บทที่ 401 จุดจบ

“เป็นไปไม่ได้ เจ้ามีสิทธิ์อะไร จวงจิ่นเซ่อเจ้ามีสิทธิ์อะไร…”

ไล่หลังคือเสียงร้องโหยหวนของจิ้งไท่เฟย ตามมาด้วยเสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มโครมคราม เพราะมีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างใน จวงไทเฮาจึงไม่กลัวว่าจิ้งไท่เฟยจะพรวดพราดออกมา

จวงไทเฮาเดินกลับไปยังห้องของตัวเองโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมอง

ฮ่องเต้ยืนรออยู่ที่หน้าประตู สีหน้าเหม่อลอยราวกับไม้แกะสลัก

ชัดเจนแล้วว่าเมื่อครู่นั้นเขาได้แอบฟังทั้งหมด ได้ยินทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น

จิ้งไท่เฟยเผยความลับออกมากมาย ทว่าเขากลับสนใจเพียงแค่สิ่งสุดท้าย เขาเหลียวไปมองจวงไทเฮา ก่อนจะคว้าแขนเสื้อนางไว้ด้วยความประหม่าและหวาดหวั่น น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก “ข้า…ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของเสด็จแม่ไทเฮาใช่หรือไม่”

จวงไทเฮามองเขาอย่างเหลืออด “ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่อย่างไรเล่า!”

ตะโกนเสียงดังลั่นเสียด้วย

ฮ่องเต้ชะโงกหัวออกไป เหลียวไปมองทางห้องของจิ้งไท่เฟย พลางส่งสายตา ‘ข้าเข้าใจ’ ให้จวงไทเฮา

หลังจากนั้นเขาก็เดินตามไทเฮาเข้าไปยังเรือนข้างกัน

“เจ้าตามข้าเข้ามาทำไม” จวงไทเฮาถามอย่างไร้ความเกรงใจ

ฮ่องเต้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้ารู้ว่าเสด็จแม่ไทเฮาจงใจพูดเช่นนั้นกับจิ้งไท่เฟย ข้าคือลูกแท้ๆ ของเสด็จแม่”

จวงไทเฮา “…”

เจ้านี่เหตุใดถึงไม่ฟังที่พูดเลยสักนิด

ลูกที่นางคลอดออกมาเอง เหตุใดนางจะจำไม่ได้

จวงไทเฮากวาดสายตามองไปที่รอบเอวของฮ่องเต้ “ลูกที่ข้าคลอดออกมาไม่มีดุ้น!”

สองขาของฮ่องเต้ทรุดลง สีหน้าน้อยอกน้อยใจ

ขณะที่จวงไทเฮานึกว่าเจ้าลูกชายจอมซื่อบื้อเข้าใจความหมายของตนเองแล้ว คงไม่ตามตอแยกอีกต่อไป คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะกระเง้ากระงอดพูดออกมา “เสี่ยว…หง…หงไม่สน เสี่ยว…หง…หง…เป็นลูกของเสด็จแม่!”

จวงไทเฮาที่ทนดูต่อไปไม่ไหว “…”

นางจะปฏิเสธได้หรือ

ภายในห้องอีกฝั่งหนึ่ง ท่านเหล่าโหวและกู้เฉิงเฟิงมองหน้ากันไปมา

กู้เฉิงเฟิงเหมือนนกน้อยที่ถูกจับได้ว่าออกไปเที่ยวเล่น นั่งหางตกหูลู่อยู่ที่กลางห้อง

ท่านเหล่าโหวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างน่าเกรงขาม มองกู้เฉิงเฟิงด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เรื่องนั้นคงต้องเท้าความกลับไปถึงตอนที่กู้เฉิงเฟิงได้พบกับฮ่องเต้ กู้เจียวใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อให้เขากับจวงไทเฮาได้มีโอกาสหนีรอดออกมา เขาวิ่งมุ่งไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่หน้ากากก็หลุดหายไปแล้ว เพราะอย่างนั้นตอนที่เขาเจอกับฮ่องเต้และท่านเหล่าโหว พริบตาเดียวท่านโหวก็จำเขาได้

แต่โชคดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตอนนั้นเขาไม่ได้ประมือกับผู้ใด เพียงแค่ใช้วิชาตัวเบาเท่านั้น

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้า…ตอนนั้นที่ตรอกปี้สุ่ย ฝ่าบาทมาหาไทเฮาที่ตรอกปี้สุ่ย ข้าอยู่ในห้องหนังสือจึงได้ยิน ข้ากังวลว่าไทเฮาจะเป็นอันตรายจึงออกตามหา ข้า…แค่อยากจะช่วยอย่างสุดกำลังก็เท่านั้น”

เจ้าเด็กที่เกียจคร้านไม่เคยร่ำเรียนวรยุทธ์กลับต้องการช่วยไทเฮาอย่างสุดกำลัง เหตุใดถึงฟังดูทะแม่งๆ อย่างไรก็ไม่รู้

ท่านเหล่าโหวเอ่ยขึ้น “ทหารเฝ้าเวรยามประตูเมืองปล่อยให้เข้าออกมาอย่างนั้นหรือ”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ข้า…ใช้ป้ายของจวนติ้งอันโหว บอกว่าเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน พวกเขาจึงปล่อยข้าออกมา”

ท่านเหล่าโหวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพียงแต่หากเทียบกับเรื่องที่ว่าเขาออกมาจากเมืองหลวงได้อย่างไรนั้น ท่านเหล่าโหวสนใจเรื่องที่ว่าเขารู้จักไทเฮาได้อย่างไรเสียมากกว่า แล้วเหตุใดถึงมีวรยุทธ์กับเขาด้วย

กู้เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าท่านปู่ไม่รู้เรื่องที่จวงไทเฮานั้นได้พลัดหลงไปอยู่กับสามัญชน เพราะจวงไทเฮาบอกกับผู้อื่นว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาตนเองรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักตากอากาศ

เขากังวลว่าตัวเองพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป จึงเอ่ยต่อ “เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าเป็นไทเฮา ใช่ว่าข้าไม่เคยเข้าวังเสียหน่อย! ตอนข้าไปคำนับท่านอาซูเฟย ก็เคยเห็นไทเฮาจากไกลๆ แถมยังเคยเจอตั้งหลายหน! แล้วก็มีครั้งหนึ่ง ข้าไม่ทันระวังจึงหลงทาง ไทเฮายังสั่งให้คนมานำทางข้าอีกต่างหาก ข้าเพียงแค่ไม่เคยบอกท่านก็เท่านั้น ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบไทเฮา”

ท่อนแรกเขาคนนึกเตรียมการไว้ตั้งแต่ระหว่างทางกลับมาแล้ว ส่วนเรื่องที่ไทเฮาส่งคนมานำทางเขานั้นเพิ่งแต่งขึ้นเมื่อครู่นี่เอง

เท่านี้ก็อธิบายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วว่าเหตุใดเขาถึงออกมาตามหาไทเฮา เพราะไทเฮาเคยช่วยเหลือเขาอย่างไรเล่า!

เขากำลังหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเอง!

โอ้โห ทำไมข้าถึงได้ฉลาดเพียงนี้

สมกับเป็นข้าจริงๆ!

“ส่วนเรื่องวรยุทธ์ เอ่อ ข้ามีวรยุทธ์เสียที่ไหนเล่า แค่วิชาตัวเบาก็เท่านั้น ครูพักลักจำมาจากพี่ใหญ่เอาก็ได้”

สมเหตุสมผลเป็นที่สุด!

เขานี่มันสุดยอดเลยจริงๆ!

แต่ว่า…วิชาปั้นน้ำเป็นตัวนี่เขาเรียนรู้มาจากที่ใดกันนะ เหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นๆ อย่างประหลาด

ท่านเหล่าโหวยังคงสงสัยไม่คลาย แต่ก็จับพิรุธไม่ได้อยู่ดี เขาคงไม่ขอให้จวงไทเฮามาเป็นพยาน แม้แต่ฮ่องเต้ จวงไทเฮายังคร้านจะเสวนาด้วย หากเป็นเขาคงไม่แม้แต่จะชายตามอง

ลักลอบออกมาจากจวนกลางดึกอย่างไรก็ต้องโดนลงโทษ แต่เห็นแก่ที่กู้เฉิงเฟิงช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ ท่านเหล่าโหวจึงให้เขานั่งรถม้ากลับจวนไป

หลังจากนั้นท่านเหล่าโหวก็ไปรายงานฮ่องเต้ เขาทวนคำพูดของกู้เฉิงเฟิงอีกหนึ่งรอบ คงกังวลว่าฮ่องเต้จะสงสัย ว่าเหตุใดลูกหลานตระกูลเขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้น หรือว่าแอบวางแผนร้ายอะไรอยู่

เพราะหลังจากเกิดเรื่องจิ้งไท่เฟยขึ้น ท่านเหล่าโหวจึงคิดว่าฮ่องเต้คงไม่เชื่อใจตนเหมือนแต่ก่อน

ฮ่องเต้ยังคงดื่มด่ำกับความสุขใจที่เขาอาจจะเป็นลูกชายแท้ๆ ของไทเฮา ไม่มีเวลามาสงสัยอะไรให้มากความ เขาเอ่ยชมกู้เฉิงเฟิง ทั้งยังชมท่านเหล่าโหวว่าเลี้ยงดูลูกหลานได้ยอดเยี่ยม

เรื่องที่จิ้งไท่เฟยเป็นกบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อนนั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อีก เป็นอาญาแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย อีกไปกว่านั้นนางยังขโมยราชโองการ เจตนาทำร้ายไทเฮาเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น โทษยิ่งหนักมหันต์ ไม่อาจละเว้นได้

หากปล่อยให้จิ้งไท่เฟยพาจวงไทเฮาไปถึงค่ายชายแดนได้สำเร็จ ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรคงไม่ต้องคาดเดา

ชีวิตของไทเฮาคงตกอยู่ในอันตราย เกียรติยศศักดิ์ศรีของราชสำนักคงป่นปี้ ชื่อเสียงของกองทัพทั้งสามคงไม่เหลือชิ้นดี …แคว้นเจาคงโกลาหลอย่างไม่เคยมีจารึกไว้ในพงศาวดาร

คราวนี้ฮ่องเต้จะไม่เห็นแก่สายใยแม่ลูกอีกต่อไป

เขามาถึงห้องที่คุมขังจิ้งไท่เฟยเอาไว้

จิ้งไท่เฟยหยุดอาละวาดแล้ว ยามนี้เหมือนมีเพียงแค่กายหยาบของนางที่นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเก้าอี้ แต่ดวงวิญญาณนั้นได้ล่องลอยออกไปแล้ว

ฮ่องเต้กวาดตามองรอยเสียดสีที่มีคราบเลือดเกรอะกรังบนข้อมือเพราะแรงดิ้นของนาง ทว่าเขากลับไม่เอ่ยคำใด สั่งให้ฉินกงกงนำของเดินเข้ามา

ในที่สุดจิ้งไท่เฟยก็ได้สติกลับคืนมา นางเหลียวหน้ามา ใบหน้านั้นเปื้อนคราบน้ำตาที่ไม่เคยแห้งเหือด เสียงแหบพร่าเอ่ย “หงเอ๋อร์…”

ฮ่องเต้เอ่ยน้ำเสียงเกลียดชัง “อย่ามาเรียกเราว่าหงเอ๋อร์ เจ้าไม่มีสิทธิ์”

จิ้งไท่เฟยหัวเราะเยาะตัวเอง พลางหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้ “หงเอ๋อร์ เจ้าแค่โดนวางยา ถึงได้เกลียดชังแม่เช่นนั้น รอยาหมดฤทธิ์แล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าในใจของเจ้า แม่นั้นสำคัญกว่าหญิงอย่างจวงจิ่นเซ่อนับร้อยเท่า พันเท่า!”

แววตาของฮ่องเต้เย็นยะเยือกราวกับคิมหันตฤดู “เจ้าคิดผิดแล้ว! ไม่ว่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือไม่ เราจะไม่เชื่อเจ้าอีกต่อไป และจะไม่มีวันนับเจ้าเป็นแม่ของเราอีก!”

“อย่างนั้นหรือ” จิ้งไท่เฟยยิ้มเอ่ย ก่อนจะเผยสีหน้าใสซื่อแต่ดูเหมือนถูกปีศาจร้ายครอบงำอย่างประหลาด “แล้วเจ้ามาทำไม อยากฟังคำตอบจากปากข้าอย่างนั้นหรือ เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวัง เพราะข้าไม่มีทางบอกอะไรทั้งนั้น”

ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่านางต้องตอบกลับเช่นนี้ ทายาทของทหารพลีชีพจากราชวงศ์ก่อนย่อมมีสัญชาตญาณของทหารพลีชีพ เขาไม่คาดหวังว่าจะได้เบาะแสใดจากปากของนางอยู่แล้ว “เรามาส่งเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

ร่างทั้งร่างของจิ้งไท่เฟยพลันแข็งทื่อ

เว่ยกงกงยกถาดเดินเข้ามา บนนั้นมียาพิษอยู่หนึ่งขวดและผ้าไหมสีขาว

ยามนี้จิ้งไท่เฟยหัวเราะไม่ออกแล้ว “เจ้าใจดำอำมหิต…ปานนี้จริงหรือ…พ่อแม่ของเจ้า…ก็ใจดำอำมหิตเช่นนี้…พวกเจ้า…พวกเจ้า…”

นางไม่ได้ร้องไห้ แต่น้ำตาเม็ดใหญ่กลับไหลออกมาไม่หยุด

ฮ่องเต้ไม่ใจอ่อนแม้แต่นิด “เคยเป็นแม่ลูกกันมาก่อน เราจึงรักษาเกียรติเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

“รักษาเกียรติอย่างนั้นรึ เจ้าฆ่าแม่…ยังกล้าพูดว่ารักษาเกียรติอีกหรือ!” จิ้งไท่เฟยสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด หัวเราะออกมาอย่างคนเสียสติ “สมกับเป็นลูกแท้ๆ ของฮ่องเต้จริงๆ… พวกเจ้าต้องได้รับผลกรรม…พวกเจ้าต้องได้รับผลกรรม!”

ฮ่องเต้ไม่มีทางหวั่นไหวกับคำพูดด่าทอเหล่านั้น “เราเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เราเกิดมาจากบัญชาสวรรค์…”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยแทรกคำพูดของเขา “โอรสแห่งสวรรค์อย่างนั้นหรือ ฮ่าๆๆ เกรงว่าเจ้าจะลืมไปแล้วว่าบัลลังก์มังกรของเจ้านั้นได้มาอย่างไร!”

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางพยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว เสด็จแม่ไทเฮาเป็นผู้วางแผนให้กับเรา เพราะอย่างนั้นเราต้องขอบคุณเสด็จแม่ไทเฮา จากนี้ไปเราจะไม่ทำอันใดให้เสด็จแม่ไทเฮาต้องขุ่นข้องหมองใจอีกแล้ว”

พูดจบ ฮ่องเต้ก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่เหลียวกลับมามองจิ้งไท่เฟยแม้สักปราดตาเดียว

….

เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเดือนแปดของเมืองหลวง…จิ้งไท่เฟยสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะฐานันดรในยามนี้ของนางยังคงเป็นแม่ชีจิ้งอัน หากจะพูดให้ถูก ต้องพูดว่าแม่ชีจิ้งอันมรณภาพแล้ว

ในสายตาคนนอก ภาพจำของแม่ชีจิ้งอันนั้นคือคนร่างกายอ่อนมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้รุ่ยอ๋องเฟยจึงพาหมอจากเมี่ยวโส่วถังมารักษานางถึงที่ถึงสองหน จากนั้นฮ่องเต้จึงพานางกลับมายังวังหลวงเพื่อพักฟื้น

ว่าก็ว่าเถิด ภาพลักษณ์คนป่วยขี้โรคที่นางแสร้งทำนั้นมีประโยชน์ยิ่งนัก แทบจะไม่มีผู้ใดสงสัยการมรณภาพของนาง พอได้ยินข่าว ทุกคนต่างคิดว่า ‘เฮ้อ ร่างกายอ่อนแอเสียขนาดนั้น จะฝืนทนอยู่ต่อได้อย่างไร…’

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดที่คนสงสัย ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนต่างคิดว่าฮ่องเต้จะคืนฐานันดรไท่เฟยให้กับแม่ชีจิ้งอัน แต่งตั้งย้อนหลังให้ได้เป็นไทเฮา และจัดพิธีศพให้สมพระเกียรติเช่นไทเฮา

ใครจะไปคิดว่าฮ่องเต้กลับไม่ทำเช่นนั้นเลย

นางลงหลุมศพในฐานะแม่ชีจิ้งอัน

เมื่อข่าวมาถึงตรอกปี้สุ่ย กู้เจียว เซียวลิ่วหลัง และกู้เฉิงเฟิง ทั้งสามคนต่างอยู่ที่นั่น

“ฝ่าบาททำเช่นนั้นจริงๆ หรือ…” กู้เฉิงเฟิงตกตะลึง สำหรับคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดภายหลังอย่างเขา เขาย่อมรู้ดีว่าที่จิ้งไท่เฟยมรณภาพนั้นมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่เขาไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำถึงขั้นนั้น

เขาสงสารอย่างนั้นหรือ

คำตอบคือไม่ใช่อย่างแน่นอน

ยายแก่ปีศาจนั้นชั่วร้ายเหลือเกิน ปั่นป่วนวังหลังมานานหลายปี จนจวงไทเฮากับฮ่องเต้กลายเป็นศัตรูกัน เล่นเอาทั้งสองเกือบตายในเงื้อมือของกันและกันมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงหนิงอันที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

หากกำจัดจิ้งไท่เฟยได้ ราชสำนักก็กำจัดศัตรูลับตัวฉกาจไปได้ตลอดกาล

พิธีศพของจิ้งไท่เฟยมีเซียวฮองเฮาเป็นผู้จัดการ ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้เห็น

ฮ่องเต้ตัดสินใจว่าจะส่งคนไปยังค่ายชายแดน เดิมทีตั้งใจว่าจะส่งกู้ฉังชิงไป เพราะกู้ฉังชิงยังปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพ เป็นผู้มีหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

ทว่ากู้ฉังชิงยังไม่กลับเมืองหลวงเนี่ยสิ แถมเรื่องนี้จะรีรอไม่ได้ ฮ่องเต้คิดอยู่นานสองนาน จึงเรียกถังเย่ว์ซานและท่านเหล่าโหวเข้าวัง

เขานำป้ายที่สามารถสั่งการองครักษ์หลงอิ่งมอบให้กับท่านเหล่าโหว ก่อนจะบอกเรื่องสำคัญแก่เขา “เราเชื่อมั่นในตัวเจ้า หวังว่าเจ้าจะจัดการธุระให้เราได้สามเรื่อง เรื่องแรก เรียกตัวองครักษ์หลงอิ่งกลับมาให้หมด เรื่องที่สอง สืบเรื่องราวความเป็นไปในชายแดนอย่างละเอียด เรื่องที่สาม…พาตัวองค์หญิงหนิงอันกลับมาอย่างปลอดภัย!”

ท่านเหล่าโหวคิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะมอบภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ให้กับตนเอง เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยกสองมือขึ้นประสานพลางขานรับ “กระหม่อม…น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็เหลียวไปทางถังเย่ว์ซาน “ภารกิจของเจ้า คงไม่ต้องให้เราบอกกระมัง”

ถังเย่ว์ซานเองก็ยกสองมือขึ้นคำนับ “กระหม่อมจะสั่งการให้ทหารฆ่ากบฏจากราชวงศ์ก่อนให้สิ้นซาก หากไม่สำเร็จจะไม่ขอกลับมาพ่ะย่ะค่ะ!”