บทที่ 493 เปลี่ยนความคิด ก้าวข้ามอริยะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 493 เปลี่ยนความคิด ก้าวข้ามอริยะ

การแสดงธรรมครั้งนี้กินเวลายาวนานกว่าหนึ่งร้อยปี

ความประทับใจของหลี่เต้าคงที่มีต่อหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นถึงระดับห้าดาว หลี่เสวียนเอ้าก็เพิ่มขึ้นถึงระดับห้าดาวเช่นกัน

เดิมทีทั้งสองทรยศหักหลังนิกายเหริน ไม่มีที่อื่นให้ไปจริงๆ จึงจำต้องมาพึ่งพิงสำนักซ่อนเร้น แต่เมื่อหานเจวี๋ยแสดงความแข็งแกร่งจนเป็นที่ประจักษ์ พวกเขาจึงยินดีโดยปริยาย

สาเหตุหลักที่หลี่เสวียนเอ้าดูถูกดูแคลนหานเจวี๋ยมาจากระดับอาวุโสและตบะ แต่หลังจากการแสดงธรรมในครั้งนี้ เขาก็แน่ใจแล้วว่าหานเจวี๋ยไม่ใช่คนรุ่นหลัง หากแต่เป็นอริยะ!

ไม่แปลกใจเลยที่หานเจวี๋ยเอาแต่หลบเลี่ยงมหาเคราะห์มาโดยตลอด เพราะอริยะเอาแต่กดข่ม ไม่ต้องการให้ใครได้รับดวงชะตาอันยิ่งใหญ่จากมหาเคราะห์นั่นเอง!

ไม่เพียงเท่านั้น!

พวกเขายังรู้สึกว่าหานเจวี๋ยนั้นแข็งแกร่งกว่าหลี่มู่อีเสียอีก!

พวกเขาเก็บเกี่ยวความรู้จากการฟังธรรมของหานเจวี๋ยได้มากกว่าธรรมของหลี่มู่อี

หลี่เต้าคงมีลางสังหรณ์บางอย่าง

ว่ามรรคของหานเจวี๋ยนั้นแข็งแกร่งกว่าของหลี่มู่อี!

หลังจากสิ้นสุดการแสดงธรรม หานเจวี๋ยก็กลับไปยังอารามเต๋าอย่างเงียบๆ

แปดปีต่อมา

หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าก็มาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยให้ทั้งสองเข้ามาในอาราม ความประทับของทั้งคู่ที่มีต่อเขาอยู่ในระดับที่สูงพอที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจได้แล้ว

หลี่เต้าคงถามขึ้นก่อน “เจ้าเป็นอริยะหรือ”

หานเจวี๋ยส่ายหน้า

หลี่เสวียนเอ้าถามต่อ “มหามรรคที่เจ้าเทศนาไปก่อนหน้านี้คือมหามรรคใดหรือ”

“มหามรรคต้นกำเนิด”

หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้ามองหน้ากัน ต่างก็เห็นความสับสนในแววตาของกันและกัน

พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของมหามรรคต้นกำเนิดมาก่อน

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “นี่เป็นมหามรรคที่ข้าสร้างขึ้น อย่าไปบอกใครเล่า”

ฟังจบ สองพี่น้องก็ตะลึงพรึงเพริด

สร้างมหามรรค!

มิน่าเขาถึงได้ส่ายหน้า นี่ไม่ใช่ระดับที่อริยะจะทำได้!

หรืออันที่จริงแล้วเขาคือบรรพชนเต๋ากันแน่?

หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าต่างก็รู้สึกตกใจ

พวกเขาไม่คิดว่าหานเจวี๋ยโป้ปดแต่อย่างใด มหามรรคต้นกำเนิดยิ่งใหญ่กว่ามหามรรคที่พวกเขาเคยได้ยินมาเสียอีก

[ความประทับใจที่หลี่เสวียนเอ้ามีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น

หลี่เสวียนเอ้าผู้นี้…

ชายที่ดูท่าทางเย็นชาน่าต่อยแบบนี้ กำราบได้ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ

หรือว่าหลี่เสวียนเอ้าเป็นพวกบูชาผู้แข็งแกร่ง?

หานเจวี๋ยมองไปยังหลี่เต้าคง รู้สึกเหมือนว่าตนเองจะเดาถูก

หลี่เสวียนเอ้ากล่าว “พวกเราไม่เอาไปแพร่งพรายที่ไหนแน่นอน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนของสำนักซ่อนเร้นแล้ว ท่านเจ้าสำนัก หากหลี่มู่อีมาที่นี่ด้วยตนเอง ท่านจะส่งตัวพวกเราให้เขาหรือไม่”

คำว่าเจ้าสำนักทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจสุดๆ

หานเจวี๋ยชอบที่ได้เห็นทัศนคติของผู้อื่นที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปแบบหนึ่งร้อยแปดสิบองศา

หลี่เต้าคงเหลือบมองหลี่เสวียนเอ้าแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

เขารู้จักนิสัยศิษย์น้องของตนดีที่สุด

“ตราบใดที่พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ก่อเรื่อง สร้างความแตกแยกในสำนักซ่อนเร้น ข้าจะปกป้องพวกเจ้าอย่างแน่นอน” หานเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เขาไม่กลัวหลี่มู่อีแม้แต่น้อย

ตราบใดที่อยู่ในอาณาเขตเต๋า ก็ไม่ต้องกลัวอริยะมรรคาสวรรค์

แม้ว่าอริยะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะเคยวางแผนเล่นงานเขามาก่อน แต่เขานั้นเห็นเหล่าอริยะเป็นศัตรูจำลองมาตั้งแต่แรก

หลี่เสวียนเอ้ารับประกันว่าพวกเขาสองพี่น้องจะไม่ก่อเรื่องเดือดร้อนเป็นอันขาด

หลังจากที่พูดคุยกันอีกสักพัก ทั้งสองก็ออกจากอารามเต๋าไป

เมื่อกลับถึงที่พัก

หลี่เต้าคงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านี่คล้อยตามง่ายเสียจริง ดูท่าดวงตาจะมองไม่เห็นผิด”

หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านจะเสแสร้งไปเพื่ออะไร ในเมื่อฝากตัวมาอยู่ในสำนักเขาแล้ว ก็ต้องรู้จักฐานะของตนเองอย่างชัดเจนสิ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสำนักไม่เคยกีดกัน แต่กลับใจกว้างแสดงธรรมให้กับพวกเรา มีเมตตาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่น่าเคารพนับถืออีกหรือ”

หลี่เต้าคงนิ่งเงียบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังอารามเต๋าของตน

หลี่เสวียนเอ้าไม่ได้กลับไปฝึกบำเพ็ญ แต่มุ่งหน้าไปยังต้นฝูซัง

สองร้อยปีผ่านไปช้าๆ

หลี่เสวียนเอ้าหล่อหลอมเข้ากับสำนักซ่อนเร้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาสอนพลังวิเศษให้กับสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น คลายความคับข้องใจต่อกัน ยังหมั่นพูดคุยกับพวกเต้าจื้อจุนและโจวฝานอยู่บ่อยๆ

หลี่เสวียนเอ้าและเต้าจื้อจุนล้วนอยู่ในระดับเซียนทองต้าหลัวระยะต้น ทั้งสองคนยากจะจัดอันดับใครสูงใครต่ำ แต่ส่วนใหญ่หลี่เสวียนเอ้ามักจะได้เปรียบมากกว่า เพราะหลี่เสวียนเอ้ามีชีวิตอยู่มานานและมีประสบการณ์เต็มเปี่ยม

เทียบกับหลี่เสวียนเอ้าที่ขยันทำโน่นทำนี่ หลี่เต้าคงกลับเอาแต่ปิดด่านฝึกฝน แทบจะไม่ออกไปไหน

เป้าหมายของทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งสำนักซ่อนเร้นมีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้นที่มองเห็นอนาคตของทั้งสองคน

วันหนึ่ง

เสียงแสดงธรรมแว่วดังมาจากเมืองเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้กับเขตเซียนร้อยคีรี เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ประชากรของเผ่ามนุษย์ก็เพิ่มเรื่อยๆ ในรัศมีสามล้านลี้ มีเมืองของเผ่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมากมาย

แต่อย่างไรก็ดีในเผ่ามนุษย์ยังมีผู้บรรลุธรรมขั้นสูงอยู่น้อย และไม่มีคนที่แสดงธรรมได้เลยสักคน

เสียงแสดงธรรมดังกล่าวดังไปทั่วบริเวณ แม้แต่ศิษย์สำนักซ่อนเร้นภายในเขตเซียนร้อยคีรีก็ยังได้ยิน

หลี่เสวียนเอ้าเหาะขึ้นไปบนอากาศด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมทันที

เต้าจื้อจุนรีบตามมา และถาม “เกิดอะไรขึ้น เจ้ารู้จักคนผู้นั้นหรือ”

เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันบ่อยครั้ง มิตรภาพของทั้งสองจึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ตันหลง ครึ่งอริยะนิกายเหริน นับเป็นอาจารย์ลุงของพวกข้า เคยเป็นศิษย์รองของนิกายเหริน” สีหน้าของหลี่เสวียนเอ้าไม่สู้ดีนัก

เขารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตันหลง ที่ตันหลงมาเยือนในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

เต้าจื้อจุนเอ่ยปลอบใจว่า “ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ออกไปข้างนอก เขาก็ทำอันตรายพวกเจ้าไม่ได้”

หลี่เสวียนเอ้าพยักหน้า ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนกล่าว “ดูท่าทางหลี่มู่อีจะรู้สึกโกรธแค้นจริงๆ”

“เหอะ นิกายเหรินลงทุนส่งผู้แข็งแกร่งมาจับตัวพวกข้า แต่ตอนมหาเคราะห์ครั้งก่อน พวกข้าขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่พวกเขาไม่ใช่แค่ไม่ยอมส่งคนมาช่วย แต่ยังส่งเจียงตู๋กูมาขัดขวางอีก!”

ยิ่งพูดหลี่เสวียนเอ้าก็ยิ่งรู้สึกโกรธ จนกัดฟันกรอด

เต้าจื้อจุนเงียบกริบ

แรกเริ่มเขาก็อยู่ที่วังสวรรค์มาก่อน ทีแรกเขาก็รู้สึกงุนงง ไม่คิดว่าพวกหลี่เต้าคงทั้งสองคนจะมีชีวิตลำบากอยู่ในที่แห่งนี้เช่นกัน

ลองคิดดูแล้ว มีแต่คนต่อต้าน ญาติมิตรตีตัวออกห่างจากวังสวรรค์ มีเพียงหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าเท่านั้นที่ยืนหยัดเคียงข้างจนสิ้นสุดมหาเคราะห์

เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วสำนักซ่อนเร้น ศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งหลายต่างรู้ดีว่านิกายเหรินต้องการมาหาเรื่อง

ทว่าหานเจวี๋ยไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว พวกเขาจึงไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด

หานเจวี๋ยตรวจสอบตัวตนของตันหลง ตบะครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์

โชคดีที่หานเจวี๋ยสามารถสังหารได้ในเสี้ยววินาที!

ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงฝึกบำเพ็ญต่อไป โดยไม่สนใจตันหลงแม้แต่น้อย

ห้าสิบปีต่อมา

ในที่สุดตันหลงก็ทนไม่ไหว จึงมาหยุดอยู่ด้านนอกเขตเซียนร้อยคีรี ตะโกนลั่นว่า “เจ้าสำนักซ่อนเร้น ปล่อยตัวศิษย์เอก และศิษย์รองของนิกายเหรินออกมาเดี๋ยวนี้”

หานเจวี๋ยไม่สนใจ

ผ่านไปพักหนึ่ง

ตันหลงขมวดคิ้ว ภายในเขตเซียนร้อยคีรีเงียบสงัด ไม่มีใครตอบกลับมา

เขาพูดต่อ “นี่เป็นประสงค์ของอริยะ ในเมื่อสำนักซ่อนเร้นต้องการหลีกหนีจากทางโลก เช่นนั้นก็อย่ายื่นมือมายุ่งเรื่องของสำนักอื่นจะดีกว่า”

หานเจวี๋ยยังคงเพิกเฉย

หลี่เสวียนเอ้าอยู่ในอารามเต๋าของหลี่เต้าคง สีหน้าตื่นตระหนก

เขาเอ่ยถาม “เจ้าสำนักคิดจะแกล้งตายหรืออย่างไร”

หลี่เต้าคงกล่าวอย่างใจเย็น “รอดูไปก่อนเถิด”

เขตเซียนร้อยคีรีเงียบสงัดลงอีกครั้ง

ครั้งนี้ตันหลงเริ่มโมโห

มันชักจะมากเกินไปแล้ว!

เจ้าสำนักซ่อนเร้นไม่ไว้หน้ากันเลย!

ใขณะที่เขากำลังจะลงมือ เสียงของหานเจวี๋ยก็ลอยออกมา “ศิษย์เอกและศิษย์รองของนิกายเหรินเป็นใคร”

ตันหลงตอบกลับอย่างเดือดดาล “หลี่เต้าคง! หลี่เสวียนเอ้า!”

“ไม่รู้จัก ศิษย์สำนักเราไม่มีสองคนนี้ ผู้อาวุโสเข้าใจผิดไปแล้วกระมัง”

“เจ้ามาประมือกับข้าดูสักครั้งไหมเล่า มีหรือไม่มี ข้าเข้าไปตรวจสอบเดี๋ยวก็รู้เอง!”

“เช่นนั้นไม่ได้หรอก ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านเข้ามาได้ หากว่าท่านต้องการจะทำร้ายข้าล่ะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนโง่เง่าหรอกหรือ”

ได้ยินคำพูดของหานเจวี๋ยเช่นนี้ ตันหลงก็แสยะยิ้มด้วยความกรุ่นโกรธ

ดี!

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “วันนี้เจ้าจะยอมหรือไม่ ข้าก็จะเข้าไปให้ได้!”

เขาพุ่งปะทะเขตเซียนร้อยคีรีทันที

ตู้ม!

เขาเอาศีรษะชนเข้ากับค่ายกล ซึ่งก็ไม่แปลกใจ พื้นเบื้องล่างมีค่ายกลอยู่ แม้แต่จิตรับรู้ของเขาก็ยังเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้

ตันหลงชักกระบี่หยกขาวออกมาฟันลงไปหนึ่งครั้ง

………………………………………………..