บทที่ 402 องครักษ์หลงอิ่ง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 402 องครักษ์หลงอิ่ง

ภารกิจที่ถังเย่ว์ซานและท่านเหล่าโหวต้องเดินทางไปยังชายแดนพร้อมกันได้ถูกกำหนดขึ้น

ทั้งสองล้วนแต่เป็นทหารของจวงไทเฮา แต่คนหนึ่งเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าตั้งแต่ถูกจวงไทเฮาปั่นหัว ความแค้นเคืองของถังเย่ว์ซานก็ค่อยๆ ถูกมือที่สามที่ชุบมือเปิดอยู่หลังม่านสูบกลืนไปจนหมด

จวงไทเฮาบอกกับถังเย่ว์ซาน ว่ามือมืดที่อยู่หลังม่านนั้นคือจิ้งไท่เฟย ต่อให้จิ้งไท่เฟยตายแล้ว แต่พรรคพวกของนางก็ยังหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะพวกกบฏที่รอดชีวิตที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป้อมชายแดน

คราวนี้ถังเย่ว์ซานออกไปปราบศัตรูด้วยความฮึกเหิม

ท่านเหล่าโหวไม่ได้ขัดข้องคำสั่งครั้งนี้ เขากับถังเย่ว์ซานคนหนึ่งขาวคนหนึ่งดำ แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายกันและกัน

ฆ่าล้างบางกบฏและช่วยองค์หญิงหนิงอันกลับมาล้วนแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ฮ่องเต้มั่นหมายให้พวกเขาออกเดินทางโดยเร็ว

เมื่อออกจากวังหลวง ท่านเหล่าโหวก็นั่งรถม้ากลับจวน ขณะที่ผ่านหน้าสำนักบัณฑิตชิงเหอ เขาก็สั่งให้จอดรถม้า แต่ก็โชคไม่ดีนัก เพราะวันนี้สำนักบัณฑิตชิงเหอหยุดเรียน กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนงานฝีมือกับอาจารย์แม่หนานและอาจารย์หลู่แล้ว

“ช่างเถอะ กลับจวน” ท่านเหล่าโหวโบกมือปัด ก่อนจะชะงักไป ราวกับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อน ไปโรงประลองไท่เหอ”

ยามนี้บนถนนผู้คนขวักไขว่ การสัญจรติดขัดเล็กน้อย คนขับรถม้าใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะพารถฝ่ามาถึงหน้าโรงประลองไท่เหอ

“นายท่าน ถึงโรงประลองแล้วขอรับ” คนขับรถเอ่ย

ท่านเหล่าโหวลงจากรถม้า

เขามาที่นี่เพื่อมาหาน้องกู้ เพราะตัวเองจะออกต่างเมือง จึงอยากมาลาน้องกู้สักหน่อย

ทว่าพอเขาเข้าไปในถามไถ่คนข้างในถึงได้รู้ว่า น้องกู้ไม่ได้มาที่โรงประลองหลายวันแล้ว

“เขาก็สู้เก่งเอาการอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้หายไปเสียเล่า” ท่านเหล่าโหวพึมพำ

คนงานของโรงประลองเอ่ย “คือว่า…ข้าไม่ขอปิดบังก็แล้วกัน วันนั้นข้าเห็นเขากับคนที่ชื่อเหล่าเหออยู่ด้วยกัน เหล่าเหอผู้นั้นเป็นผู้ดูแลโรงประลองใต้ดิน มักจะมาหายอดฝีมือจากพวกเราที่นี่ ดึงตัวคนไปก็หลายคนอยู่เหมือนกัน เถ้าแก่โรงประลองหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่พวกเราก็ไม่กล้ามีเรื่องกับโรงประลองใต้ดินอยู่ดี ทำได้เพียงปล่อยเขาไป”

ท่านเหล่าโหวมุ่นหัวคิ้ว “โรงประลองใต้ดินอย่างนั้นรึ”

วันนี้เป็นสังเวียนที่สิบของกู้เจียวแล้ว นางใช้การโต้กลับอย่างฉับไวด้วยกระบวนท่าพลิกอาชาซัดคู่ต่อสู้จนกระเด็นออกนอกสังเวียนได้อย่างสวยงาม คว้าชัยชนะของยกนี้มาไว้ในมือ

หนุ่มร่างบางที่สวมหน้ากากมาพร้อมกับทวนยาวสะดุดตาผู้นี้กลายเป็นเลื่องชื่อในโรงประลองใต้ดิน

ไม่รู้ว่าเพราะจับคู่กับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือต่างชั้นหรือว่านางนั้นเก่งจริงๆ ทั้งยังเป็นไปได้ว่าทวนพู่แดงของนางนั้นอัปลักษณ์เกิดทน ตอนเริ่มประลองผู้ชมต่างเบื่อหน่าย แต่หลังจากขึ้นสังเวียนติดต่อกันสองสามครั้งผู้ชมก็เริ่มเมามัน

ท่านเหล่าโหวมาถึงทันยกสุดท้ายของกู้เจียวพอดี

กระบวนท่าช่างงดงามนัก

เด็กหนุ่มยืนอยู่บนสังเวียน แววตาเปล่งประกาย ท่าทางมาดมั่น ราวกับมีแสงสะท้อนออกมาจากตัว

จู่ๆ ท่านเหล่าโหวก็รู้สึกปลาบปลื้มใจดั่งอีกฝ่ายเป็นลูกเป็นหลานตนเองอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกเช่นนั้น

ก่อนลงจากสังเวียน กู้เจียวก็ได้รับป้ายประจำตัวอันแรก บนนั้นมีอักษรแคว้นเจาตัวโตสลักไว้ เป็นอักษรที่แทนหมายเลขหนึ่ง นั่นหมายความว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป นางคือยอดฝีมือระดับหนึ่งที่โรงประลองใต้ดินเป็นผู้รับรอง

กู้เจียวห้อยป้ายแผ่นน้อยนั้นไว้กับถุงผ้าของตัวเอง ศีรษะน้อยโคลงไปมา

มีความสุขนัก!

เมื่อเห็นเขาเดินโยกหัวไปมาอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในแววตาของท่านเหล่าโหวโดยไม่ทันรู้ตัว “น้องกู้!”

เขาเดินจ้ำเข้ามาหา

กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางถามด้วยสายตาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่

ท่านเหล่าโหวเข้าใจความหมายเสียด้วย แม้แต่ตัวเขาเองก็ประหลาดใจ เขายิ้มเอ่ย “ข้าไปหาเจ้าที่โรงประลอง พวกเขาบอกว่าเจ้าย้ายมาที่โรงประลองใต้ดินแล้ว ตอนแรกข้าก็เป็นห่วงเจ้า แต่เมื่อครู่ได้เห็นการประลองของเจ้าแล้ว ข้าคงคิดมากไปเอง”

กู้เจียวถือทวนพู่แดงอยู่จึงเขียนไม่ถนัด ถึงได้ยื่นทวนพู่แดงให้กับเขา

อาวุธเป็นของส่วนตัวของนักสู้ ปกติแล้วไม่อนุญาตให้ใครแตะต้อง จากการกระทำของกู้เจียวนั้นเห็นได้ชัดว่าเชื่อใจท่านเหล่าโหวมาก

ทว่าท่านเหล่าโหวกลับไม่หวั่นไหวกับความเชื่อใจของนางแต่อย่างใด กลับกันเขาขมวดคิ้วจนผูกเป็นปม

นี่…นี่คือยอดอาวุธแห่งแคว้นเจาที่เขามอบให้นางไม่ใช่หรือ

เหตุใดถึงสภาพอเนจอนาถเช่นนี้

ทวนเล่มนี้ประสบพบเจอสิ่งใดมาหรือ

กู้เจียวหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา ก่อนจะขีดๆ เขียนๆ ‘ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ’

ท่านเหล่าโหวหักใจเบนสายตาออกมาจากทวนพู่แดง เขากลัวว่าหากมองนานว่านี้จะเสียสายตา

เขาเอ่ย “ข้าจะเดินทางไปต่างเมือง ก่อนออกเดินทางจึงอยากมาพบเจ้า”

วันนี้กู้เจียวไม่ได้เข้าวัง ยังไม่รู้เรื่องที่เขาถูกส่งตัวยังป้อมชายแดน

แม้พวกเขาจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน แต่นางไม่ชอบซักไซ้เรื่องส่วนตัวของคนอื่นสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ถามเขาว่าออกจากเมืองหลวงไปทำอะไร จึงเขียนเพียงแค่ว่า ‘ไปนานมากหรือ’

ท่านเหล่าโหวพยักหน้า “คงกลับมาไม่ทันปีนี้”

ป้อมชายแดนนั้นอยู่ห่างไกลเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นการจะสืบเบาะแสของกบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อนและการคุ้มกันองค์หญิงหนิงอันย่อมต้องใช้เวลา

กู้เจียวจ้องมองเขา ราวกับต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้

เขาพูดต่อ “หากเร็วหน่อย ก่อนฤดูใบไม้ผลิคงได้กลับมา หากช้าคงใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะได้กลับ”

‘นานเพียงนั้นเชียวหรือ’ กู้เจียวเขียน ‘ข้าจะเลี้ยงข้าวท่าน เลี้ยงส่งท่านน่ะ’

ท่านเหล่าโหวยิ้มร่า “เอาสิ! พอดีเลย ข้ายังมีเพลงทวนเพลงสุดท้ายอยากสอนเจ้า กระบวนท่าที่เจ้าใช้บนสังเวียนเมื่อครู่นั้นเร่งร้อนเกินไป คราวหน้าหากเจ้าเจอเหตุการณ์เช่นนั้น ต้องทำเช่นนี้…”

ทั้งสองคนใช้เวลากินข้าวมื้อนี้ถึงสองชั่วยามเต็มๆ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการชี้แนะของท่านเหล่าโหว สำหรับกู้เจียวแล้ว หากเป็นวิชาในตำรา นางคงเบื่อหน่ายไปแล้ว แต่พอฟังเขาสอนกลับรู้สึกสนุกเสียอย่างนั้น

ท่านเหล่าโหวยังอยากสอนอีกนิด แต่น่าเสียดายที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถึงเวลาที่น้องกู้จะต้องกลับแล้ว เขาเองก็ควรตระเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว

ท่านเหล่าโหวไม่ยอมให้น้องรักของตนควักกระเป๋า เขาลงไปชั้นล่างเพื่อจ่ายเงิน

ตาเฒ่านี้หากไม่ใช่ท่านปู่ของนางก็น่ารักอยู่หรอก กู้เจียวครุ่นคิด ก่อนจะปลดป้ายเล็กๆ นั้นยื่นให้เขา

ท่านเหล่าโหวสีหน้ามึนงง “ทำไว้ทำอะไรหรือ”

เขาถามว่าใช้ทำอะไร แต่กลับไม่ถามว่านี่คือสิ่งใด

เห็นได้ชัดว่า เขารู้จักป้ายนี้

กู้เจียวไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นางหยิบสมุดข้างมือขึ้นมา ก่อนจะขีดๆ เขียนๆ ‘ป้ายยอดฝีมือชั้นหนึ่งป้ายแรกของข้า ข้ามอบให้ท่าน!’

ท่านเหล่าโหวถาม “ของมีค่าเช่นนี้ เจ้ามอบให้ข้าไม่เสียดายหรือ”

ต้องชนะถึงสิบสังเวียนถึงจะได้ป้ายมาหนึ่งอัน แถมยังเป็นป้ายยอดฝีมืออันแรกของเขาด้วย ท่านเหล่าโหวย่อมรู้ดีว่าป้ายนี้สำคัญต่อเขามากเพียงใด

ท่านเหล่าโหวคิดมากเกินไปแล้ว

กู้เจียวคิดเพียงแค่ว่าอีกไม่นาน นางก็คว้าป้ายที่สองมาไว้ในมือได้แล้ว เพราะอย่างป้ายนี้…ถึงจะมอบให้ใครก็ไม่เป็นอะไร

ประเด็นคือหากจะให้นางควักเงินซื้อของขวัญเลี้ยงส่งให้เขา นางคงเสียดายแย่

ท่านเหล่าโหวเห็นความจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้ตน…นี่ยังไม่เรียกว่าความจริงใจอีกหรือ ไม่ต้องใช้เงินสักแดงเดียว ก็สามารถซื้อใจท่านเหล่าโหวได้แล้ว

“ฟ้ามืดแล้ว กลับกันเถิด” เขายิ้มพลางลุกยืนขึ้น

ทว่ากู้เจียวก็พลันนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ก่อนจะเขียนในสมุด ‘ใช่แล้ว คราวก่อนท่าน…’

เขียนถึงเพียงเท่านั้น เขาก็ขีดฆ่าทิ้งแล้วเขียนใหม่ ‘เพื่อนของท่านเมื่อคราวก่อน ที่บอกว่าจะหนีไปกับหญิงที่รัก เป็นอย่างไรบ้าง’

ตาเฒ่านี่เป็นคนเอ่ยเรื่องนี้กับนางเอง ไม่ถือว่าถามซักไซ้เรื่องส่วนตัว

ท่านเหล่าโหวตัวแข็งเกร็งไปเล็กน้อย ขณะที่กู้เจียวไม่ทันได้สังเกต สองมือของเขากำเก้าอี้แน่นเพื่อพยุงตัวเองไว้ “ไม่ได้หนีตามกันไปหรอก”

‘เพราะเหตุใด’ กู้เจียวเขียน

ท่านเหล่าโหวอ้าปากพะงาบ มองไปยังนอกหน้าต่าง เอ่ยด้วยเสียงรวดร้าว “…นางจากไปแล้ว”

กู้เจียว ‘อ๋อ’

กู้เจียวไม่ได้ถามต่อ

วันนี้กู้เจียวไม่ได้นั่งรถม้า ท่านเหล่าโหวจึงอาสาไปส่งนาง แน่นอนว่านางไม่อาจเปิดเผยที่อยู่ของตนเองได้ จึงส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าตัวเองยังมีธุระต้องจัดการ

ท่านเหล่าโหวเห็นว่ากู้เจียวมิใช่คนไม่รู้ประสา กำชับนางเพียงสองสามประโยคก็นั่งรถม้าจากไป

ต้นเดือนแปด ถังเย่ว์ซานน้อมรับราชโองการมุ่งหน้าไปยังป้อมชายแดน เดินทางไปในฐานะขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไปเพื่อแต่งตั้งองค์หญิงหนิงอันเป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วหนิงอันชั้นเอก และแต่งตั้งพระเทวันเป็นขุนนางอู่อันโหวชั้นเอก

ฝ่าบาทยังให้ถังเย่ว์ซานนำของกำนัลและของใช้ยามฤดูหนาวมามากมายไปด้วย

อันที่จริงของกำนัลและข้าวของพวกนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องรอง การจับตัวกองทหารกบฏต่างหากคือเรื่องสำคัญ

ส่วนท่านเหล่าโหวนั้นแอบแฝงตัวอยู่ในกองทหาร ติดตามมาในฐานะเสนาธิการในจวนของถังเย่ว์ซาน

ก่อนวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ กู้เจียวก็ไปยังโรงประลองใต้ดินอีกครั้ง

ยามนี้นางเป็นถึงยอดฝีมือชั้นหนึ่งแล้ว สามารถท้าดวลกับคนที่ระดับสูงกว่าตนเองสองชั้น วันนี้ไม่รู้เรียกว่านางโชคดีหรือเปล่า เพราะคู่ต่อสู้คนแรกเป็นถึงมือมีดชั้นสามจากเผ่าทูเจวี๋ย

ชาวเผ่าทูเจวี๋ยนั้นร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ยามเขาก้าวขึ้นสังเวียน กู้เจียวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแปลกประหลาด

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ คู่ต่อสู้ที่ประลองด้วยก็ยิ่งฝีมือแก่กล้ามากขึ้นเท่านั้น

กู้เจียวออกหมัดแรกเพื่อหยั่งเชิงกำลังของอีกฝ่าย นางถูกฝั่งตรงข้ามต้านจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว กัดมุมปากตัวเองจนเลือดไหลโดยไม่ทันได้ระวัง

กู้เจียวยิ้ม ชักสนุกแล้วสิ

ต่อจากนั้นกู้เจียวก็ตั้งใจว่าเอาจริงแล้ว ทว่านางยังไม่ทันได้ลงมือ เงาร่างสูงใหญ่ดั่งปีศาจก็ก้าวขึ้นมาบนสังเวียน ทุกคนแทบมองไม่ทันว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น มือมีดชาวทูเจวี๋ยก็ถูกเขาเตะกระเด็นลอยออกไปแล้ว!

มือมีดชาวทูเจวี๋ยล้มลงท่ามกลางฝูงชน หมอบอยู่บนพื้น กระอักเลือดแล้วหมดสติลงในทันใด

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ผู้ใดก่อกวนการประลอง!”

ผู้ตัดสินเคาะระฆังพลางเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะกระชากตัวยอดฝีมือชุดดำผู้นั้นลงจากเวที ทว่ากลับเขาถูกยอดฝีมือผู้นั้นบีบรอบลำคอด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว กระชากจนลอยเหนือพื้น

เหล่ายอดฝีมือในโรงประลองเห็นว่าท่าไม่ดี ก็พากันพุ่งตัวเข้ามาล้อมคนผู้นั้นเอาไว้ กู้เจียวประหลาดใจยิ่งนัก นี่ไม่ใช่องครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้ที่ฝีมือเหนือกว่าองครักษ์หลงอิ่ง คนที่นางบังเอิญเจอกลางป่าตอนที่ช่วยชีวิตท่านย่าคืนนั้นหรอกหรือ

เขามาที่นี่ได้อย่างไร แถมยังถีบคู่ต่อสู้ของนางตกสังเวียนอีกต่างหาก

เขาคงไม่ได้คิดว่านางถูกคนรังแกหรอกกระมัง

กู้เจียวรู้สึกว่าการคาดเดานี้เหลวไหลสิ้นดี ในเมื่อมิใช่เจ้านาย เขาย่อมไม่มีทางช่วยนางแน่นอน

กู้เจียวเดินไปหยุดอยู่ข้างเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนข้อมือเขา บอกเป็นนัยให้เขาปล่อยอีกคนลง

เขามองกู้เจียว ก่อนจะหันกลับไปมองผู้ตัดสินที่ใกล้สิ้นลมเพราะแรงบีบของเขา แล้ววางมือลง

กู้เจียวหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา เขียนถามว่าเขาเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ แต่เขากลับไม่ตอบ

ไม่รู้หนังสืออย่างนั้นรึ

กู้เจียวลูบคางพลางจ้องมองเขา ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะสื่อสารกับเขาอย่างไร เขาก็หันหลังเดินจากไปแล้ว

กู้เจียว “…”

องครักษ์หลงอิ่งเอาแต่ใจเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ

กู้เจียวขอโทษขอโพยผู้ตัดสิน ทั้งยังรับปากว่าจะออกค่ารักษาให้แก่มือมีดชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น ให้ส่งเขาไปที่เมี่ยวโส่วถังได้เลย หลังจากนั้นนางก็กระโดดลงจากสังเวียน ตามองครักษ์หลงอิ่งคนนั้นไป

องครักษ์หลงอิ่งมายังหน้าห้องของหมอยาแคว้นเยี่ยนผู้นั้น หลังจากนั้นก็เฝ้าเวรยามอยู่ที่หน้าห้อง

เหตุใดเขาถึงต้องคุ้มกันที่นี่

เจ้านายของเขาอยู่ด้านในอย่างนั้นหรือ

เจ้านายของเขาคือหมอยาแคว้นเยี่ยนผู้นั้นหรอกหรือ

กู้เจียวคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะรวบรวมความกล้ามายืนอยู่ตรงหน้าองครักษ์หลงอิ่งผู้นั้น

องครักษ์หลงอิ่งไม่ได้ไล่กู้เจียว ราวกับสำหรับเขาแล้ว กู้เจียวเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ หรือไม่ก็…สิ่งของที่ปรากฏอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น

กู้เจียวอยากจะเห็นว่าเจ้านายของเขาคือใครกันแน่ หากไม่ได้มีเพียงฮ่องเต้แคว้นเจาที่มีองครักษ์หลงอิ่ง นั่นก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าสามารถซื้อตัวองครักษ์หลงอิ่งได้จากช่องทางใดช่องทางหนึ่ง

กู้เจียวคิดได้ดังนั้น ก็ยกมือขึ้นเคาะประตู ทว่ากลับถูกองครักษ์หลงอิ่งใช้ด้ามกระบี่ขวางเอาไว้

ห้ามเคาะอย่างนั้นรึ

ห้าม…รบกวนเจ้านายที่อยู่ข้างในอย่างนั้นรึ

ดูท่าแล้วเจ้านายคงสั่งการเขาไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวน

เช่นนั้นก็รอก็ได้

กู้เจียวนั่งย่อตัวลงเฝ้าที่หน้าประตู

เพราะว่าเรียกว่านั่งเฝ้านั่นแล นางถึงได้เบื่อหน่ายนัก ถึงขั้นต้องล้วงเอาดินสอขึ้นมาวาดวงกลมวนไปมาอยู่บนพื้น

ยิ่งวาดนานเข้าก็ยิ่งออกแรงเยอะขึ้น จนดินสอหักเป็นท่อน ท่อนหนึ่งของดินสอกระเด็นออกไป ก่อนจะกระแทกกับหน้ากากขององครักษ์หลงอิ่งดังปึก

ถึงจะมีหน้ากากกั้นอยู่ แต่ก็เหมือนถูกกระแทกเข้าที่หน้าอย่างเต็มแรง

เดี๋ยวก่อน หน้ากากอย่างนั้นรึ

กู้เจียวลูบใบหน้าของตัวเอง หน้ากากของนางยังอยู่

แต่ตอนที่อยู่ในป่านางไม่ได้สวมหน้ากากนี่ วันนี้นางสวมหน้ากาก แถมวันนั้นยังสวมชุดลาดตระเวนสีดำ ส่วนวันนี้นางใส่ชุดสีคราม

แถมยังอาวุธครบมือเช่นนี้ เหตุใดองครักษ์หลงอิ่งถึงยังจำนางได้

กู้เจียวเอียงคอมององครักษ์หลงอิ่ง เขามีเคล็ดวิชาตรวจจับใบหน้าคนอย่างนั้นหรือ

องครักษ์หลงอิ่งที่หน้ากากโดนกระแทกเข้าอย่างจังเป็นอันชะงักไป แววตาที่หันไปมองกู้เจียวนั้นวูบไหว

เขาลูบหน้ากากเหมือนกับที่กู้เจียวทำ

ซวยแล้ว เขาคงไม่ได้โมโหหรอกกระมัง

เขาคงไม่ฆ่านางใช่ไหม

กู้เจียวจะตื่นตระหนกก็ไม่แปลก เพราะอารมณ์ขององครักษ์หลงอิ่งตรงหน้านี้ช่างแปรปรวนเหลือเกิน ครั้งแรกที่เจอกันกลางป่าก็จะฆ่านางเสียแล้ว แถมยังลูบหน้าสามีนางอีกต่างหาก!

กู้เจียวสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว วิ่งหนีก็คงไม่หนีไม่พ้นเหมือนกัน…

ในหัวของกู้เจียวกำลังคิดไปต่างๆ นานา ขณะที่หาวิธีหนีเอาชีวิตรอดอยู่นั้น เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง