นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 385 การแข่งขัน 8
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ เมื่อธูปมอดดับลง พิธีกรก็ตะโกนว่าหมดเวลา และไปดูคำตอบของทางด้านสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ จึงพบว่าทุกคนยังคำนวณไม่เสร็จ
“หัวข้อนี้ไม่สามารถคำนวณออกมาได้ภายในเวลาธูปครึ่งดอก! เจ้าจงใจ!” เห้อเฟิงโมโหจนสีหน้าซีดเผือด
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า: “ข้าก็ต้องจงใจสิ นี่คือการแข่งขัน หากไม่อยากชนะแล้วจะมาแข่งทำไมล่ะ?”
คำพูดนี้ทำให้เห้อเฟิงและคนอื่นๆ หน้าแดงก่ำ เห้อเฟิงในเวลานี้รู้สึกเพียงว่าตนเองถูกคนตบหน้าอย่างแรงต่อหน้าผู้คน
ความรู้สึกอัปยศอดสู ความอับอายขายหน้าทุกอย่างที่ทำให้คนรับไม่ได้พรั่งพรูขึ้นมาในหัว
ความสติสัมปชัญญะสุดท้ายก็ระงับเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาทำเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีออกมา
กระทั่งอาจารย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ เวลานี้ก็โมโหจนตบเก้าอี้อย่างแรง
“พิธีกร อาจารย์ทุกท่าน พวกเขาไม่สามารถตอบได้ นี่ถือว่าข้าชนะหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวถามทุกคน
พิธีกรคนนั้นรู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจทุกอย่างถูกทำลายลง เขาทำได้เพียงหันหน้ากลับไปอย่างงุนงง แล้วใช้สายตามองไปยังอาจารย์หลายท่านที่อยู่ด้านหลัง
อาจารย์เหล่านั้นก็มองหน้ากัน ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างยากลำบาก
ในแววตาที่ทึ่มทื่อของทุกคน ในที่สุดพิธีกรก็ประกาศว่า: “สำนักบัณฑิตหนานซาน…….เป็นผู้ชนะ!”
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น แล้วพาเด็กทั้งสองลุกขึ้นยืน แล้วเดินมายังสำนักบัณฑิตหนานซานภายใต้การจ้องมองของทุกคน หยุดนิ่ง แล้วกล่าวกับอาจารย์ว่า: “อาจารย์ เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า”
เมื่อพูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
บางครั้งความรู้สึกที่ได้ทำเรื่องดีๆ มันช่างดีจริงๆ …….
“ป้ากุ้ยหลาน! เจ้าชนะแล้ว!” จ้าวจงตี้ตะโกนด้วยความตื่นเต้น
เสียงนี้ ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างก็ตกใจ สำนักบัณฑิตหนานซานคนอื่นๆ ก็เข้ามารายล้อมโจวกุ้ยหลาน และพูดจ้อกแจ้กจอแจด้วยความดีใจ
เมื่อเทียบกับทางด้านนั้นที่ครึกครื้นรื่นเริง ทางด้านของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ก็เงียบสงบอย่างมาก
เห้อเฟิงกำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาคิดแล้วไม่เข้าใจว่า เขาที่อ่านเรียนอย่างหนัก เพราะเหตุใดถึงพ่ายแพ้ผู้หญิงโง่เขลาไม่รู้หนังสือคนหนึ่งได้?”
“ข้านึกออกแล้ว! นางเป็นเถ้าแก่ของร้านไก่ทอดผิ่นเว่ย!”
ลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เห้อเฟิงตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
คนอื่นๆ ก็มองผ่านเข้าไปในฝูงชน ผู้หญิงคนนั้นกับเจ้าของร้านคนนั้นหลอมรวมขึ้นมาในความทรงจำ
รูม่านตาของเห้อเฟิงหดแคบลง ทันใด คลื่นแห่งความปีติยินดีก็พรั่งพรูขึ้นในใจ
เขาลุกออกจากที่นั่ง และเดินไปหาพิธีกรที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าเขาเอาไว้ และเขย่าตัวพิธีกรด้วยความรีบร้อนและคาดหวัง แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า: “นางไม่ใช่คนของสำนักบัณฑิตหนานซาน! นางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวแทนของสำนักบัณฑิตหนานซานแข่งขันกับพวกเรา! คือพวกข้าชนะ! พวกข้าชนะ!”
เหตุการณ์ไม่คาดคิดทางด้านนี้ดึงดูดความสนใจคนจำนวนไม่น้อย กระทั่งโจวกุ้ยหลานและคนอื่นๆ ก็ได้ยิน จึงหันกลับไปมอง
เห้อเฟิงไม่ได้รับคำตอบจากพิธีกร จึงปล่อยพิธีกรที่ถูกเขย่าแทบจะวิงเวียน แล้วพุ่งไปหาผู้ทรงคุณวุฒิและตะโกนด้วยความดีใจอย่างมากกับผู้ทรงคุณวุฒิสองสามคนว่า: “พวกเราชนะแล้ว! สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ของพวกเราคือผู้ชนะคนสุดท้าย! พวกเจ้ารีบประกาศสิว่าพวกข้าชนะแล้ว!”
“บ้าไปแล้ว!”
“บ้าไปแล้วจริงๆ!”
คนโดยรอบไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยจึงรู้สึกตกใจ
อาจารย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ตะคอกใส่คนที่อยู่ข้างๆ ด้วยความโมโหว่า: “ยังไม่รีบลากเขาออกไปอีก?”
คนสองสามคนที่ยืนทึ่มทื่ออยู่เวลานี้จึงได้สติขึ้นมา และรีบเข้าไปดึงคน
เขาหันหน้ามองไปยังทางด้านของสำนักบัณฑิตหนานซาน บนใบหน้าเต็มไปด้วยการรับไม่ได้
ชั่วพริบตาในสถานที่ก็สับสนอลหม่านขึ้นมา โจวกุ้ยหลานกลัวว่าจะทำร้ายเด็กทั้งสอง จึงคุ้มกันเด็กและเดินออกไปข้างนอก
เมิ่งเจียงแบกอาจารย์ขึ้นหลัง แล้วรีบเดินตามไป
แต่อาจารย์ กำชับสั่งให้จ้าวจงตี้อยู่ที่นี่ แล้วจึงพาคนอื่นๆ ออกไป
ก่อนจะไป เมิ่งเจียงก็หันกลับไป แล้วมองไปยังสถานที่แข่งขัน ด้านหน้าเต็มไปด้วยผู้คน เขาก็มองไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงของเห้อเฟิงที่ดีใจอย่างมาก รวมทั้งเสียงตะโกนด้วยความตกใจของคนอื่นๆ ตลอดเวลา
ภายในใจของเขาค่อนข้างว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก เมื่อหันกลับไปมองโจวกุ้ยหลานที่กำลังจูงเด็กทั้งสองด้วยสีหน้าที่ปกติ คาดไม่ถึงว่าภายในใจจะรู้สึกขัดข้องใจ
“หยุดทำไมกัน?” เสียงของอาจารย์ดังขึ้น เมิ่งเจียงจึงเก็บอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และรีบเดินออกไปด้านนอก
เมื่อถึงด้านนอก ก็ขึ้นรถม้า และทุกคนก็รีบกลับไปยังบ้าน
ตลอดการเดินทางไม่ได้พูดอะไรเลย คนสองสามคนนั้นแอบมองไปที่โจวกุ้ยหลานอยู่บ่อยๆ แต่ใครก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
โจวกุ้ยหลานกับเด็กทั้งสองกำลังพูดคุยกัน และกำลังปลอบใจเสี่ยวรุ่ยอานด้วย
อาจจะเป็นเพราะว่าโจวกุ้ยหลานชนะ เสี่ยวรุ่ยอานจึงรู้สึกดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
รถม้าเดินทางพาพวกเขาไปส่งบ้าน เมื่อลงจากรถม้า หลังจากให้พวกเขากลับไปแล้ว ตนเองก็นั่งรถม้าออกไปคนเดียว
หลังจากนั้นก็กลับไปที่ร้านค้าอีกครั้ง และทำโค้กของตนเองต่อไป
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเมิ่งเจียงและคนอื่นๆ กลับมาแล้ว ก็ยังใช้เวลาอีกนาน จึงจะล้มตัวลงบนเตียงได้
แต่เวลานี้ไม่มีใครผ่อนคลายแม้แต่คนเดียว หยิบพู่กันขึ้นมาตามๆ กัน และคิดคำนวณคำถามนั้นที่โจวกุ้ยหลานถาม
พวกเขาคำนวณตลอดช่วงบ่าย และมีไม่กี่คนที่สามารถคำนวณคำตอบออกมาได้
เพียงแต่พวกเขาไม่มีใครมีรอยยิ้มบนใบหน้าแม้แต่คนเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นในตอนกลางวัน ได้ทำลายการรับรู้เกี่ยวกับโจวกุ้ยหลานไปแล้ว
“สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ แพ้แล้วก็เป็นเรื่องปรกติ” อาจารย์มองข้อมูลที่ทุกคนคำนวณได้ จึงเงียบเป็นเวลานาน จึงกล่าวว่า
เมิ่งเจียงก็พยักหน้าตาม แล้วกล่าวว่า: “ป้ากุ้ยหลานเก่งจริงๆ คณิตศาสตร์ของข้าเมื่อเทียบกับนางแล้ว ยังห่างชั้นนัก”
คนอื่นๆ ก็พยักหน้าตาม
ถ้าหสกวันนี้เป็นพวกเราที่อยู่บนเวที ไม่ว่าจะเป็นคำถามไหน พวกเราจะไม่สามารถคำนวณได้เร็วเท่ากับโจวกุ้ยหลาน
โดยเฉพาะคำถามสุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วป้ากุ้ยหลานคิดออกมาได้อย่างไร
อาจารย์หลุบตาลง “ไม่มีใครเทียบได้”
“อาจารย์ หมายความว่าท่านก็…….” พูดได้เพียงครึ่งเดียว เมิ่งเจียงก็ไม่พูดต่อไปอีก
คนอื่นๆ ก็มองไปยังอาจารย์
อาจารย์ส่ายหน้า: “ยากที่จะสามารถทัดเทียมได้”
ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็เงียบกริบ
อาจารย์ของพวกเขา คือเจิ่งซานยี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง! มีความรู้มากมายหลายแขนง! เป็นเรื่องง่ายที่จะสอนหลิวห้าวหรานผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในเมืองหลวง!
แต่บัดนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับว่าทางด้านคณิตศาสตร์ของตนเองเทียบไม่ได้กับผู้อื่น?
นี่ไม่กล้าเชื่อจริงๆ!
หลังจากทุกคนผ่านความเงียบช่วงต้นมาแล้ว แต่ละคนก็ก้มหน้าลง แล้วอ่านหนังสือต่อไป
ระหว่างนั้นมีหมอคนหนึ่งเข้ามา และได้ช่วยตรวจให้พวกเขา บอกว่ากินยาถ่ายเข้าไป สุดท้ายจึงฝังเข็มให้พวกเขา และทุกคนก็อาการดีขึ้น มีเพียงร่างกายที่อ่อนเพลียแขนขาที่ไม่มีแรง แต่ก็สามารถพิงกำแพงอ่านหนังสือได้
โจวกุ้ยหลานไม่รู้ว่าที่ตนเองเข้าร่วมการแข่งขันนั้น ได้กระทบกระเทือนคนมากมายแค่ไหน
เวลานี้นางกำลังทำงาน และไป๋ยี่เซวียนก็ยุ่งอยู่กับเรื่องของร้านใหม่
เพียงแต่ผ่านไปสองสามวัน สภาวะแวดล้อมในร้านก็เริ่มเปลี่ยนไป บางครั้งบางคราวก็จะมีคนเข้ามาแอบเพ่งเล็งนาง
เดิมทีโจวกุ้ยหลานคิดว่ามีตรงไหนบนร่างกายตนเองที่ผิดปกติหรือไม่ ต่อมาจึงได้รู้จากเสี่ยวเก๋อว่า ที่แท้เรื่องการแข่งขันในวันนั้นได้ถูกเผยแพร่ออกมา บัดนี้นางกลายเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ทำให้คนมีฝีมือของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่พ่ายแพ้ได้
ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือผู้ทรงคุณวุฒิทั้งห้าท่านที่ไปตัดสินในวันนั้น ต่างก็ชื่นชมยกย่องโจวกุ้ยหลาน ชมว่านางมีไหวพริบคล่องแคล่วว่องไว ทักษะทางคณิตศาสตร์ไม่มีใครสามารถเทียบได้
โจวกุ้ยหลานได้ฟังก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก นี่มันอะไรกัน นางก็แค่ได้เรียนรู้ทฤษฎีคณิตศาสตร์สมัยใหม่ และใช้ประโยชน์จากมันก็เท่านั้น