ทันใดนั้นเอง กองทัพที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงพามาพลันแปรแถวขยายออกสองฝั่ง กลายเป็นปีกสองข้างเข้าโอบ พวกหลี่จื้อตกตะลึง สภาพเช่นนี้ไม่เหมือนต้องการทะลวงกองทัพอันน้อยนิดของพวกตนให้แตกพ่ายแต่เหมือนจะโอบล้อมพวกตนไว้มากกว่า หรือว่าพวกเขาคิดจะจับเป็น ยังไม่ทันที่หลี่จื้อจะขบคิดกระจ่าง กองทหารของเซี่ยโหวหยวนเฟิงพลันแยกกลางจากหนึ่งเป็นสองแล้วทะยานผ่านปีกสองฝั่งของกองทัพที่เหลือรอดของหลี่จื้อ เข้าประจันหน้ากับทหารที่ไล่ตามมาของเหวินจื่อเยียน ฝั่งหนึ่งกล้าแกร่งเปี่ยมพลัง ฝั่งหนึ่งเป็นดั่งศรสิ้นแรง เมื่อปะทะกัน แพ้ชนะเป็นที่ประจักษ์ทันตา กองทัพของเหวินจื่อเยียนถูกนายทหารห้าพันกว่าคนที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงพามาโอบล้อมไว้
“เซี่ยโหวหยวนเฟิง!” เสียงตะโกนแหลมสูงและโกรธเกรี้ยวของเหวินจื่อเยียนดังลั่นออกมาจากในวงล้อมแน่นหนา
หลี่จื้อสีหน้าดีขึ้นทันใด แม้มิเข้าใจว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร แต่เขาเข้าใจโดยพลันว่าเวลานี้เขากำชัยชนะแน่นอนแล้ว
ตอนนี้เอง ทหารกลุ่มหนึ่งของกองหนุนที่รีบเร่งเดินทางมาเหล่านี้ก็ผละจากท้ายขบวนมาตรงหน้าอาชาของยงอ๋อง แม่ทัพผู้ห้าวหาญคนหนึ่งคำนับอย่างทหารบนหลังอาชาพลางเอ่ยเสียงดังว่า “แม่ทัพฉินรับราชโองการลับจากฝ่าบาท ส่งกองทัพออกค้นหาช่วยเหลือองค์ชายทั่วทุกทิศ ผู้น้อยจางสยงตามแม่ทัพเซี่ยโหวนำทัพมาทางหนึ่งจนโชคดีได้พบองค์ชาย มาช่วยเหลือช้า ขอองค์ชายโปรดอภัยด้วย”
หลี่จื้อเอ่ยตอบอย่างปิติยินดี “ท่านแม่ทัพไม่ต้องมากพิธี นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านค่อยๆ เล่าเถิด”
แม่ทัพผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม “เมื่อคืนวาน แม่ทัพเซี่ยโหวมาถึงค่ายใหญ่ของกองทัพเรา ถ่ายทอดราชโองการลับของฝ่าบาทกับคำสั่งของแม่ทัพใหญ่ ความว่ารัชทายาทก่อกบฏ ยงอ๋องถูกกองทัพกบฏไล่จู่โจม แม่ทัพฉินหย่งจึงออกคำสั่งให้กองทัพแบ่งเป็นแปดทางค้นหาร่องรอยขององค์ชาย ขอองค์ชายประทานอนุญาตให้ผู้น้อยส่งสัญญาแจ้งกองทหารทุกทางให้ทราบตำแหน่งที่อยู่ขององค์ชายด้วย”
หลี่จื้อครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยว่า “เจ้าส่งสารระหว่างกองทัพ แจ้งแม่ทัพทุกทางให้ไปรวมตัวกันที่ป้อมผิงหยวนก็พอ”
ป้อมผิงหยวนอยู่ห่างพระราชวังเลี่ยกงสิบห้าลี้ เหมาะเป็นที่ตั้งค่ายของกองทัพช่วยองค์จักรพรรดิ ดวงตาของแม่ทัพนายนั้นทอแววเลื่อมใส จากนั้นไปสั่งการคนส่งสารด้วยตนเอง ใช้พลุไฟและไฟสัญญาณเป็นต้นในการถ่ายทอดคำสั่งของยงอ๋อง
หลี่จื้อเงยหน้ามองก็เห็นว่าแม้เหวินจื่อเยียนถูกล้อมไว้ แต่นางกลับยิ่งห้าวหาญ ทหารที่รุมโจมตีบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนเขาปวดใจยิ่งนัก จึงเอ่ยกับแม่ทัพผู้นั้น “ใกล้ๆ ยังมีกองทัพฝ่ายเราหรือไม่”
แม่ทัพผู้นั้นมองดูสถานการณ์การรบอย่างกังวลอยู่บ้างเช่นเดียวกัน เมื่อได้ยินก็ตอบว่า “องค์ชาย กองทัพกลางที่แม่ทัพฉินเป็นผู้นำทัพน่าจะอยู่ห่างไปยี่สิบลี้”
หลี่จื้อสั่งอย่างดีใจยิ่งนัก “รีบเรียกแม่ทัพฉินมา กำจัดกองทัพกบฏเสร็จแล้วค่อยรวมทหารเดินทางไปป้อมผิงหยวนด้วยกัน” แม่ทัพผู้นั้นรีบถ่ายทอดคำสั่ง พลุไฟสัญญาณอีกดอกหนึ่งยิงขึ้นบนฟ้า
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เหวินจื่อเยียนนำทัพฝ่าวงล้อมหลายครั้งแต่ถูกแม่ทัพและนายทหารทั้งหลายสละชีวิตขวางไว้อย่างไม่กลัวตาย เซี่ยโหวหยวนเฟิงได้ยอดฝีมือใต้บัญชายงอ๋องกับทหารกล้าในกองทัพช่วยเหลือจึงขวางคมกระบี่ของสำนักเฟิงอี้ไว้ได้อย่างยากลำบาก เวลานี้พวกเขาเพิ่งสัมผัสถึงความร้ายกาจที่แท้จริงของสำนักเฟิงอี้ ก่อนหน้านี้แม้พวกเขาหวั่นเกรงอำนาจบารมีของสำนักเฟิงอี้อย่างยิ่ง แต่ความจริงในใจดูแคลนสตรีเหล่านี้ ทว่าเพลงกระบี่อันงดงามจับตาแต่โหดเหี้ยมไร้ใจของเหวินจื่อเยียนกลับทำให้พวกเขาวนเวียนอยู่ริมขอบเหวแห่งความเป็นตายอยู่ทุกห้วงขณะ
แม้ในใจหลี่จื้อกังวล แต่มีเรื่องหนึ่งทำให้ในใจเขาลิงโลดยิ่งนัก ลูกน้องที่เขาส่งไปช่วยทหารที่รั้งท้ายสกัดหลังพบว่าเผยอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่ แม้บาดเจ็บหนักมาก แต่เคล็ดวิชาของเส้าหลินมหัศจรรย์ยิ่งนักจริงๆ ถึงกับรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้
ผ่านไปอีกพักใหญ่ แม้สำนักเฟิงอี้มีคนบาดเจ็บล้มตายมากมาย แต่เหวินจื่อเยียนก็กำลังจะฝ่าวงล้อมสำเร็จ ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีฝุ่นควันฟุ้งตลบ ฉินหย่งนำกองหนุนมาด้วยตนเอง ตอนนี้เอง ในที่สุดเหวินจื่อเยียนก็ควบอาชาทะยานบุกเดี่ยวฝ่าวงล้อมออกมา
เซี่ยโหวหยวนเฟิงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หลังจากทำศึกอย่างยากลำบากอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็หมดกำลังจะต้านทานต่อ เพื่อไม่ให้ตกตายใต้คมกระบี่ของเหวินจื่อเยียน เขาจึงยอมถอย
เรื่องที่เกิดตอนนี้อยู่เหนือความคาดคิดของเขาอย่างแท้จริง แม้เซี่ยโหวหยวนเฟิงชอบประจบทั้งสองฝั่ง แต่เขาเชี่ยวชาญในการมองสถานการณ์ นับตั้งแต่ยงอ๋องฝ่าวงล้อม เขาก็รู้แล้วว่าสถานการณ์พลิกผันจนอยู่เหนือการควบคุมของสำนักเฟิงอี้ ดังนั้นเมื่อเจียงเจ๋อข่มขู่ รวมกับผิดหวังกับสำนักเฟิงอี้ เขาจึงตัดสินใจเข้าข้างยงอ๋องอย่างรวดเร็ว
เขาคิดอย่างเยาะหยันตนเอง แม้ยงอ๋องจะรับใช้ค่อนข้างลำบากเพราะต้องใช้คุณงามความชอบของจริงแลกตำแหน่งและความเชื่อใจ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ายืมจมูกผู้อื่นหายใจ ในเมื่อต้องการเข้าฝ่ายยงอ๋อง ถ้าเช่นนั้นการสร้างความชอบให้ได้เร็วที่สุดย่อมเป็นงานสำคัญในตอนนี้
และแล้วสวรรค์ก็เมตตาคุ้มครอง เขาดันหายงอ๋องพบเป็นคนแรก ความชอบใดจะสูงส่งกว่าช่วยนายจากอันตราย เซี่ยโหวหยวนเฟิงย่อมปลื้มปีติกับเรื่องไม่คาดคิดนี้ เดิมทีการกำจัดเหวินจื่อเยียนเหมือนจะเป็นคุณงามความชอบที่สวรรค์ประทานมาให้เขา ทว่าความเก่งกล้าของเหวินจื่อเยียนกับมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้กลับทำให้เขาเจอตะปูตัวใหญ่
ตอนนั้นเอง ในที่สุดเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็สังเกตเห็นกองหนุนที่อยู่ไกลๆ สำหรับเขา แม้การปล่อยให้ทหารกองหนุนเหล่านี้ล้อมกวาดล้างเหวินจื่อเยียนจะเป็นการถูกผู้อื่นแย่งชิงความดีความชอบ แต่คุณงามความดีในการลดทอนกำลังสำนักเฟิงอี้ของตนก็ตกอยู่ในสายตาของยงอ๋องแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เรื่องมาก ตอนที่สำนักเฟิงอี้ฝ่าวงล้อมออกไปได้เขาจึงเพียงออกคำสั่งให้ปิดวงล้อม อย่างไรการกำจัดทหารราชองครักษ์ที่เหลืออยู่ก็นับเป็นความชอบไม่น้อยเช่นกัน
อาชาสีดำปลอดขนข้อเท้าขาวตัวหนึ่งนำหน้าทิ้งห่างกองหนุนเหล่านั้นเข้ามาประจันหน้ากับเหวินจื่อเยียน ไอสังหารท่วมท้นทะลักออกมาจากร่างของชายหนุ่มผู้สวมเกราะบนหลังม้า เหวินจื่อเยียนเห็นทหารกองหนุนกองนั้นพลันรั้งม้าศึก นางหลับตาลง เพียงชั่วครู่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายความหวังที่ดับมืดกลายเป็นห้วงความสิ้นหวังในแววตาพลันเปลี่ยนเป็นความนิ่งสงบ
มือกระบี่หญิงแห่งสำนักเฟิงอี้ผู้อาภรณ์สีขาวถูกเลือดยอมจนแดงฉานเหล่านั้นต่างกระชับอาวุธอย่างเงียบเชียบ มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้ที่เมื่อสองวันก่อนล้มตายไปเพียงไม่กี่คน ท่ามกลางการต่อสู้อันเลวร้ายเมื่อครู่กลับล้มตายไปมากกว่าครึ่ง เกาทัณฑ์ของพวกนางเสียหายจนสิ้น ชุดจอมยุทธ์ที่สวมอยู่ด้านนอกก็ขาดวิ่นเผยให้เห็นเกราะอ่อนสีดำด้านใน กระบี่ชั้นเลิศที่ฟันทะลุโลหะได้ก็คมทื่อหม่นหมอง แต่ใบหน้าของพวกนางกลับไม่มีความหวาดกลัวหรืออ่อนแอแม้แต่น้อย
เหวินจื่อเยียนโบกมือให้มือกระบี่หญิงเหล่านั้นอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ ตนเองบังคับม้าพุ่งออกไปด้านหน้าเพื่อประจันหน้ากับคนผู้นั้น
ครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ กองทหารราชองครักษ์ที่ก่อกบฏเหล่านั้นหมดใจจะสู้แล้ว เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงบังคับอาชาเยาะย่างมาข้างกายยงอ๋อง ขณะที่กำลังจะเอ่ยรายงานก็เห็นสายตาของหลี่จื้อจับจ้องไปด้านหน้า ที่ตรงนั้นในระยะร้อยก้าวไม่มีทหารสักคน มีเพียงเหวินจื่อเยียนกับหลี่ซุ่นที่กำลังเผชิญหน้ากัน
เซี่ยโหวหยวนเฟิงคลี่รอยยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด และไม่เก็บสายตาระแวงจากองครักษ์คนสนิทของยงอ๋องเหล่านั้นมาใส่ใจ เวลานี้ในสนามรบนอกจากเสียงครวญครางของทหารราชองครักษ์ใกล้ตายกับเสียงร้องของอาชาศึกที่สูญเสียเจ้านายก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก แทบทุกคนหยุดนิ่ง จ้องมองยอดฝีมือระดับสุดยอดผู้มีชื่อเสียงน่าหวาดหวั่นดุจเดียวกันคู่นั้น เงามารหลี่ซุ่นกับรากษสหัตถ์โลหิตเหวินจื่อเยียน
ในใจทุกคนล้วนมีความคิดเดียวกัน ศัตรูที่คู่ควรแก่การนับถือคนหนึ่งเช่นนี้ ให้นางได้ตายในการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีทัดเทียมกันเถิด ทุกคนล้วนทราบว่า หากเหวินจื่อเยียนพ่าย มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นย่อมไม่มีกำลังต่อต้านแล้ว แต่หากหลี่ซุ่นแพ้ แล้วฝ่ายยงอ๋องไม่มีผู้ใดกู้หน้าได้ เกรงว่าถึงตัวเหวินจื่อเยียนจะตายแต่ก็คงทำลายขวัญกำลังใจทหารฝ่ายยงอ๋องอย่างหนัก
ตอนนี้เองเหวินจื่อเยียนก็ยิ้มละไมพลิกกายลงจากหลังม้า นางตบแผงคอของมันอย่างรักใคร่แล้วไล่มันไป จากนั้นจึงมองหลี่ซุ่น เสื้อผ้าของหลี่ซุ่นขาดวิ่นดูไม่ได้ตั้งแต่ตอนฝ่าวงล้อม ดังนั้นสิ่งที่สวมอยู่บนร่างจึงเป็นเครื่องแบบทหารชุดหนึ่ง เพียงแต่มิได้สวมเกราะ สายตาของเขาจับอยู่บนร่างเหวินจื่อเยียน แววตามีความนับถือเจือจางกับความเคียดแค้นที่ล้ำลึกยิ่งกว่า เมื่อเห็นท่าทางของเหวินจื่อเยียน เขาก็เหินลงจากหลังอาชาบ้างแล้วไล่ม้าจากไป ทั้งสองคนยืนจับจ้องกันอยู่ท่ามกลางสายลมสารทที่พัดดังหวีดหวิว ไอสังหารพลุ่งพล่านพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
ระหว่างที่คนทั้งหลายตะลึงกับไอสังหารของทั้งสองคนอยู่ ทั้งคู่พลันขยับตัว เงาร่างเข้าโรมรันกัน คมกระบี่สว่างดุจหิมะร่ายระบำฉวัดเฉวียน ส่วนหลี่ซุ่นเพียงถือปิ่นงามเล่มหนึ่ง เสียงแหวกอากาศแหลมแสบหูดังขึ้นพร้อมกับที่กระบวนท่าของเขาแปรเปลี่ยนนับพันหมื่น ทั้งสองคนยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญจนผู้ที่ดูชมอยู่ด้านข้างมองเงาร่างของพวกเขาไม่ชัด
การต่อสู้อันน่าตะลึงครั้งนี้ไม่ได้คงอยู่เป็นเวลานานนัก เหวินจื่อเยียนเป็นผู้ที่เหนื่อยล้าใกล้หมดกำลังอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เสียดายพลังภายในและพลังกายแม้แต่น้อย หวังจะจบศึกภายในเวลาสั้นที่สุด ส่วนหลี่ซุ่นเป็นผู้หยิ่งทะนง อีกประการหนึ่งการประมือกับเหวินจื่อเยียนช่วยให้เขาประเมินฝีมือตนเองหากต้องประมือกับยอดฝีมือคนอื่นของสำนักเฟิงอี้ในภายหน้าได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้ยุทธวิธีหลบเลี่ยงคมอาวุธของศัตรู ทั้งสองคนต่างทุ่มเต็มกำลังประมือกัน ทว่าเพียงไม่กี่สิบกระบวนท่าแพ้ชนะก็ปรากฏ เรือนร่างอรชรของเหวินจื่อเยียนล้มลงดั่งว่าวขาดสาย แม้บนร่างจะมีบาดแผลเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง แต่หลี่ซุ่นกลับสีหน้าลิงโลด จากการประมือเต็มกำลังกับเหวินจื่อเยียน เขามั่นใจว่าตนรับมือยอดฝีมือสำนักเฟิงอี้ได้ทุกคนยกเว้นเจ้าสำนักเฟิงอี้
เหวินจื่อเยียนลุกนั่งอย่างเชื่องช้า โลหิตหลั่งรินจากร่างของนาง แต่นางราวกับไม่รู้สึกรู้สา นางลุกขึ้นยืนโงนเงน สายตาของนางกวาดมองรอบด้านอย่างช้าๆ จนสุดท้ายจับอยู่บนร่างของหลี่ซุ่น แล้วเอ่ยบางวาจาด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะชูกระบี่ตะโกนลั่น “ชนะเป็นจ้าว แพ้เป็นโจร หลี่ซุ่น ข้าจะรอเจ้าในปรโลก” กล่าวจบก็เชือดคอจบชีวิตตน มือกระบี่หญิงแห่งยุคผู้มีฝีมือไม่แพ้บุรุษได้ฝังร่างใต้ผืนธรณีเฉกเช่นนี้
เวลานี้เอง ฉินหย่งพลันโบกมือ มือธนูพันกว่านายง้างศรรอคำสั่ง เล็งไปยังมือกระบี่หญิงที่เหลือ ฉินหย่งคำนับยงอ๋องจากไกลๆ แล้วรอคอยคำสั่งจากเขา
มือกระบี่หญิงเหล่านั้นมองหน้ากัน แม้พวกนางแทบไม่หลงเหลืออารมณ์เยี่ยงคนธรรมดาเพราะการฝึกฝนอันแสนสาหัสกับเคล็ดวิชาที่มีปัญหา แต่ในใจพวกนางรู้ชัดว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่มีความหวังจะรอดอีกแล้ว เงาของความตายรายล้อมรอบกายพวกนางอย่างชัดเจน ดังนั้นเหวินจื่อเยียนผู้ซึ่งพวกนางเคารพและเชื่อฟังจึงกลายเป็นแบบอย่างให้พวกนางเลียนแบบ พวกนางต่างมองตากันแล้วยกกระบี่ขึ้นปลิดชีพตนในเวลาเดียวกัน ร่างของสตรีเหล่านี้หล่นร่วงจากหลังอาชา พร้อมกับที่การล่มสลายของสำนักเฟิงอี้เริ่มต้น
ตอนต่อไป