล้ายจะเป็นลูกน้องของฉินอี๋ หลี่จื้อนึกในใจ หรือว่าแผนการของเจียงเจ๋อจะล้มเหลว รัชทายาทควบคุมกองทัพของฉินอี๋ได้แล้วหรือ
ยามนี้ความตายคืบคลานเข้าใกล้ หลี่จื้อกลับใจสงบดุจน้ำนิ่ง เขามองซ้ายขวา เห็นซือหม่าสยงกับจิงฉือบาดแผลเต็มตัว องครักษ์ทั้งหลายต่างสีหน้าหม่นหมอง ชุดเกราะขาดวิ่น ก็หัวเราะออกมา “ลูกผู้ชายเกิดท่ามกลางกลียุค สมควรจับกระบี่สามฉื่อสร้างความชอบอันยิ่งใหญ่ วันนี้การใหญ่ยังมิทันสำเร็จ ไฉนต้องตายเสียแล้วหนอ! น่าเสียดายแต่ลากพวกท่านมาติดร่างแหด้วย”
ทุกคนร่ำไห้ตอบ “ได้ติดตามองค์ชายไปปรโลก แม้ตายก็เป็นเกียรติ”
ตอนต่อไป