บทที่ 494 อริยะชิงชัง

ตันหลงเงื้อดาบขึ้นและเหวี่ยงลงไป ปราณกระบี่สาดกระเซ็น กระทบลงบนค่ายกลอาณาเขตเต๋า เกิดเป็นระลอกคลื่นอันน่าสะพรึงกลัว แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ตันหลงก็ขมวดคิ้ว เริ่มเหวี่ยงกระบี่อย่างรวดเร็ว พลังเวทมหาศาลทั่วร่างกายหลั่งไหลออกมา ราวกับน้ำท่วมกัดเซาะตลิ่ง สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน

เผ่ามนุษย์เองได้ยินเสียงดังกล่าว ผู้บำเพ็ญทั้งหลายโผบินออกมาจากในเมือง เฝ้ามองดูจากที่ไกลๆ

พวกเขาจำตันหลงได้ ผู้ทรงพลังที่แสดงธรรมให้แก่พวกเขา

“มนุษย์เซียนท่านนั้นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

“ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งขวางกั้นเขาไว้อยู่”

“เขาคิดจะบุกทะลวงเขตเซียนหรือ”

“ทำอย่างไรดี ปฐมบรรพชนโจวฝานเคยกล่าวว่า อย่าได้บุกเข้าไปในเขตเซียน ผู้ทรงพลังท่านนี้เป็นศัตรูของปฐมบรรพชนโจวฝานหรือ”

“พวกเราช่วยไม่ได้ อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”

ไม่ว่าตันหลงจะโจมตีอย่างไร และพลังจะกระทบถึงเมืองของเผ่ามนุษย์มากเพียงใด เขาก็ไม่อาจบุกทะลวงอาณาเขตเต๋าได้

สำนักซ่อนเร้นที่รู้สึกกระวนกระวายในตอนแรกเริ่มนึกสนุก สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเองก็เริ่มล้อเลียนตันหลง

หลี่เต้าคงกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “ไม่คิดว่าเจ้าสำนักจะมีค่ายกลระดับนี้ อีกทั้งยังสัมผัสไม่ได้ว่าเป็นค่ายกลแบบใดกันแน่”

หลี่เสวียนเอ้าพยักหน้า กล่าวติดตลกว่า “ดูหน้าตาตันหลงสิ หายใจไม่ทันแล้วนั่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น ช่างน่าขายหน้าจริงๆ”

“พูดจาวางก้ามเสียใหญ่โต แต่สุดท้ายก็บุกเข้ามาไม่ได้ ไม่แน่อริยะคนอื่นอาจกำลังเฝ้าดูอยู่ก็เป็นได้”

หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ตันหลงก็ยอมแพ้

เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศ สีหน้าเคร่งขรึมเกินบรรยาย

เขาตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันหลังกลับก็ไม่ได้จะเดินหน้าต่อก็ไม่ได้เช่นกัน

และแล้วเขาก็ต้องยอมแพ้ไปทั้งอย่างนั้น คนที่เสียหน้าไม่ได้มีแค่เขา แต่ยังมีนิกายเหรินด้วย

แม้ฝืนต่อไป ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

เสียงของหานเจวี๋ยแว่วมา “ท่านผู้อาวุโส ในสำนักซ่อนเร้นไม่มีคนของนิกายเหรินจริงๆ ขอให้ท่านผู้อาวุโสโปรดให้อภัยข้าน้อย และจากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิดขอรับ”

เขากล่าวอย่างสุภาพ ต้องการจะให้ตันหลงจากไปโดยไม่ต้องเสียหน้า

แต่ตอนนี้ถนอมน้ำใจกันไปก็ไร้ประโยชน์!

ตันหลงสามารถจินตนาการได้ว่าเหล่าอริยะกำลังจ้องมองเขาลงมาจากชั้นฟ้าที่สามสิบสาม หากจากไปวันนี้ เขาคงจะต้องเสียหน้าจริงๆ

ทว่าตอนนี้เขาจะทำอะไรได้อีก

ตันหลงเหลือบมองเมืองเผ่ามนุษย์ที่อยู่ไกลออกไป

เผ่ามนุษย์อยู่ใกล้กับเขตเซียนร้อยคีรีขนาดนี้ หรือมีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักซ่อนเร้น?

ดวงตาของตันหลงเป็นประกาย

“หากผู้อาวุโสคิดจะใช้เผ่ามนุษย์มาข่มขู่ข้า เช่นนั้นแล้วจะเอาคุณธรรมของนิกายเหรินไปไว้ที่ใดล่ะขอรับ” เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้นมาอีกครั้ง

ซึ่งเสียงนี้มีเพียงตันหลงเท่านั้นที่ได้ยิน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของตันหลงก็ยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม

“เลิกเสียเวลาเถิด อย่านำตัวเองเข้าไปสู่หายนะที่ไม่อาจถอนตัวได้เลย”

เสียงของหานเจวี๋ยลอยเข้าหูตันหลงอีกครั้ง

เขาไม่ได้กลัวตันหลง เพียงแต่ไม่อยากฉีกหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าคนทั้งนิกายเหรินในขณะนี้

เมื่อตันหลงได้ยินประโยคนี้ เขาก็แสดงสีหน้าประทับใจออกมา จากนั้นก็หันหลังจากไป

แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจหานเจวี๋ย แต่สิ่งที่หานเจวี๋ยพูดล้วนเป็นความจริง

หลังจากตันหลงจากไปแล้ว โลกาสวรรค์ก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนอกจากหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าแล้ว ยังมีเผ่ามนุษย์อีกด้วย

หลังจากได้รับฟังธรรมจากตันหลง เผ่ามนุษย์ก็คิดว่าตันหลงนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดว่าแม้แต่เขตเซียน ตันหลงก็ยังบุกทะลวงไม่ได้!

ภายในเขตเซียนซุกซ่อนผู้ทรงพลังเช่นไรเอาไว้กันแน่

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขตเซียนร้อยคีรีจะกลายเป็นตำนานเล่าขานของเผ่ามนุษย์

หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าสามารถวางใจได้อย่างสมบูรณ์ สามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนิกายเหรินตามฆ่าอีก

สิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยได้รับคำขอเข้าฝันจากฉิวซีไหล

และมหกรรมการรัวข้อความก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง!

หานเจวี๋ยเลือกยอมรับ เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าฉิวซีไหลอยากพูดอะไร

ในแดนความฝัน

หานเจวี๋ยเพิ่งปรากฏตัวขึ้น ก็ได้ยินเสียงของฉิวซีไหลถามขึ้นทันที “เจ้ารับหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าเข้าสำนักหรือ”

หานเจวี๋ยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว จึงกล่าวว่า “ตอนที่ข้ารับพวกเขาเข้าสู่สำนัก พวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนของนิกายเหรินอยู่แล้ว”

ฉิวซีไหลกล่าว “เจ้าล่วงเกินหลี่มู่อีเข้าแล้ว วันหน้าต้องลำบากแน่ ส่งตัวสองคนนั้นมาให้สำนักพุทธของข้าเถิด”

หลี่เต้าคงต้องตาฉิวซีไหลมานานแล้ว

ในบรรดาศิษย์สำนักเต๋าทั้งหมด หลี่เต้าคงเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุด

หลี่เต้าคงไม่ได้มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล พรสวรรค์ของเขาเกี่ยวข้องในด้านการหยั่งรู้เป็นหลัก

ไม่ต้องพูดถึงมหาเคราะห์ครั้งล่าสุด แต่ไม่ว่าจะกี่มหาเคราะห์ที่ผ่านไปก่อนหน้านั้น หลี่เต้าคงก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใคร!

หานเจวี๋ยกล่าว “เช่นนั้นข้าคงต้องขอไต่ถามความคิดเห็นของทั้งสองคนนั้นเสียก่อน”

“ส่งมาให้สำนักพุทธเสีย”

“เกรงว่าจะทำไม่ได้”

หานเจวี๋ยกล่าวพลางส่ายหน้า ทำท่าทีลำบากใจ

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงทันที

หานเจวี๋ยไม่เกรงกลัวที่จะแตกหักกับฉิวซีไหล หาไม่แล้วในระยะยาวฉิวซีไหลจะต้องเรียกร้องอะไรจากเขามากกว่านี้เป็นแน่

“หานเจวี๋ย ความเมตตาของข้าที่มอบให้ เจ้ายังจำได้หรือไม่” ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาต่างจากที่เคยเป็นมา

หานเจวี๋ยตอบกลับ “จำได้ขอรับ ข้าติดหนี้บุณคุณท่านครั้งหนึ่ง วันหน้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องการจะฝึกบำเพ็ญเท่านั้น ไม่คิดอยากจะวิวาทกับใคร หลี่เต้าคงมีบุญคุณต่อข้า ข้าจำเป็นต้องตอบแทน แน่นอนว่าหากวันหน้าสำนักพุทธเผชิญทุกข์ภัย ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดายเช่นกัน”

เขาพูดจาเลื่อนเปื้อนไปเรื่อย เวรกรรมระหว่างเขาและหลี่เต้าคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น

ฉิวซีไหลเข้าใจในจุดนี้ได้เอง เขาก็ไม่อยากจะกดดันหานเจวี๋ยแต่อย่างใด ทว่ายังมีอริยะคนอื่นๆ คอยจับตาดูเขาอยู่

แม้ว่าหานเจวี๋ยจะทำให้นิกายเหรินและฉิวซีไหลขุ่นเคือง แต่ก็ยังมีนิกายฉ่าน นิกายเจี๋ย และอริยะคนอื่นที่เขาสามารถพึ่งพาได้

หานเจวี๋ยในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวแปรกระจอกๆ เท่านั้น สำนักซ่อนเร้นได้พิสูจน์ศักยภาพของตนเองออกมาแล้ว!

ฉิวซีไหลกล่าว “จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดีก็พอ ส่วนนิกายเหรินนั้น ข้าจะช่วยอธิบายแทนเจ้าเอง ขอแค่ต่อไปอย่าเป็นแบบนี้อีกก็พอ”

“ขอบคุณขอรับท่านอริยะ!”

หานเจวี๋ยรับปากทันที

[ฉิวซีไหลเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1.5 ดาว]

หานเจวี๋ยทำเมิน สำหรับอริยะนั้น หากทำให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาได้ นับว่าเป็นศัตรูทั้งหมด

ทว่าฉิวซีไหลยังคิดว่าหานเจวี๋ยมีประโยชน์ จึงยังไม่คิดตัดขาดกับเขาในตอนนี้

แดนความฝันสิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยกลับมายังอารามเต๋า ฝึกบำเพ็ญต่อไป

อย่างไรเสียอริยะก็ไม่สามารถเข้ามาในแดนเซียน และเข้ามาในอาณาเขตเต๋าของเขาไม่ได้ เขาจึงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

ทว่าท่าทีของฉิวซีไหลก็เป็นเครื่องพิสูจน์พรสวรรค์ของหลี่เต้าคงแล้ว

หากหลี่เต้าคงพิสูจน์มรรคเป็นอริยะขึ้นมาได้ล่ะ!

หัวใจของหานเจวี๋ยเต้นระรัว

สำนักซ่อนเร้นทั้งสำนัก นอกจากเขาแล้ว หลี่เต้าคงเป็นบุคคลเดียวที่ใกล้เคียงกับอริยะมากที่สุด

สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องทำคือการฝึกฝนศิษย์คนอื่นๆ นอกเหนือจากการฝึกบำเพ็ญไปด้วย เช่นนี้เขาจะสามารถฝึกบำเพ็ญต่อไปได้เรื่อยๆ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ยังมีศิษย์ทั้งหลายคอยแก้ปัญหาให้

หลังจากตันหลงจากไปแล้ว นิกายเหรินก็ไม่ได้ส่งคนมาหาเรื่องอีก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยอมแพ้ไปแล้ว

งานประลองใหญ่แห่งสำนักซ่อนเร้นถูกจัดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มีพวกหลี่เต้าคงสองคนเข้าร่วมด้วย

ไม่มีอะไรผิดคาด หลี่เต้าคงได้อันดับหนึ่ง หลี่เสวียนเอ้าและเต้าจื้อจุนได้อันดับสอง เสมอกัน จ้าวเซวียนหยวนได้อันดับสาม โจวฝานได้อันดับสี่ ลี่เหยาได้อันดับห้า ส่วนอันดับหลังจากนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไรนัก

ทว่าเรื่องนี้กลับไปสะกิดต่อมของศิษย์สำนักซ่อนเร้นอย่างแรง

ต่อไปจะมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นอีกหรือไม่

ในช่วงวัยเดียวกัน พวกเขายังมีความมั่นใจอยู่ แต่เทียบกับผู้ทรงพลังที่มีชีวิตอยู่ยาวนานราวอสงไขยแล้ว พวกเขายังห่างชั้นอีกไกลโข

ทันใดนั้น สำนักซ่อนเร้นก็ตกสู่บรรยากาศการฝึกบำเพ็ญอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง

หลี่เต้าคงไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจแต่อย่างใด เขาบ้าดีเดือดไปท้าประลองกับหานเจวี๋ยอีกครั้ง และก็ต้องถูกสังหารภายในเสี้ยววินาทีอย่างไร้ความปรานี มรรคจิตแทบแหลกสลาย

หลังจากประลองกับหานเจวี๋ย เขาก็เกิดความสงสัยในตัวเองว่าตนไม่ใช่ครึ่งอริยะ

ความต่างชั้นห่างไกลกันเหลือเกิน!

เวลาผ่านไปเช่นนี้อีกแปดร้อยปี

อยู่มาวันหนึ่ง

บนท้องฟ้ามีแต่เมฆสีม่วงลอยกระจายทั่ว ดูงดงามอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้น แหงนหน้าจ้องทะลุอารามเต๋าขึ้นไปจนเห็นท้องนภา

ความรู้สึกไม่สบายใจอันเข้มข้นกัดกินหัวใจของเขา

เขาไม่ได้รู้สึกกระสับกระส่ายเช่นนี้มานานมากแล้ว!

………………………………………………..