บทที่ 386 คืนวันส่งท้ายปีเก่า

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 386 คืนวันส่งท้ายปีเก่า

เพียงแต่เรื่องนี้นางก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง นางก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ในชั่วพริบตา ก็เป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองแล้ว โจ้วกุ้ยหลานได้ปรึกษาหารือกับไป๋ยี่เซวียน ว่านับตั้งแต่วันนี้ไป ทุกๆ คนจะต้องหยุดพักผ่อน

เมื่อมีเวลาว่างเช่นนี้ โจวกุ้ยหลานจึงทำไส้กรอกอยู่ที่บ้าน และทำเนื้อรมควันต่างๆ อีกทั้งยังจัดซื้อข้าวของวันปีใหม่อีกด้วย

เมิ่งเจียงก็ลาหยุดวันปีใหม่แล้วเช่นกัน คนที่อยู่ใกล้ต่างกลับบ้านไปเตรียมฉลองวันปีใหม่ ส่วนคนบ้านไกล ก็อยู่ต่อ และช่วยโกวจุ้ยหลานทำสิ่งเหล่านี้

ในทุกๆ วัน โจวกุ้ยหลานก็จะยุ่งจนหัวหมุน

อาจารย์ก็ไม่หยุดเช่นกัน ช่วยโจวกุ้ยหลานทำสิ่งเหล่านี้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ

เมื่อถึงวันที่สามสิบ โจวกุ้ยหลานก็พาคนกลุ่มนี้ไปห่อเกี๊ยว และหลังจากทานมื้อส่งท้ายปีเก่ากันจนอิ่มแล้ว ทุกคนก็มานั่งล้อมรอบเตาไฟเพื่อส่งท้ายปีเก่ากัน

จนกระทั่งมืดลงเด็กทั้งสองคนก็ทนต่อไปไม่ไหว โจวกุ้ยหลานจึงอุ้มพวกเขาไปนอน และเมื่อกลับมา ถาดในมือยังมีของมาเพิ่มเติมอีกมากมาย

“พวกเจ้ากินสักหน่อยสิ” โจวกุ้ยหลานนำถาดยื่นให้คนทั้งสอง คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เกรงใจ ต่างจับเมล็ดแตงโมกันคนละกำมือ

เมื่อถึงอาจารย์ อาจารย์กลับวางตั๋วเงินลงบนถาดหนึ่งใบ

โจวกุ้ยหลานเหลือบมองเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่มองนาง ก็อดยิ้มไม่ได้ : “ข้าไม่ได้ขาดเงิน เจ้าเอาคืนไปเถอะ”

“อั่งเปาสำหรับเจ้า” อาจารย์กล่าวด้วยความเขิน

โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา รับถาดกลับมาทันที จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินใบนั้นจากในถาดขึ้นมา มันคือหนึ่งหนึ่งร้อยตำลึงพอดี

ดูเหมือนว่า นี่คือเงินรางวัลในการแข่งขันครั้งนั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะเก็บเอาไว้นานขนาดนี้ และมอบมันให้นางในคืนนี้

“ในเมื่ออาจารย์มอบให้ เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณอาจารย์ด้วย”

โจวกุ้ยหลานกล่าวพร้อมยิ้มตาหยี

เห็นนางรับไป อาจารย์ก็รู้สึกโล่งอก

เมิ่งเจียงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริมว่า : “ป้ากุ้ยหลาน ท่านอย่าคิดว่ามันน้อยไปเลยนะ ปีหน้า พวกเราจะพยายามทำงาน เพื่อตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”

“ปีหน้ารอให้พวกเจ้าไปสอบผ่านที่การจัดสอบคัดเลือกช่วงสันต์ ถึงเวลานั้นก็รับผิดชอบตนเองให้ดี ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนข้าแล้ว” โจวกุ้ยหลานส่ายหัว

เมื่อไม่กี่วันก่อน นางได้รับคนเหล่านี้มาช่วยงานในร้าน และพวกเขาก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วย

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกว่าติดหนี้นางอยู่

ด้วยความตั้งใจนี้ นางก็รู้สึกว่าการทุ่มเทของนางนั้นมีความหมาย

“แน่นอน!”

อีกคนที่ชื่อเสิ่นชงตอบกลับอย่างมีความสุข

“นี่คือหน้าที่ของปัญญาชน ไม่สามารถถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณได้ ในอนาคตหากพวกเขามีรายได้ จะต้องจ่ายค่าปัจจัยและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในตอนนี้คืนเจ้าอย่างแน่นอน”

อาจารย์กล่าว

โจวกุ้ยหลานหัวเราะ แล้วก็ไม่ได้ตอบรับ

เวลานี้ อาจารย์กำลังสอนลูกศิษย์ของเขาว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร นางพูดแทรกขึ้นมามันจะไม่เป็นการดี

คนเหล่านั้นก็พยักหน้าตาม เพื่อตอบรับ

คุยเรื่อยเปื่อยกันสองประโยค คนเหล่านั้นก็เอ่ยถึงเรื่องของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ ดูเหมือนว่าเห้อเฟิงจะเสียสติไปแล้ว เขาถูกสำนักบัณฑิตส่งกลับมาบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน

“เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนชนะเขานะ เหตุใดถึงปลงไม่ตกเช่นนี้ล่ะ? แพ้ชนะไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปกติหรอกหรือ?”

โจวกุ้ยหลานก็จนใจเล็กน้อย

ถึงแม่ว่านางจะไม่ค่อยชอบเห้อเฟิงนัก แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเลย

เมิ่งเจียงอ้าปาก และยังคงปิดปากไป

นางปราบปรามคนมามาก! จริงๆ แล้วก็เหมือนกับภูเขาสูงลูกหนึ่ง เมื่อคนเห็นจึงทำให้อยากจะข้ามมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

“บางทีอาจจะ ก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้หรอก” จ้าวจงตี้ตอบกลับ

“ถ้าไม่ใช่ว่าวันนั้นพวกเจ้าท้องเสียกัน ข้าก็จะไม่ออกไปหรอก ต้องโทษเขานั่นแหละกรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง”

โจวกุ้ยหลานพูดคำนี้จบ เมิ่งเจียงอดไม่ได้ที่จะถามว่า : “กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนองคืออะไรหรือ?”

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ เพื่อให้พวกเขาเตรียมป้องกันมากขึ้นเล็กน้อย โจวกุ้ยหลานจึงนำเรื่องที่ตนเองพบเจอมาบอกกล่าว

“ชาที่พวกเจ้าดื่มข้าได้ให้หมอลองดูแล้ว บอกว่ามีสลอดอยู่ด้านในไม่น้อย หลังจากหมอคนนั้นได้มารักษาพวกเจ้า ก็บอกว่าพวกเจ้าถูกใส่สลอด”

เวลานี้ การถูกใส่สลอด ยังจะสามารถมีใครได้อีก?

นั่นเป็นการแข่งขันอยู่ที่สำนักบัณฑิตไป๋ลู่!

สีหน้าของหลายคนก็ยิ่งไม่น่าดู

“บางที……อาจจะเป็นเราที่คิดมากไปเอง……”

“ท้ายที่สุดแล้วหากไม่ใช่ป้ากุ้ยหลาน เราก็จะต้องพลาดการแข่งขันนี้ และสุดท้ายใครจะได้รับชัยชนะไปล่ะ?”” เมิ่งเจียงโต้แย้งอย่างไร้ความปรานี

อาจารย์ทำเสียงไม่พอใจ : “กลอุบายที่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะใช้ออกมาได้! พวกเขาไปอ่านหนังสือนักปราชญ์มาจากที่ไหนกัน?!”

“อาจารย์ นี่ข้าได้บอกเจ้าแล้ว เจ้านี่นะ บางครั้งก็เกินจริงไป ในอนาคตพวกเขาจะต้องเข้าสู่วงการข้าราชการ วงการข้าราชการนี้มีหลากหลายจนคาดเดาไม่ได้เลย กลอุบายประเภทนี้ล้วนมีให้พบเห็นไม่น้อย ถึงเวลานั้นเกรงว่าพวกเขาจะอยู่ได้ไม่นาน!”

“เจ้าไม่เคยเข้าสู่วงการข้าราชการ! จะรู้ได้อย่างไร?”

โจวกุ้ยหลานสูดลมหายใจเข้า อย่างจนใจ : “ไม่เคยกินเนื้อหมู จะไม่เคยเห็นหมูวิ่งอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่ทำการค้า ก็จะมีผู้รอบรู้มากมายอยู่ในนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงวงการข้าราชการศูนย์กลางแห่งอำนาจเลย”

อาจารย์คิดอยากที่จะโต้แย้ง แต่จู่ๆ ดูเหมือนว่าจะคิดถึงอะไรบางอย่าง และไม่ได้กล่าวอะไรอีก

“ป้ากุ้ยหลาน ท่านคิดเลขเก่งกาจเช่นนี้ ท่านเรียนรู้ได้อย่างไรหรือ?” เมิ่งเจียงเอ่ยถามนางแทรกขึ้นมา

นางหันไปมอง ก็เห็นว่าลูกศิษย์หลายคนดูระมัดระวัง จึงเข้าใจได้ว่าเมิ่งเจียงกำลังเปลี่ยนเรื่องอยู่

มันอาจจะเป็นการไปพูดจี้จุดเรื่องอะไรบางอย่างของอาจารย์ โจวกุ้ยหลานก็เลยพูดตามคำพูดของพวกเขา : “เพียงแค่ทำการค้ามากๆ จึงค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับการคิดเลขนะสิ”

“การคิดเลขของการทำการค้ามันดีขนาดนี้เลยหรือ?” จ้าวจงตี้รู้สึกแปลกใจ

โจวกุ้ยหลานส่ายหัว : “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก บางที อาจจะเป็นเพราะว่าข้าทำความรู้จักกับลูกคิดทั้งวันก็เป็นได้”

“ข้าเคบพบเจอคนที่ทำการค้ามา ก็ไม่เคยเห็นใครคิดเลขได้เหมือนป้ากุ้ยหลานเลย!” เมิ่งเจียงกล่าวโต้แย้ง

คราวนี้ โจวกุ้ยหลานเข้าใจแล้วว่าอะไรคือการพูดจาโดยไม่คิด

ความละอายปรากฏขึ้นมาในใจของนาง และรู้สึกว่ากำลังโกหกลูกศิษย์ที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้

เฮ้อ หาเรื่อง……

“ป้ากุ้ยหลาน ท่านสอนการคิดเลขให้พวกเราได้หรือไม่?” เสิ่นชงกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ

เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา โจวกุ้ยหลานก็เห็นทุกๆ คนต่างมองมาที่นางด้วยความหวัง

กำลังจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ ก็เห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของอาจารย์จ้องมองนางอย่างเป็นประกาย

“อาจารย์ เจ้าอย่างมองข้าแบบนี้สิ ข้ารู้สึกประหม่า” โจวกุ้ยหลานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถอยออกห่างไปเล็กน้อย

อาจารย์ : “……”

“ป้ากุ้ยหลาน พวกเราจะไม่ทำให้ท่านเสียเวลามากหรอก มิฉะนั้นท่านก็บอกเราคืนนี้เลยดีไหม? เราจะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้?”

เมิ่งเจียงเสนอข้อคิดเห็น

คนอื่นๆ ก็พยักหน้าตาม แสดงออกว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้

โจวกุ้ยหลานจนปัญญาจริงๆ : “จะสอนได้อย่างไรล่ะ? พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”

นั่นเป็นระบบคณิตศาสตร์แบบใหม่! นางเรียนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว และเรียนเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น

หากนำระบบนั้นเผยออกมาเล็กน้อย เกรงว่าจะทำให้ผู้มีปัญญาในยุคนี้ต้องตกใจ ฉะนั้นช่างมันเสียเถอะ……”

โจวกุ้ยหลานคิดหาวิธีอยู่ในใจ ที่จะกล่าวปฏิเสธ

หลายๆ คนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย บรรยากาศดูหดหู่ลงมา

“หากป้ากุ้ยหลานไม่เต็มใจจริงๆ ……เช่นนั้น……ก็ช่างมันเสียเถอะ……”

“น่าเสียดายจริงๆ ……”

“ต้องโทษพวกเราที่โง่เขลาเกินไป เล่าเรียนมานานขนาดนี้ แม้แต่คิดเลขยังเทียบกับป้ากุ้ยหลานที่ไม่เคยเล่าเรียนไม่ได้เลย……”

โจวกุ้ยหลาน : “……”

พวกเจ้าคิดมากเกินไปใช่หรือไม่?

ไม่ได้เล่าเรียนหรือ? ชาติที่แล้วนางเรียนมาเกือบยี่สิบปี! ยังแก่กว่าเมื่อเทียบอายุของพวกเขา!

หลังจากเสียงเหล่านี้เงียบลง เป็นเวลานาน ที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก